Share

ตอนที่10ที่ซุกหัว

last update Last Updated: 2025-12-17 23:31:04

 จือจื่อเดินตามเหมยจิ้งเข้าไปด้วย ในจวนใหญ่รกร้างนั่นนับว่าคนขับรถม้าใจดีไม่น้อยอย่างน้อยอากาศหนาวๆ แบบนี้ทั้งสองก็ยังพอมีที่ซุกหัวนอน

ความเงียบงันของตำหนักร้างทำให้ทุกก้าวที่เหยียบลงไปเหมือนเหยียบลงบนหัวใจตัวเอง จือจื่อกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ผนังไม้ผุพัง เถาวัลย์เลื้อยพันรั้ว เดินทะลุผ่านโถงด้านในไปจนถึงด้านหลังที่ถูกกั้นไว้เหมือนสวนร้าง หญ้าขึ้นรกสูงเกือบถึงเข่า กลิ่นอับชื้นปะปนกับกลิ่นควันจางๆ ลอยมากระทบจมูก

ดวงตาของจือจื่อเบิกกว้าง เมื่อเห็นควันไฟลอยออกมาจากห้องเก็บฟืนเก่าด้านหลัง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก

"แย่แล้วเหมยจิ้ง ใครมาเผาบ้าน รีบมาช่วยกันดับไฟเร็ววววว"

เสียงตะโกนของนางดังลั่นจนเหมยจิ้งสะดุ้ง จือจื่อไม่รอช้า วิ่งพรวดเข้าไปผลักประตูห้องเก็บฟืนอย่างแรง ประตูไม้ผุส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะเปิดออกพร้อมควันขาวลอยคลุ้ง

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางชะงัก บุรุษหนุ่มสองคน อายุราวสิบห้าปี หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวมอมแมม นั่งยองๆ อยู่ข้างกองไฟเล็กๆ ที่ก่อจากเศษไม้แห้ง

ทั้งสองอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหงายหลังล้มผงะออกจากกองไฟด้วยความตกใจ

"อ๊าก"

ทั้งสองรีบลุกขึ้นอย่างลนลาน กระทืบกองไฟด้วยเท้าเล็กๆ ของตนเอง กลัวจนหน้าซีดเผือด เถ้าถ่านปลิวกระจายไปทั่วพื้น

"ข้าไม่ได้ทำนะ"

 "จะ…จะ…เจ้าอย่าพูดจามั่วซั่ว"

เสียงสั่นเครือดังประสานกัน เด็กเร่ร่อนน้อยทั้งสองกระหน่ำเหยียบไฟไม่หยุด ราวกับกลัวว่าหากไฟยังไม่ดับ ชีวิตของตนจะถูกตัดสินในทันที

เหมยจิ้งรีบวิ่งเข้ามา ยกมือปิดปากด้วยความตกใจ ส่วนจือจื่อยืนนิ่ง มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่ค่อยๆ เย็นลง เมื่อเห็นว่ากองไฟนั้นเล็กนิดเดียว เป็นเพียงไฟสำหรับผิงหนาว ไม่ใช่การเผาทำลายอย่างที่นางคิด

"พอแล้วๆ ไฟดับแล้ว"

จือจื่อพูดเสียงอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองหยุดเท้า หอบหายใจแรง เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างหวาดๆ

ในแววตานั้น ไม่มีความมุ่งร้าย มีเพียงความกลัว ความหิว และความจนที่เหมือนกระจกสะท้อนชีวิตของจือจื่อในตอนนี้

เมืองอี้…ไม่ได้มีเพียงจือจื่อที่ถูกทอดทิ้ง แต่ยังมีคนอื่นที่ถูกโลกผลักออกมาไกลไม่แพ้กัน

"นะนะนี่ เจ้าเด็กนี่ เป็นเพราะเจ้าทำรองเท้าข้าไหม้ไฟหมดเลย"

เสียงนั้นทั้งขุ่นเคืองทั้งคับแค้น รองเท้าคู่เดียวที่เขามีถูกไฟลามไปเลียจนขอบดำเกรียม ใช้ต่อก็คงไม่ได้ จือจือมองรองเท้าคู่นั้นแล้วเหลือบตามองกองไฟเล็กๆ พลันรู้สึกผิดนิดหน่อยแต่ไม่ยอมแสดงออก

