หลังจากคืนนั้น ลู่ซือหนานก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แม้นางยังคงเศร้าอยู่บ้าง แต่ไม่หมกตัวอยู่ในห้องเหมือนก่อนอีกแล้ว นางเริ่มออกมาเดินเล่นบ้างในสวน ออกมานั่งอ่านตำราที่ศาลาชมดอกไม้บ้าง แม้จะยังยิ้มได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม ทว่าความสดใสในดวงตาของนางก็ค่อยๆ กลับคืนมา
เผิงเหยียนเฉิงคอยสังเกตอยู่เงียบๆ ในใจโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนัก คงเพียงคอยอยู่ไม่ไกล เฝ้ามองอย่างอ่อนโยน และอยู่เคียงข้างโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด
วันหนึ่ง ในขณะที่ลู่ซือหนานกำลังนั่งก้มหน้าคัดลอกบทกลอนอยู่ที่ศาลา เผิงเหยียนเฉิงก็ถือกระดานหินหมึกและพู่กันเดินเข้ามา
“เจ้าบอกว่าอยากเรียนแต่งกลอนมิใช่หรือ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ลู่ซือหนานเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยแววตาแปลกใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างบางเบา
“ข้ายังอยากเรียนอยู่” นางเอ่ยเสียงแผ่ว
เผิงเหยียนเฉิงวางกระดานหินลงตรงหน้า เริ่มสอนการเลือกคำ การเรียงวรรคตอนเบื้องต้นอย่างใจเย็น ลู่ซือหนานตั้งใจฟัง นางจับพู่กันด้วยท่าทีจริงจัง แม้มือยังสั่นเล็กน้อยเพราะความประหม่า แต่ก็มีความพยายามอย่างเต็มที่
“ดีมาก” เขาชมเบาๆ เมื่อนางลองเขียนวรรคกลอนแรกออกมาได้
คำชมอ่อนโยนนั้น ทำให้แก้มของหญิงสาวขึ้นสีระเรื่อ นางเม้มปากยิ้มบางๆ ทั้งขวยเขินและมีความสุข
ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ระหว่างทั้งสองคน ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
ลู่ซือหนานเหมือนก้อนเมฆหม่นที่ค่อยๆ กระจ่างใสขึ้นทีละน้อย ส่วนเผิงเหยียนเฉิงก็เหมือนสายลมแผ่วเบา คอยพัดพาเมฆหม่นนั้นให้ปลิวผ่านฟ้าไปอย่างเงียบงัน
ในตอนนั้นลู่หยวนฉีเดินผ่านศาลา เห็นทั้งสองนั่งคุยกันเรื่องบทกลอนก็ได้แต่มองด้วยสายตาเอ็นดู
เขายิ้มอย่างพึงพอใจในใจ คิดว่าหากสวรรค์จะลิขิตให้บุตรีของตนได้พบกับผู้ชายที่มั่นคง เฉลียวฉลาด และมีเมตตาแท้จริงเสียที ก็ขอให้เป็นเผิงเหยียนเฉิงคนนี้เถิด
แต่เขาเองก็มิได้เร่งรัดหรือยื่นมือเข้าไปสอดอะไร เพราะรู้ดีว่าหัวใจที่บอบช้ำต้องการเวลาเยียวยา
ในตอนนั้นลู่ฮูหยินก็เดินมายืนเคียงสามี แล้วทอดสายตาไปยังหนุ่มสาวที่กำลังแต่งกลอนกันอยู่จากระยะไกล
“ข้าดูแล้ว เผิงเหยียนเฉิงแม้ผ่านเรื่องร้ายมา แต่จิตใจกลับหนักแน่นมั่นคง หากได้เขามาเป็นลูกเขย คงไม่ต้องห่วงอนาคตของหนานเอ๋อร์นัก” ลู่หยวนฉีถอนหายใจยาว ภรรยาของเขา พยักหน้าเบาๆ สีหน้าเปี่ยมด้วยความเห็นใจ
