ช่วยเหลือเขาจนขึ้นสู่อำนาจอย่างที่เขาปรารถนา แต่เมื่อถึงฝั่งฝัน ท่านโหวผู้นั้นก็รีบแต่งสตรีในดวงใจของเขาแทบจะในทันที เมื่อรักที่นางมอบให้ ถูกตอบแทนด้วยการหักหลัง นางจึงตัดสินใจจากลา เมื่อจากเป็นไม่ได้ ก็จากตายกันไปเสียเถิด
view moreบทนำ
เสียงประทัดดังสนั่น ท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมและริ้วธงมงคล ผู้คนต่างร่วมแสดงความยินดีกับพิธีสมรสของท่านโหวหนุ่มผู้กุมอำนาจสูงสุดในแคว้น เสียงดนตรีบรรเลงขับขาน เสียงหัวเราะเบิกบานดังไปทั่วทุกแห่ง
ท่า มกลางแสงคบเพลิงที่ลุกโชนอยู่หน้าจวนโหว เสียงฆ้องกังวานแว่วก้องไปทั่วบริเวณ ประกาศให้ผู้คนรับรู้ถึงพิธีสมรสอันยิ่งใหญ่ของท่านโหวหนุ่ม ผู้เพิ่งก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุดในแคว้น ขบวนเจ้าสาวถูกต้อนรับเข้าสู่จวนอย่างสมเกียรติ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังนางผู้เป็นสตรีในดวงใจของเขา นางผู้ได้รับชัยชนะในหัวใจของชายที่สูงศักดิ์
แต่ท่ามกลางความชื่นมื่นในค่ำคืนนี้ มีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นเหมย หญิงสาวในอาภรณ์เรียบง่ายยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย มือของนางกำชายอาภรณ์แน่นราวกับต้องการยึดเหนี่ยวบางสิ่งเอาไว้ในใจ
ดวงตาของนางจับจ้องไปยังจวนโหว สถานที่ที่เคยเป็นเสมือนบ้านของนาง สถานที่ที่นางเคยฝากหัวใจ ฝากความหวัง และฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับบุรุษเพียงผู้เดียว
นางเคยอยู่ข้างเขาในวันที่เขาไร้หนทาง เคยต่อสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน ยอมเอ่ยวาจาอ้อนวอนขุนนางผู้ทรงอำนาจ ยอมยื่นมือเปื้อนเลือดเพื่อเขา ไม่ว่าทุกข์หรือสุขก็เคียงข้างเสมอ
แต่วันนี้… นางกลับกลายเป็นเพียงผู้ที่ถูกลืมเลือน ทั้ง ๆ ที่เขาสัญญา… ว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งกัน
นางยังจำได้ดี คำสัตย์ปฏิญาณที่เขาเคยกล่าวในคืนที่พายุโหมกระหน่ำ ในคืนที่เขายังเป็นเพียงชายหนุ่มผู้ไร้อำนาจและถูกรังเกียจเหยียดหยาม นางเคียงข้างเขาในเวลาที่ทุกข์ยาก เป็นเงาที่คอยสนับสนุน เป็นมือที่ช่วยผลักดันให้เขาก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่
แต่เมื่อเขาขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้ว เขากลับทอดทิ้งนางราวกับเป็นเพียงเศษฝุ่นในสายตา
นางเข้าใจแล้ว ที่ผ่านมานางเป็นเพียงสะพานที่เขาใช้ข้ามไปสู่ความสำเร็จ เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานที่หมดค่าแล้วก็ถูกผลักออกไป
หัวใจที่เคยอบอุ่นเย็นเยียบลงทุกขณะ นางไม่ได้ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาสักหยดให้หลั่งริน เพราะเวลานี้น้ำตาไม่มีความหมายอีกต่อไป
คืนนี้… จะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาและนางจะได้อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน
หากจากเป็นไม่ได้… เช่นนั้น ก็ต้องจากตายกันไปเสียเถิด