เหมยจิ้งขมวดคิ้วก้าวขึ้นหน้า ตั้งท่าจะเอ็ดเสียงเข้มแต่เหมยจิ้งไวกว่า

"นี่พวกเจ้ากล้าว่าพระสนม…"

จือจือรีบยกมืออุดปากเหมยจิ้งไว้แน่น ก้มหน้าลงกระซิบเสียงเบาแต่จริงจัง

"ไม่ต้องไปบอกพวกเขาว่าข้าเป็นใคร ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าตอนนี้มีแต่คนที่ชื่อจื่อจือ ไม่มีพระสนมอะไรนั่นแล้ว"

เหมยจิ้งตาโต มือไม้เกร็งไปหมด ยังไม่ทันพยักหน้า บุรุษหนุ่มทั้งสองที่ได้ยินคำว่าพระสนมเข้าก็อุทานขึ้นพร้อมกัน

"พระสนมเลยหรือ"

จือจือชะงักไปเสี้ยวลมหายใจ ก่อนจะนึกอะไรออก เชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจ สีหน้ากลายเป็นขึงขัง

"แน่นอน"

เหมยจิ้งเผลอหลุดเสียง

"เอ้าพระสนม"

จือจือรีบพูดขัดทันที น้ำเสียงราบเรียบแต่จริงจัง

"ข้าเป็นพระสนมที่ฝ่าบาทส่งมาที่นี่ เป็นเจ้าของที่นี่ในตอนนี้ พวกเจ้าสองคนจะอยู่ดีๆ หรือจะไปก็แล้วแต่"

คำพูดนั้นฟังดูแข็งกร้าว แต่ในใจจือจือกลับคิดเร็วราวสายฟ้า อย่างไรก็ต้องยึดที่นี่ไว้ให้ได้ หากปล่อยให้เด็กเร่ร่อนสองคนนี้ไล่พวกนางออกไป นางกับเหมยจิ้งคงไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนอีกแล้วอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีเจ้าของ แอบอ้างไปเลย

เหมยจิ้งหน้าซีด รีบกระซิบเสียงสั่น

"ไม่ได้นะเจ้าคะ เราสองคนเป็นสตรี หากเอะอะขึ้นมาเราจะสู้พวกเขาได้อย่างไร อีกอย่างเราไม่มีอาหารมากพอ ถ้าพวกเขาแย่งอาหารเราไปจะทำอย่างไรเจ้าคะ"

จือจือไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เพียงยืนเท้าเอว มองเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างประเมินค่า ก่อนจะพูดช้าๆ

"เจ้าก็ให้พวกเขาไปหาอาหารสิ นี่บ้านเรา เรามีที่พัก พวกเขาก็ต้องหาอาหาร"

โจวชวี่กับแฝดน้องมองหน้ากันเงียบๆ สายตาที่เคยแข็งกร้าวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นลังเล ในตำหนักร้างที่ทั้งหนาวทั้งหิวนี้ คำว่าที่พักอาศัยฟังดูมีค่ากว่าศักดิ์ศรีใดๆ

และในความเงียบนั้นเอง จือจือก็รู้สึกได้ว่า ชีวิตใหม่ของนาง อาจไม่ได้เริ่มต้นเพียงลำพังอีกต่อไป

บุรุษหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันเพียงครู่เดียว ก่อนจะพยักหน้ารัวเร็วราวกับกลัวจือจื่อเปลี่ยนใจ

"ใช่ๆ พวกข้าหาอาหารได้ ข้าจะจับกบล่างูให้เจ้าเอง"พลางคิดว่าหากมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งก็ดีจะได้ไม่ต้องเร่ร่อนเหมือนก่อนนั้น

จือจือเบ้หน้าในทันที คิ้วขมวด ปากยื่นอย่างไม่ปิดบังความรังเกียจ

"ไม่ใช่ๆ ละๆ ข้าเนี่ยนะจะกินกบ ข้าระดับพระสนม จะให้กินกบกินงูหรือ ได้หรือ"

เหมยจิ้งยืนฟังอยู่ข้างหลัง เผลอกลืนน้ำลายตามอย่างช่วยไม่ได้

"พวกเจ้าไม่ต้องคิดไปไกล พวกเจ้าล่าไม่เป็น เดี๋ยวข้าช่วยก็ได้"

โจวชวี่กับชูอวี่มองหน้ากันอีกครั้ง คราวนี้สายตาเต็มไปด้วยความลังเลปนสงสัย แต่ก็พยักหน้าตามกันอย่างเสียไม่ได้