“ข้าเองก็เห็นเช่นนั้น เหยียนเฉิงอ่อนโยน เฉลียวฉลาด ไม่ใช่คนเห็นแก่ได้ แต่...” นางนิ่งไปเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ
“เราจะบังคับลูกมิได้ หนานเอ๋อร์เพิ่งผิดหวังมาหมาดๆ ใจของนางยังคงเจ็บอยู่ หากเราผลักดันเร็วเกินไป เกรงว่านางจะยิ่งตัดใจได้ยาก”
“จริง ยิ่งไปกว่านั้น เหยียนเฉิงเคยผ่านการแต่งงานมาก่อน แม้ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ข้าก็กลัวว่าในใจเขาจะยังมีปม หากบังคับมากไป เขาอาจคิดว่าเราเห็นเขาเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทน มิใช่ความรักแท้จริง” ลู่หยวนฉีพยักหน้าไปกล่าวไป สีหน้าหนักแน่นขึ้น
สองสามีภรรยาเงียบไปครู่หนึ่ง ฟังเสียงสายลมอ่อนๆ พัดผ่านสวนดอกไม้
“ปล่อยให้เป็นไปเองเถิด หากเป็นบุพเพ สักวันหนานเอ๋อร์กับเหยียนเฉิงจะได้เลือกกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพราะเรากำหนดเส้นทางไว้” อันเหม่ยฉินกล่าวเสียงอ่อนโยน
ลู่หยวนฉียิ้มบางๆ ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความรักบุตรีสาดประกายอ่อนโยน
“ใช่แล้ว ปล่อยให้สวรรค์เป็นผู้ลิขิต...”
************************
แสงแดดยามสายสาดลอดผ่านแนวระแนงไม้ของศาลาใหญ่ เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่หน้าตำรากองโต ใต้สายตาอาจารย์ชราในชุดคลุมสีหม่นจากสำนักศึกษา
ชายหนุ่มที่เคยอ่อนแอจนต้องพยุงตัวด้วยไม้เท้า บัดนี้นั่งหลังตรง ใบหน้ามุ่งมั่น ดวงตาแน่วแน่จับจ้องอยู่กับตัวอักษรบนกระดาษ ไม่ว่อกแว่กแม้เพียงน้อย
“บัณฑิตเผิง เจ้าเข้าใจบทความนี้หรือไม่” เสียงของอาจารย์แผ่วเบา แต่จริงจัง
เผิงเหยียนเฉิงพยักหน้า ก่อนเอ่ยคำอธิบายอย่างกระชับ ชัดเจน ทั้งยังเสริมข้อคิดของตนลงไปในคำตอบ แววตาของอาจารย์ฉายแววพึงพอใจ
“เจ้าช่างมีปัญญาหลักแหลม สมแล้วที่ข้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นบัณฑิตผู้สอบได้คะแนนสูงเมื่อครั้งก่อน หากรักษาความเพียรนี้ไว้ ปีหน้าในการสอบเคอจวี่ เจ้าย่อมมีหวังสอบติดในลำดับต้นอย่างแน่นอน”
เผิงเหยียนเฉิงค้อมศีรษะลงด้วยความเคารพ น้ำเสียงหนักแน่น
“ศิษย์ขอบพระคุณอาจารย์ ข้าจะไม่ทำให้ทุกผู้ที่ช่วยเหลือข้าต้องผิดหวัง”
เขาก้มหน้าก้มตาจดตำรา ลายมือแม้ยังสั่นเล็กน้อยจากร่างกายที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่ก็มีความมุ่งมั่นอยู่ในทุกเส้นพู่กัน
สำหรับเผิงเหยียนเฉิงแล้ว การสอบผ่านปีหน้าไม่ใช่แค่การกู้เกียรติยศกลับมา แต่ยังเป็นเส้นทางใหม่ของชีวิต เป็นโอกาสเริ่มต้นอีกครั้ง ที่เขาจะคว้าด้วยสองมือของตนเอง
