Masukหวังหมัวมัวกระแอมน้ำลายเหนียวในลำคอแล้วกล่าวเสียงกังวานว่า “ในถาดที่พวกท่านเห็นตรงหน้านั้น โปรดหยิบเชือกและมะเขือยาวไปคนละชิ้นเถิด เพื่อที่ข้าจะได้อธิบายกติกาการแข่งขัน”
คุณชายทั้งสี่สิบคนค่อย ๆ เดินไปข้างหน้า บางคนมองหน้ากันอย่างสงสัย ก่อนจะหยิบเชือกและมะเขือยาวขึ้นมาคนละชุดอย่างไม่เต็มใจนัก ขณะที่ส้มลูกเล็ก ๆ ยังคงวางอยู่บนถาดอย่างครบถ้วน ไม่ต่างจากตอนแรก
หวังหมัวมัวหยิบเชือกเส้นหนึ่งขึ้นมาแล้วส่งให้นางกำนัล พร้อมออกคำสั่งอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ขอให้ทุกท่านนำเชือกมาคล้องรอบเอวของตนเอง แล้วผูกปลายเชือกด้านหนึ่งไว้ให้แน่น”
นางกำนัลทำตามที่บอกอย่างคล่องแคล่ว นางเอาเส้นเชือกมาคล้องรอบเอวและผูกปมที่ปลายเชือกด้านหนึ่งบริเวณหน้าท้องอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ปลายเชือกอีกด้านหนึ่งทิ้งยาวลงไปกองกับพื้น
“ส่วนปลายอีกด้านหนึ่ง” หวังหมัวมัวหยุดเว้นช่วงเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ให้นำมาผูกมะเขือยาวให้แน่น โดยกะความยาวให้มะเขือยาวลอยอยู่เหนือพื้นเพียงเล็กน้อย”
นางกำนัลหยิบมะเขือยาวที่เตรียมไว้ขึ้นมาแล้วผูกเข้ากับปลายเชือกอีกด
เมื่อยามเว่ยมาถึงหวังหมัวมัวเชิญผู้เข้าแข่งขันทุกคนเดินออกจากลานกว้าง ตรงไปที่โรงครัวด้านในที่จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องครัวไว้อย่างเป็นสัดส่วนจำนวนสี่สิบที่มุมปากของผู้เข้าคัดเลือกแต่ละคนกระตุกระรัวอย่าบอกนะว่าการคัดเลือกรอบบ่ายจะเป็นการทำอาหาร?“อย่างที่ทุกท่านเห็นกันแล้ว การคัดเลือกรอบสองนี้ จะเป็นการทำอาหารถวายองค์หญิงใหญ่ บุรุษนั้นนอกจากจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ในยามคับขันก็ต้องมีความสามารถในการดูแลอาหารการกินได้อีกด้วย”คุณชายแต่ละคนยืนเงียบกริบ ความรู้สี่ตำราห้ามคัมภีร์ในสมองร่วงหล่นกระจัดกระจาย ไป๋เฉียนเหลือบสายตาคมปราดมองไปที่เสิ่นจิ้งเหยาอีกคราพ่อเจ้าบอกข้อมูลผิดอีกแล้วนะ!!เสิ่นจิ้งเหยาทำได้เพียงแต่หลบสายตาไปอีกทางแล้วผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันน่ะ!?ข้าก็ตกใจไม่แพ้เจ้าหรอก!!จวงหมิงรุ่ยระบายลมหายใจหนักหน่วง เมื่อคิดว่าการคัดเลือกในรอบนี้คงไม่ง่ายเสียแล้ว ก่อนจะหันหน้าไปลอบสังเกตเจียงอวี้เฉิงที่ยืนอยู่อีกทาง ใบหน้าของเขานิ่งสงบราวกับเป็นรูปแบบการคัดเลือกที่คาดคิด