บทที่ 4 ยิ้มได้อีกคราตลาดยามบ่าย แม้หลายร้านเริ่มจะเก็บของแต่ก็มีหลายร้านเริ่มตั้งแผงใหม่ กลิ่นขนม กลิ่นซาลาเปา ฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ ทำเอาซือเหยารู้สึกอยากจะลองกินแต่นางก็ไม่กล้าเอ่ย“ข้าจะมาซื้อสมุนไพรสักหน่อย แม้ว่าจะมีพวกนายพรานอาสาไปเก็บสม ุนไพร แต่บางอย่างก็ยังต้องมาซื้อจากร้านนี้” ซือเหยาฟังชายหนุ่มอธิบายแล้วก็เดินตามไป “เจ้าอยากได้อะไรหรือไม่” หญิงสาวส่ายหน้า ไป๋อวิ๋นที่เริ่มชินกับท่าทางราวกับใช้ชีวิตไปวัน ๆ ของนางแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกเขาเดินเข้าไปในร้านสมุนไพรเจ้าประจำ “อ้าว ท่านหมอเทวดา ไม่ได้เจอกันเป็นเดือน วันนี้ต้องการอะไรดีเล่า เดี๋ยวข้าจะลดราคาให้เป็นพิเศษ แต่เดี๋ยวก่อนนะ วันนี้ท่านหมอพาภรรยามาด้วยหรือ” น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นและสายตาของเถ้าแก่ร้านยาทำให้ซือเหยาที่กำลังยืนดูบรรยากาศในร้านถึงกับสะดุ้งนางกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เป็นชายหนุ่มข้างกายที่พูดขึ้นก่อน “ไม่ใช่หรอกเถ้าแก่ นางเป็น...” ไป๋อวิ๋นหันไปมองที่หญิงสาว และเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับคิดว่าจะบอกว่านางเป็นอะไรดี ซือเหยาที่เห็นอีกฝ่ายยังไม่พูดอะไรออกมา ก็ตัดสินใจจะช่วยเขาตอบเอง “ข้าเป็นผู้ช่วยของท่านหมอเจ้าค
บทที่ 3 ก้าวหนี่งก้าว ถอยหลังสองก้าว“ที่นี่ที่ไหน” ซือเหยาถามออกไป อย่างน้อย ๆ หากนางรู้ว่าตนอยู่ห่างจากจวนของสามีไม่ไกลจะได้แอบเข้าไปกระโดดบ่อน้ำเสียอีกรอบ“แคว้นหยาง เมืองชายแดนตะวันตก ที่นี่เป็นกระท่อมที่ข้าเปิ ดเป็นโรงหมอ” หลินซือเหยาคิด สามีเก่านางอยู่แคว้นฉู่ นี่คงเป็นอีกมิติหนึ่ง สุดท้ายนางก็ยังไม่ได้กลับบ้าน“เจ้าเป็นใครหรือ ชื่ออะไรมาจากที่ใด จะให้ข้าติดต่อคนที่บ้านให้หรือไม่” ชายหนุ่มถามยืดยาวแต่ซือเหยากลับตอบสั้น ๆ “ข้าไม่รู้” เพราะไม่แน่ใจว่าที่นี่คือที่ใด และชายตรงหน้าคือมิตรหรือศัตรู นางจึงแสร้งทำเป็นความจำเสื่อมเอาไว้ก่อน ความกังวลกัดกินหัวใจ หากเขารู้ว่านางมาจากอีกมิติ มีความรู้ความสามารถ บุรุษตรงหน้าอาจคิดหาประโยชน์จากนางอย่างที่หลี่อวิ้นรุ่ยทำกับนางซือเหยาเลือกที่จะไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ทำเป็นรู้ทุกสิ่ง สุดท้ายก็ได้กลายเป็นเพียงแค่คนประหลาด “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ใบหน้าของไป๋อวิ๋นฉายแววประหลาดใจ บ่อน้ำที่นางตกลงไปมีความพิเศษ อีกทั้งชุดที่นางสวมใส่ตอนที่เขาพาร่างนางขึ้นมาก็แปลกตา และตัวเขาก็ไม่ใช่หมอธรรมดาแต่เป็นหมอเทวดาตามที่ชาวบ้านเรียก ไม่มีทางที่หญิงสาวตรงหน้
บทที่ 2 กลับบ้านเมื่อรู้สึกถึงสายลมกรรโชกแรก และเสียงฟ้าร้องคำราม หลินซือเหยาที่ยืนอยู่ในเรือนเพียงลำพังก็ค่อย ๆ ถอดอาภรณ์ที่ชายหนุ่ม ที่ได้ชื่อว่าสามี เคยมอบให้ออกทีละชิ้น ทีละชิ้น หญิงสาวเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดเดิมที่นางเคยสวมใส่เมื่อยามมาที่มิติแห่งนี้เป็นวันแรก ชุดธรรมดา ๆ ไม่ได้เลิศหรูอะไร แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อตัวนางและมิติในอดีต ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรหรือใครที่นางรักอีกแล้ว นางก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไปหัวใจที่โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีกแล้วในยามนี้ หญิงสาวเดินฝ่าลมฝนออกไปยังบ่อน้ำเบื้องหน้า ดวงตาไม่รักดีเผลอเหลือบมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยของสามีของนางที่ยามนี้มีคนอื่นเคียงข้างกาย