"งั้น…"

จือจือยิ้มมุมปาก ตบบ่าทั้งสองคนอย่างกันเอง เสียงตบดังปุๆ อย่างไม่เบานัก

"ดีล พวกเจ้าเข้าไปทางนั้นเถอะ แล้วเรามาแบ่งหน้าที่กัน"

นางกวาดตามองตำหนักร้างกว้างใหญ่ราวกับประเมินทรัพย์สินของตนเอง

"ข้ากับเหมยจิ้งจะทำความสะอาดที่พัก บ้านที่ดีต้องน่าอยู่หน่อย ที่นี่กว้างขวางจะยกห้องให้พวกเจ้าคนละสองสามห้องยังได้เลย"

เหมยจิ้งตาโตเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าขัด

"ส่วนพวกเจ้า ทำเรื่องง่ายๆ ไปหาอาหารมา ตกปลา ล่าไก่"

ชูอวี่ขมวดคิ้วทันที สีหน้าไม่เชื่อถือ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • สนมอ้วนที่ฮ่องเต้ไม่รัก   ตอนที่13พึ่งพาตัวเอง

    "ถานถานเจ้าไปทำความสะอาดให้องให้นายหญิง" หนานซ่งสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าหันมามองเขาก่อนจะยิ้มให้ "ไม่เกินหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย" ถานถานรับปากอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะก้มศีรษะและหันไปทางเหมยจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ"ข้าไปช่วยเจ้าด้วย" เหมยจิ้งพูดขึ้น พร้อมยิ้มให้กับถานถาน สองสาวเดินจากไปพร้อมกันอย่างรวดเร็วหนานซ่งหันไปทางจือจื่อ ยิ้มและกล่าวด้วยความเคารพ"เชิญนายหญิงทางนี้ขอรับ ที่นั่นสะอาดพอให้ได้นั่งขอรับ ส่วนข้าน้อยจะไปช่วยทั้งสองคนจับไก่"จือจื่อพยักหน้ารับ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่หินอ่อนก้อนใหญ่ที่ดูเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหนานซ่งและสองแฝดเดินไปยังประตูใหญ่ของจวน จือจื่อหันหลังให้พวกเขาแล้วถอนหายใจยาว เหมือนกำลังผ่อนคลายความกังวลที่สะสมมานาน "อย่างน้อยก็ไม่แย่นะ ทุกคนดี แวดล้อมดี และชีวิตแสนสบายดี..." เธอพูดเบาๆ พลางบิดขี้เกียจด้วยท่าทางผ่อนคลาย "เฮ้อ สาวแก่อย่างฉัน จะต้องเอาตัวรอดได้สิน่าฮุๆๆ ไม่มีอะไรในโลกที่จือจื่อทำไม่ได้ยกเว้นการมีผัว..." จือจื่อพูดเล่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ"ก็สเปคฉันคือเทพเซียนนี่น่า ฮึ ถ้าไม่หล่อ

  • สนมอ้วนที่ฮ่องเต้ไม่รัก   ตอนที่12เริ่้มต้นใหม่ได้เสมอ

    "พวกข้าก็พึ่งมาถึง เลยมาดูทำเลก่อน คิดกันว่าที่นี่รกร้าง ยึดสักห้องจะเป็นไรไป""พวกเจ้าตาถึงจริงๆ เลือกที่ดีเชียว ได้ข้าแบ่งให้พวกเจ้าช่วยกันครอบครองที่นี่" จือจื่อหัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกายเหมยจิ้งเดินกลับมาในจังหวะที่เสียงหัวเราะของจือจื่อกับสองแฝดยังดังไม่ขาดสามหัวสุมหัวเม้าท์มอยไปเรื่อยอย่างเข้าขา เหมยจิ้งมือถือตะกร้าใบเล็ก ภายในมีเข็ม ด้ายและเชือก อีกมือมีจานไม้ที่วางไก่สับแบ่งเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารลอยมาแล้วทำให้ทุกคนชะงักหันมามองด้านหลังเหมยจิ้งมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงและสาวน้อยคนหนึ่งเดินตามมาด้วย สีหน้าทั้งคู่ดูทั้งตื่นเต้นทั้งเกร็ง เสื้อผ้าสีทึมเกือบขาด ชายคนนั้นก้าวเข้ามา พอเห็นจือจื่อนั่งอยู่ก็รีบคำนับอย่างลนลาน"ข้าน้อยหนานซ่ง เป็นพ่อบ้านดูแลจวนหลังนี้ คารวะพระสนม…ข้า…ข้าน้อยผิดเองที่ไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดมาพัก ยังปล่อยให้จวนทรุดโทรมถึงเพียงนี้" หนานซ่งก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้ง"พูดตามตรง…ข้าน้อยไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาอยู่ที่นี่จริงๆ"โจวชวี่กับชูอวี่ที่กำลังแทะไก่ของตัวเองมองหน้ากัน ก่อนจะวางไก่ลงแล้วกอดอกยืดตัวเชิดหน้าโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเหมือนเพิ่งได้ชัยชนะบางอย่างจากการ