************************
วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำที่ไหลเอื่อย บาดแผลในหัวใจของลู่ซือหนานไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน แต่ก็ค่อยๆ จางเบาลงทุกครั้งที่นางเลือกจะเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่หลบหนีทุกเช้าเมื่อลืมตาตื่น นางไม่ได้รอคอยเสียงก้าวเท้าของผู้มาเยือนอีกต่อไป ทุกค่ำคืนเมื่อเอนกายลงบนหมอน นางไม่เฝ้าฝันถึงอดีตอีกแล้ว นางเรียนรู้ที่จะยิ้มให้ตัวเองในกระจก แม้ในวันที่ยังรู้สึกเจ็บลึกอยู่บ้างนางรู้สึกได้ว่าตนเอง แข็งแกร่งขึ้น ความผิดหวังทำให้นางเติบโต ไม่ใช่เพราะไม่มีน้ำตา แต่เพราะแม้มีน้ำตา นางก็ยังสามารถเช็ดมันเองได้ และยืนหยัดต่อไปด้วยหัวใจที่สงบนิ่งกว่าเดิมลู่ซือหนานเดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมายอยู่ในเรือน สองมือประสานกันอยู่หน้าท้อง ดวงหน้าเศร้าสร้อยยังไม่คลายจากความผิดหวังในหัวใจเมื่อเดินผ่านศาลาใหญ่ นางก็ชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นอย่างเงียบงันเบื้องหน้าภายในศาลา เผิงเหยียนเฉิงนั่งเรียนอยู่กับอาจารย์ผู้เป็นนักปราชญ์ ตรงหน้ามีตำราหลายเล่มที่กางเปิด วางพู่กันในมือลงเป็นจังหวะราวกับกำลังขีดเขียนคำสำคัญลงไปด้วยความตั้งใจจริง สีหน้าแน่วแน่ มั่นคง ดวงตาทอประกายเคร่งขรึมอย่างที่นางไม่เค
ถนนหินเรียบทอดยาวไปเบื้องหน้า ตลาดเย็นเริ่มคึกคัก ผู้คนเดินขวักไขว่ เสียงแม่ค้าร้องเรียกขายของดังระงมกลบเสียงอื่นๆ ไปหมด กลิ่นขนมหอมๆ ลอยฟุ้งปะปนกับกลิ่นเครื่องหอมและผ้าไหมที่พ่อค้าแม่ค้านำมาตั้งแผงขายตลอดสองข้างทางลู่ซือหนานเดินนำหน้าเล็กน้อย ดวงตากลมใสเปล่งประกายขณะกวาดมองร้านรวงอย่างตื่นเต้น เสี่ยวหลานเดินตามติดอยู่ไม่ห่าง คอยส่งเสียงกระตุ้นเร้าให้แวะชมร้านนู้นร้านนี้เป็นระยะเผิงเหยียนเฉิงเดินตามมาช้าๆ ไม่เร่งรีบ ใบหน้าคมสงบแต่ดวงตากลับอบอุ่นเมื่อทอดมองภาพตรงหน้า“พี่เหยียนเฉิง ท่านเคยมาที่ตลาดเช่นนี้บ้างหรือไม่” ลู่ซือหนานหันกลับมาถามด้วยรอยยิ้มสดใส แก้มนวลขึ้นสีเรื่อด้วยอากาศเย็นเผิงเหยียนเฉิงยกมือไขว้หลัง เดินเทียบข้างนาง พลางส่ายศีรษะเล็กน้อย “เคยมาบ้าง แต่ก็เพียงเพื่อซื้อของจำเป็น ไม่ได้เดินชมเช่นนี้”“เช่นนั้น ท่านต้องลองขนมของร้านนั้นนะเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าวันนี้มีขนมถั่วกวนรสใหม่ด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานชี้ไปยังร้านขนมข้างทางอย่างตื่นเต้น“ไปกันเถอะ” ลู่ซือหนานหัวเราะเสียงใส นางหันมาเอียงหน้าเล็กน้อย พลางมองบัณฑิตหนุ่ม“พี่เหยียนเฉิงยังไม่เคยลิ้มลองขนมร้านนี้แน่”เผิงเหยียนเ