เขายืนประคองสตรีอีกคนแนบแน่นราวกับนางเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต ซือเหยายิ้มจาง ๆ ยามนี้นางไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาห่วงใยหรือใส่ใจอีกต่อไปแล้ว ถึงกระนั้นเมื่อสบตากับสายตาที่เมินเฉยของเขาเพียงชั่วอึดใจ หัวใจที่นางเคยคิดว่ามันไร้ความรู้สึกแล้วก็กลับเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย “ยังจะโง่ไม่เลิกอีก” นางบ่นว่าหัวใจของตน ที่มันเจ็บปวดกับท่าทางของสามี แต่ความลังเลก็หายไปเมื่อเสียงฟ้า
บทที่ 1 คืนก่อนงานมงคลสมรสเสียงสายลมหวีดหวิวพัดผ่านเรือนพักของหลินซือเหยา หญิงสาวก้าวเดินไปอย่างมั่นคงแม้ในใจจะว่างเปล่า ตั้งแต่วันที่นางตัดสินใจจะจากไป หัวใจของนางก็ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ไ ม่มีความเจ็บ ไม่มีความโกรธ และไม่มีแม้กระทั่งน้ำตานางมาหยุดยืนอยู่ริมบ่อน้ำอีกครั้ง คืนนี้ฟ้าปิดสนิท ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงดาว มีเพียงสายลมเย็นที่พัดผ่านเหมือนค่ำคืนที่พานางข้ามมิติมายังโลกนี้หลินซือเหยายืนอยู่ริมบ่อน้ำ หญิงสาวมองเงาสะท้านของตนเองที่สั่นไหวตามระลอกคลื่นของน้ำ กระแสลมเริ่มพัดโหมเหมือนกับมีพายุ แต่นี่คือสิ่งที่หญิงสาวรอคอย“ข้าคิดว่าข้าจะมีความสุขที่นี่…” นางพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ความฝันที่ข้าหลอกตัวเองมาตลอด”ซือเหยาหลับตาลง ความทรงจำไหลย้อนกลับมาครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยอยู่ในอีกยุค เพราะขับรถฝ่าพายุจึงทำให้เธอมาโผล่ที่ยุคนี้ วันแรกที่นางมาถึง นางทั้งสับสนและหวาดกลัว นางเป็นเพียงหญิงสาวจากยุคที่ไกลออกไป แต่เพราะความรู้และทักษะจากยุคเดิม นางจึงสามารถช่วยเขาได้ ตอนแรกคิดว่าเป็นโชคชะตา ที่สวรรค์เมตตาพามาพบกับคนที่มีด้ายแดง แต่ไม่นึกเลย ต่อให้นางทำดีแค่ไหน
บทนำเสียงประทัดดังสนั่น ท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมและริ้วธงมงคล ผู้คนต่างร่วมแสดงความยินดีกับพิธีสมรสของท่านโหวหนุ่มผู้กุมอำนาจสูงสุดในแคว้น เสียงดนตรีบรรเลงขับขาน เสียงหัวเราะเบิกบานดังไปทั่วทุกแห่งท่า มกลางแสงคบเพลิงที่ลุกโชนอยู่หน้าจวนโหว เสียงฆ้องกังวานแว่วก้องไปทั่วบริเวณ ประกาศให้ผู้คนรับรู้ถึงพิธีสมรสอันยิ่งใหญ่ของท่านโหวหนุ่ม ผู้เพิ่งก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุดในแคว้น ขบวนเจ้าสาวถูกต้อนรับเข้าสู่จวนอย่างสมเกียรติ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังนางผู้เป็นสตรีในดวงใจของเขา นางผู้ได้รับชัยชนะในหัวใจของชายที่สูงศักดิ์แต่ท่ามกลางความชื่นมื่นในค่ำคืนนี้ มีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นเหมย หญิงสาวในอาภรณ์เรียบง่ายยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย มือของนางกำชายอาภรณ์แน่นราวกับต้องการยึดเหนี่ยวบางสิ่งเอาไว้ในใจดวงตาของนางจับจ้องไปยังจวนโหว สถานที่ที่เคยเป็นเสมือนบ้านของนาง สถานที่ที่นางเคยฝากหัวใจ ฝากความหวัง และฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับบุรุษเพียงผู้เดียวนางเคยอยู่ข้างเขาในวันที่เขาไร้หนทาง เคยต่อสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน ยอมเอ่ยวาจาอ้อนวอนขุนนางผู้ทรงอำนาจ ยอมยื่นมือเปื้อนเลือดเพ
Mga Comments