  • สนมอ้วนที่ฮ่องเต้ไม่รัก   ตอนที่11ที่ซุกหัว2

    "ตกปลา ล่าไก่หรือ เจ้าเป็นสนมอยู่ในวัง เป็นลูกขุนนาง คงไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้ทำยากขนาดไหน กว่าจะใช้ธนูยิงมาได้แต่ละตัว พวกข้าก็ไม่มีธนูตอนนี้"จือจือทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา"พวกเจ้านี่ไม่คิดจะพัฒนาบ้างหรือไร ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวข้าสอนวิธีดีๆ ให้ มีร้อยแปดวิธีในการจับไก่"โจวชวี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ"เจ้าเอาเครื่องมือมาหรือ ดีเลย"จือจือส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี"ข้าจะทำเองให้พวกเจ้าต่างหาก แต่ว่าต้องใช้เวลา"นางเอามือลูบท้องตัวเองที่ร้องประท้วงไม่หยุด เสียงดังจ๊อกเบาๆ"ตอนนี้เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือข้ากำลังหิวมาก ไก่ย่างของพวกเจ้าก็เอามาแบ่งเท่าๆ กัน รองท้องไปก่อนเถอะ อิ่มด้วยกัน อดด้วยกัน"จือจือเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายอย่างคนเห็นภาพอนาคตไกล"ข้ารับรองว่าต่อจากนี้เราจะมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีสังกะสีคุ้มหัว เจ้าไม่ต้องห่วง"เหมยจิ้งยืนมองนายหญิงของตนอย่างตะลึง ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองยืนนิ่งไปชั่วอึดใจ โจวชวี่กับชูอวี่เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ความสดใสของจือจื่อทำให้บรรยากาศในตำหนักร้างที่มืดหม่นดูอ่อนลง หญิงอ้วนผู้มีแววตาสดใสคนนี้ประหลาดจริงเชียวโจวชวี่ก้มลงหยิ

  • สนมอ้วนที่ฮ่องเต้ไม่รัก   ตอนที่10ที่ซุกหัว

    จือจื่อเดินตามเหมยจิ้งเข้าไปด้วย ในจวนใหญ่รกร้างนั่นนับว่าคนขับรถม้าใจดีไม่น้อยอย่างน้อยอากาศหนาวๆ แบบนี้ทั้งสองก็ยังพอมีที่ซุกหัวนอนความเงียบงันของตำหนักร้างทำให้ทุกก้าวที่เหยียบลงไปเหมือนเหยียบลงบนหัวใจตัวเอง จือจื่อกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ผนังไม้ผุพัง เถาวัลย์เลื้อยพันรั้ว เดินทะลุผ่านโถงด้านในไปจนถึงด้านหลังที่ถูกกั้นไว้เหมือนสวนร้าง หญ้าขึ้นรกสูงเกือบถึงเข่า กลิ่นอับชื้นปะปนกับกลิ่นควันจางๆ ลอยมากระทบจมูกดวงตาของจือจื่อเบิกกว้าง เมื่อเห็นควันไฟลอยออกมาจากห้องเก็บฟืนเก่าด้านหลัง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก"แย่แล้วเหมยจิ้ง ใครมาเผาบ้าน รีบมาช่วยกันดับไฟเร็ววววว"เสียงตะโกนของนางดังลั่นจนเหมยจิ้งสะดุ้ง จือจื่อไม่รอช้า วิ่งพรวดเข้าไปผลักประตูห้องเก็บฟืนอย่างแรง ประตูไม้ผุส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะเปิดออกพร้อมควันขาวลอยคลุ้งภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางชะงัก บุรุษหนุ่มสองคน อายุราวสิบห้าปี หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวมอมแมม นั่งยองๆ อยู่ข้างกองไฟเล็กๆ ที่ก่อจากเศษไม้แห้งทั้งสองอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหงายหลังล้มผงะออกจากกองไฟด้วยความตกใจ"อ๊าก"