เมื่อกลับมาถึงเรือน ลมเย็นยามค่ำเริ่มพัดผ่านสวนในเรือนสกุลลู่ ใบไม้ปลิวไหวส่งเสียงแผ่วเบาดั่งบทเพลงกล่อมใจลู่ซือหนานเดินนำอยู่ข้างหน้า ก้าวเท้าเบาๆ ทว่าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย ราวกับแม้ร่างกายจะกลับมาได้ แต่ใจยังคงว้าวุ่น เผิงเหยียนเฉิงกับเสี่ยวหลานเดินตามมาเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรพอถึงระเบียงหน้าห้องโถง ลู่ซือหนานก็หยุดเท้า หันกลับมาเผชิญหน้ากับบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาคู่งามที่มักเปล่งประกายเสมอ บัดนี้คล้ายมีม่านหมอกบางเบาปกคลุมไว้“วันนี้ข้าต้องขอบคุณท่านจริงๆ” นางเอ่ยเสียงเบา ดวงตาหลุบต่ำเล็กน้อยเผิงเหยียนเฉิงยิ้มบางๆ ส่ายศีรษะช้าๆ ราวกับไม่ต้องการให้เรื่องเล็กน้อยนี้ถูกยกมาพูดถึง“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ หากข้าอยู่ตรงนั้น แต่ปล่อยให้เจ้าถูกดูหมิ่นเสียชื่อ ข้าคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้” น้ำเสียงของเขาทั้งอ่อนโยนและมั่นคงลู่ซือหนานเม้มริมฝีปากแน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าสู่ใจนางโดยไม่ทันรู้ตัว ดวงตากะพริบถี่ๆ เพื่อไล่ความร้อนผ่าวที่เริ่มก่อตัว“แต่เรื่องในวันนี้ คงทำให้ท่านเดือดร้อนด้วย” นางเอ่ยอย่างลังเล น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงเผิงเหยียนเฉิงกลับหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นนุ่มนวลและอบอุ่นดั่ง
ในห้องโถงของเรือนใหญ่ของสกุลลู่ ทุกอย่างเงียบสงบหลังจากมื้ออาหารเช้า ลู่หยวนฉีและภรรยานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งอย่างอบอุ่น แสงที่สาดส่องเข้ามาทำให้บรรยากาศในห้องอบอุ่นและเป็นกันเองสายตาของทั้งสองคนมองไปทางหน้าต่างที่เปิดไว้เพียงเล็กน้อย ลมเย็นจากข้างนอกพัดเข้ามาอย่างเบาบาง มองไปยังทิศทางที่ลูกสาวกับเผิงเหยียนเฉิงกำลังนั่งเรียนกลอนกันในห้องเรียนด้านใน“ดูเหมือนว่าลูกเราจะหายเศร้าแล้วจริงๆ” ลู่หยวนฉีพูดเสียงเบาและยิ้มให้กับภรรยาของเขา“ทั้งคู่ดูเหมือนว่าจะก้าวผ่านความเจ็บปวดของพวกตนมาได้แล้ว” อันเหม่ยฉินยิ้มตาม“ใช่” ลู่หยวนฉีพยักหน้า“ตัวเหยียนเฉิงเอง ถึงแม้เขาจะเคยผ่านความลำบาก แต่ก็เห็นได้ว่าเขามีความสามารถในการตั้งใจศึกษา รู้จักเป้าหมาย และมีความซื่อสัตย์ไม่หยุดยั้ง ข้าเชื่อว่าบุรุษอย่างเขาหากได้รักลูกสาวเราแล้วก็ยากจะเปลี่ยนใจ”อันเหม่ยฉินครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ข้าเห็นว่าเขาทำให้หนานเอ๋อร์ของเราดูมีชีวิตชีวามากขึ้น หลายวันมานี้ข้าไม่เคยเห็นนางยิ้มสดใสขนาดนี้มาก่อน” “มันเป็นเรื่องธรรมชาติของหนุ่มสาวที่จะมีความรู้สึกแบบนี้ เห็นไหม ทุกครั้