ฮ่องเต้ชิงหยางและองค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นจากที่ประทับแล้วเดินกลับเข้าไปพักผ่อนที่ด้านในเมื่อเห็นว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์เดินจากไปแล้ว บรรดาขุนนางจึงรีบเดินลงไปที่ลานแข่งขัน เพื่อสอบถามอาการบุตรหลานของตนเองเจิ้นกั๋วกงสาวเท้ายาวเดินเข้าไปหาเจียงอวี้เฉิงที่กำลังผูกพู่แดงกับป้ายหมายเลขของตนเองอย่างพึงพอใจในผลการแข่งขันรอบแรก เขายกมือขึ้นตบไหล่แข็งแรงของลูกชาย จนเจียงอวี้เฉิงเซถลาไปด้านหน้าหลายก้าว“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ลูกพ่อเอวแข็งแรงดีจริง ๆ ”“ท่านพ่อ…” เจียงอวี้เฉิงกลอกตามองบน ลากเสียงอย่างระอา “เรื่องเช่นนี้ มิต้องชมเชยกันหรอกขอรับ”เจิ้นกั๋วกงชอบใจในท่าทีของบุตรชาย เสียงหัวเราะดังกังวานไปทั่วบริเวณ “ลูกพ่อเก่งเช่นนี้ เย็นนี้ เจ้าอยากกินอะไรก็บอก ข้าจะให้แม่เจ้าทำเตรียมไว้ให้ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”หื้ม พ่อบ้านใจกล้าไปอีก...ท่านกล้าสั่งท่านแม่รึไง?“เอาล่ะ อย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่เจ้าได้คะแนนสูงสุดในการคัดเลือกรอบแรก” เจิ้นกั๋วกงหันไปสั่งคำกับลูกน้องข้างตัว “จ้าวลี่ ส
นอกจากชิงหว่านซินที่จ้องมองเจียงอวี้เฉิงแล้ว ก็ยังมีสายตาอีกหลายคู่ที่จ้องมองเขาด้วยเช่นกัน“อย่างไรการแข่งรอบแรกก็เป็นเพียงการวัดกำลัง เจียงซื่อจื่อจะชนะก็คงไม่แปลกอันใดใช่หรือไม่? หมิงรุ่ย” ไป๋เฉียนถามขึ้น ในขณะที่เดินมาอยู่ข้างกายจวงหมิงรุ่ยที่ในมือของเขามีพู่แดงอยู่หนึ่งชิ้น“แต่ช่างเป็นการแข่งขันที่ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน” เสิ่นจิ้งเหยา สหายสนิทอีกคนบ่นขึ้นอย่างไม่ชอบใจ แม้ว่าเขาเองก็จะได้รับพู่แดงมาหนึ่งชิ้นด้วยเช่นกัน “พ่อของข้าอุตส่าห์ติดสินบน เพื่อสอบถามขันทีไปตั้งมากมาย จึงได้ความว่าจะเป็นการวิ่งแข่ง”“นั่นสิ พวกเราจึงต้องไปฝึกซ้อมร่างกายให้วิ่งอยู่เสียตั้งนาน ผลสุดท้าย กลับเป็นการแข่งขันประหลาดเช่นนี้ไปเสียได้” ไป๋เฉียนผสมโรง ก่อนจะนึกขึ้นได้ “แต่ก็พอจะมีคนมองออกว่านี่ไม่ใช่การแข่งวิ่งธรรมดานะ”จวงหมิงรุ่ยถามขึ้นในทันที “ผู้ใด?”“เจียงซื่อจื่อ”คำตอบจากปากสหายสนิท ทำให้ดวงตาของจวงหมิงรุ่ยลุ่มลึกขึ้น“ก่อนเริ่มการแข่งขัน ข้าลองเข้าไปสอบ
“พี่หญิง พี่หญิง...” เสียงเรียกที่คุ้นเคยจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้ชิงหว่านซินต้องละสายตาจากสนามแข่งมามองชิงหว่านซินหันหน้าไปถามอนุชาอย่างอ่อนโยน “ว่าอย่างไรรึ?”“พี่หญิงยังรู้สึกไม่สบายอยู่รึ? จะกลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?” ฮ่องเต้ชิงหยางตรัสถามอย่างเป็นห่วงเพราะชิงหว่านซินเพิ่งจะหายจากอาการไข้ ไม่รู้ว่านางไปต้องลมหนาวในยามใด จึงได้มีไข้ขึ้นสูง นอนสลบไสลไปหลายวัน จึงเพิ่งได้ฟื้นสติขึ้นมา หากแต่เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว พี่หญิงของเขาก็คลับคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคนดวงตาฉายแววเย็นชามากยิ่งขึ้น บ่อยครั้งที่จะนิ่งเงียบราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา...“พี่ทำให้หยางเอ๋อร์ต้องเป็นห่วงแล้ว หมอหลวงเพิ่งมาตรวจอาการให้พี่ เขาบอกว่าอาการของพี่ดีขึ้นมากแล้ว” ชิงหว่านซินปลอบใจอีกฝ่าย “ให้พี่รอดูผลเถิด เพราะพี่เองก็อยากจะรู้ว่าผู้ใดจะได้พู่แดงไปมากที่สุดด้วยเช่นกัน”“นั่นสิ... ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าเจียงซื่อจื่อจะเอวดีเช่นนี้” ฮ่องเต้ชิงหยางตรัสขึ้นอย่างพอพระทัย สุรเสียงชื