  • สนมอ้วนที่ฮ่องเต้ไม่รัก   ตอนที่9ตำหนักร้างที่เมืองอี้

    "ข้าจะต้องเอาชีวิตรอดให้ได้..." เยว่จื่อพูดในใจ รู้สึกถึงความหนักหน่วงที่กำลังจะมาถึง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหมยจิ้งจับมือของเยว่จื่อแน่นขึ้น รู้ดีว่าการสนับสนุนจากใครสักคนคือสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เยว่จื่อผ่านพ้นจากความยากลำบากนี้ไปได้"เจ้าค่ะ นายหญิงจือจื่อ" ในยามที่ร่างกายอ่อนล้า ใจของเยว่จื่อยังคงแข็งแกร่งไม่แพ้ใครเยว่จื่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหลับตาลง ทุกอย่างมันเหมือนกับภาพลวงตาแต่อย่างน้อย ร่างนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่...หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากการถูกเนรเทศมาที่ตำหนักร้างนั้น เต็มไปด้วยความเหน็บหนาวและความอดอยาก ตำหนักที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงศักดิ์ตอนนี้กลับกลายเป็นที่รกร้าง เต็มไปด้วยเถาวัลย์และฝุ่นเก่าทึม จนแทบไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใกล้ รถม้านำทั้งสองคนมาทิ้งไว้ที่นี่"ไม่มีอะไรกินได้เลยเจ้าค่ะ... โธ่...นายหญิงของเหมยจิ้งต้องหิวมากๆ เลยใช่ไหมเจ้าค่ะ..." เสียงของเหมยจิ้งแผ่วเบาด้วยความห่วงใยจือจื่อลองยืนมองรอบๆ ตำหนักที่ถูกทิ้งร้าง บรรยากาศรอบๆ มืดมัวและเงียบสงัด เหมือนกับว่าไม่มีอะไรที่น่าพึงพอใจเยว่จื่อหรือจือจื่อหันมองไปที่เหมยจิ้งอย่างเหนื่อยล้าและท้อแท้ ร่

  • สนมอ้วนที่ฮ่องเต้ไม่รัก   ตอนที่8เริ่มต้นใหม่ของจือจื่อ

    เสียงฟาดของไม้กระหน่ำลงบนแผ่นหลังของเยว่จื่อดังสนั่น แรงของการตีทำให้ร่างอ้วนๆ ของนางสะท้านไปทั้งตัว แต่เยว่จื่อยังคงตั้งท่าหยัดยืน มือกุมที่แผ่นหลังที่กำลังเจ็บปวด ทว่าไม่ยอมร้องเสียงดัง ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอที่ทุกคนหวังจะได้เห็น แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งตัวก็ตาม"ฮึก... อึก…" เสียงหอบแห้งของนางดังขึ้น เฉพาะในใจที่เผชิญกับความเจ็บปวดจนแทบจะไม่สามารถทนได้ แต่ทุกคำพูดที่ออกจากปากกลับเป็นเสียงด่าทอ"พวกคนสารเลวข้าไม่มีทางอภัยให้พวกเจ้า" เยว่จื่อกัดฟันกรอดร่างของนางสะเทือนจากไม้ที่ฟาดลงอย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่ารู้ว่าอับจนหนทางแล้วรอยยิ้มระรื่นก่อนหน้านั้นมลายหายไปบุรุษกำยำที่ยืนคอยจับตัวหากว่าจะหนี ขณะที่กลุ่มสนมเอกและพวกที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย เหมยจิ้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงฟาดไม้สะท้านไปทั่วตำหนักแต่ก็ไม่สามารถหยุดการกระทำของกลุ่มคนที่อยู่รอบข้างได้ หลินซื่อหานยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าขยับตัวไปไหน แม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับการเห็นลูกสาวของตัวเองโดนทำร้ายเช่นนี้"พระสนมได้โปรด... ข้าขอร้องเถิด" หลินซื่อหานร้องตะโกนออกไป สีหน้าของเขามืดมนไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด แต่อีกด้านห

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status