สายลมพัดต้องใบไม้ในสวนกว้างของสกุลลู่ ใบไม้ไหวระริกอยู่ใต้แสงแดดอุ่นเรื่อ พระอาทิตย์อาบแสงบางเบาลงบนระเบียงทอดยาวทุกเช้าเผิงเหยียนเฉิงจะออกมายืนเหยียบบนหินก้อนเรียบในสวน ฝึกการทรงตัว และเดินไปมาช้าๆ เพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้มั่นคงขึ้นเวลาผ่านไปห้าเดือนเต็ม นอกจากท่องตำราอย่างเอาจริงเอาจัง เขายังไม่ละเลยการรักษาตัวเองแม้แต่เพียงวันเดียวมือขวาซึ่งเคยอ่อนแรงก็ค่อยๆ กลับมาใช้การได้คล่องแคล่วขึ้นแล้วถึงสามส่วน ภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่แม้แต่หมอที่ดีที่สุดยังเอ่ยปากชมว่ายอดเยี่ยมเกินคาดเมื่อยามบ่ายมาเยือน เผิงเหยียนเฉิงก็จะนั่งนิ่งบนม้านั่งใต้ต้นหลิวใหญ่ อ่านตำราเกี่ยวกับปรัชญา คุณธรรม และหลักการปกครองบ้านเมือง เนื้อหาที่จำเป็นสำหรับการสอบเคอจวี่ในปีหน้า ซึ่งเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเขาในการกู้ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงกลับคืนมาแม้ความเหนื่อยล้าจะกัดกินร่างกาย แต่สายตาของเขากลับทอประกายแน่วแน่ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความย่อท้ออย่างเช่นในวันนี้ เผิงเหยียนเฉิงนั่งหลังตรงอยู่หน้าตั่งไม้ เคียงข้างด้วยอาจารย์วัยกลางคนจากสำนักศึกษา ดวงตาเผิงเหยียนเฉิงจ้องเขม็งไปยังตำราที่เปิดวางอยู่ตรง
ตามระเบียงทางเดินทอดยาว ลู่ซือหนานเดินด้วยกิริยาที่อ่อนช้อย ด้านหลังมีเสี่ยวหลานและมู่ผิงเดินถือถาดไม้ที่วางถ้วยยาสมุนไพรและน้ำแกงบำรุงตามหลังอย่างไม่ห่างเมื่อมาถึงหน้าห้องพักหนังสือของเรือนรับรอง นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเคาะประตูเบาๆ“เข้ามาได้” เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังลอดออกมาลู่ซือหนานผลักบานประตูไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดเบาๆ เข้าไป ภายในห้องนั้นบัณฑิตหนุ่มกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในชุดคลุมสีครามเรียบง่าย ข้างกายมีตำราปรัชญาวางกองอยู่เป็นตั้งเมื่อเห็นลู่ซือหนานเข้ามา เขาชะงักมือที่ถือพู่กันไว้กลางอากาศ มองนางด้วยสายตาอบอุ่นแต่แฝงด้วยความสงบ“เจ้าเอาอะไรมาด้วยน่ะ” เผิงเหยียนเฉิงเอ่ยถาม น้ำเสียงแม้นุ่มนวลแต่ฟังออกว่าประหลาดใจเล็กน้อย เพราะนอกจากถ้วยยาแล้วยังมีถ้วยอีกใบที่สาวใช้นำมาลู่ซือหนานยิ้มบางๆ ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะข้างเขา ตอบเสียงอ่อนว่า“ข้าทำน้ำแกงไก่บำรุงมาให้ท่านด้วยตัวเอง ดื่มยาฟื้นฟูร่างกายแล้ว ต้องดื่มน้ำแกงเพื่อเพิ่มพละกำลัง ท่านต้องหายดีเร็วๆ นะ”เผิงเหยียนเฉิงมองนางครู่หนึ่ง ราวกับจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เพียงเอื้อมมือหยิบถ้วยยาอย่างเงียบๆ กลิ่นขมของตัวยาค่อยๆ ลอยฟุ้งในอาก