หวังหมัวมัวกระแอมน้ำลายเหนียวในลำคอแล้วกล่าวเสียงกังวานว่า “ในถาดที่พวกท่านเห็นตรงหน้านั้น โปรดหยิบเชือกและมะเขือยาวไปคนละชิ้นเถิด เพื่อที่ข้าจะได้อธิบายกติกาการแข่งขัน”คุณชายทั้งสี่สิบคนค่อย ๆ เดินไปข้างหน้า บางคนมองหน้ากันอย่างสงสัย ก่อนจะหยิบเชือกและมะเขือยาวขึ้นมาคนละชุดอย่างไม่เต็มใจนัก ขณะที่ส้มลูกเล็ก ๆ ยังคงวางอยู่บนถาดอย่างครบถ้วน ไม่ต่างจากตอนแรกหวังหมัวมัวหยิบเชือกเส้นหนึ่งขึ้นมาแล้วส่งให้นางกำนัล พร้อมออกคำสั่งอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ขอให้ทุกท่านนำเชือกมาคล้องรอบเอวของตนเอง แล้วผูกปลายเชือกด้านหนึ่งไว้ให้แน่น”นางกำนัลทำตามที่บอกอย่างคล่องแคล่ว นางเอาเส้นเชือกมาคล้องรอบเอวและผูกปมที่ปลายเชือกด้านหนึ่งบริเวณหน้าท้องอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ปลายเชือกอีกด้านหนึ่งทิ้งยาวลงไปกองกับพื้น“ส่วนปลายอีกด้านหนึ่ง” หวังหมัวมัวหยุดเว้นช่วงเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ให้นำมาผูกมะเขือยาวให้แน่น โดยกะความยาวให้มะเขือยาวลอยอยู่เหนือพื้นเพียงเล็กน้อย”นางกำนัลหยิบมะเขือยาวที่เตรียมไว้ขึ้นมาแล้วผูกเข้ากับปลายเชือกอีกด
เจียงอวี้เฉิงหันหน้าไปตามเสียงเรียก จึงได้เห็นบุรุษหนุ่มน้อยที่เดินเข้ามายืนข้างตัว ป้ายหมายเลขที่ผูกอยู่ข้างเอวเป็นเลขหนึ่งไป๋เฉียน...“ไป๋ซื่อจื่อ มีอะไรรึ?” เจียงอวี้เฉิงถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ พลางขุดคุ้ยความทรงจำเกี่ยวกับไป๋เฉียนและตระกูลไป๋อย่างเร่งด่วนตระกูลไป๋เป็นอีกหนึ่งตระกูลที่มีอำนาจในราชสำนักทางสายบุ๋น เรียกได้ว่าเป็นสามขาอำนาจร่วมกับตระกูลจวงและตระกูลเสิ่นไป๋เฉียนที่ตอนนี้ มีบิดาคือไป๋หูปู้ซ่างซู นับว่าเป็นชายหนุ่มที่มากความสามารถผู้หนึ่ง อีกทั้งยังเป็นสหายสนิทกับจวงหมิงรุ่ยอีกด้วย เป็นสหายสนิทที่ร่วมแบ่งปันกันทุกเรื่องราวข้อมูลน้อยเกินไป...ไป๋เฉียนยิ้มละไมอย่างต้องการผูกมิตร “ข้าเพียงแต่อยากขอความเห็นจากเจียงซื่อจื่อเท่านั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์ตรงหน้า เจียงซื่อจื่อคิดว่าจะเป็นการแข่งขันเช่นไรหรือ?”เจียงอวี้เฉิงหันหน้ากลับไปมองลู่วิ่งตรงหน้าที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้นเส้นเชือกหนาจำนวนสิบเอ็ดเส้นวางขนาบกันอย่างพอดิบพอดี นั่นหมายความว่า เป็นการแข่งขันครั้งละสิบคนความยาวข