สายลมเย็นยะเยือกในฤดูใบไม้ผลิพัดต้องกระดาษหน้าต่างบางเบา ส่งเสียงกรอบแกรบไม่ขาดสายภายในเรือนพักอันเงียบสงัด เผิงเหยียนเฉิงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่คมที่เคยเปล่งประกายบัดนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า มือข้างขวาของเขาขยับเพียงเล็กน้อยก็พลันรู้สึกชาดั่งไม่ใช่ร่างกายของตนเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล แผ่วเบาแต่ชัดเจนไม่นานนัก ประตูเรือนก็ถูกผลักเปิดออกอย่างไม่เบามือนัก ร่างงามในชุดแพรไหมสีแดงลายดอกโบตั๋นเยื้องย่างเข้ามา ใบหน้าเรียวที่แต่งแต้มอย่างประณีตมีเพียงความเย็นชาปรากฏอยู่ในดวงตา“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงของโจวจิงหยูเยียบเย็นราวหยดน้ำค้างยามรุ่งสาง นางไม่ได้เอ่ยถามไถ่ ไม่ได้เอื้อมมือสัมผัสหน้าผากเขาเช่นภรรยาทั่วไป ทว่ากลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้ากระดาษบางเบาถูกประทับตราประจำตระกูลโจวเอาไว้อย่างชัดเจน“หนังสือหย่า!” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้างขึ้นเพียงนิด ดวงตาที่ขุ่นมัวยิ่งหมองหม่นลง“เพราะเหตุใดเล่าฮูหยิน” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ทั้งที่แม้แต่เปล่งเสียงยังรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน โจวจิงหยูหัวเราะเบาๆ แต่แฝงด้วยความเยาะหยัน“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษพิการเช่นเจ้าหรือ มื
เมืองหลวงของแคว้นสือในยามนี้ยังคงคลุมด้วยหมอกบางๆ ท้องฟ้าสีเทาซีดเย็นชา ราวกับมิได้ต้อนรับการจากไปของผู้ใดเผิงเหยียนเฉิงก้าวเท้าออกจากตรอกเล็กๆ ด้วยไม้เท้า เสียงกระทบพื้นหินดังกึกกักไปตามจังหวะฝีเท้าที่ไม่สม่ำเสมอผ้าคลุมเก่าๆ บนร่างเขาปลิวไหวตามแรงลม ร่างที่เคยยืดตรงอย่างองอาจ บัดนี้โค้งงอเดินไม่มั่นคงอย่างมิอาจขัดขืนทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้ง ทุกลมหายใจเจือกลิ่นอับชื้นของความพ่ายแพ้ ไม่มีใครหันมามอง ไม่มีใครเอ่ยถาม ในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้ล้มลงย่อมไร้ค่าดั่งฝุ่นผงที่ถูกเหยียบย่ำบัณฑิตตกอับกำหมัดซ้ายแน่น ฝ่ามือทั้งสอง นั้นเต็มไปด้วยรอยแตกจากความหนาวเหน็บ เขาเดินผ่านจัตุรัสใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงขจรไกลเมื่อสอบได้ที่หนึ่ง วันนี้ผู้คนในจัตุรัสยังคงพลุกพล่านแต่ไม่มีใครจดจำเขาได้อีกแล้ว“ดูนั่นสิ ขอทานเร่ร่อนอีกคน” เสียงกระซิบดังมาจากกลุ่มคนในร้านชา เขาได้ยินแต่เลือกที่จะเมินเฉยที่ไหล่ขวาของเขา มีห่อผ้าผืนเล็กที่เก็บข้าวของเพียงน้อยนิด ไม่มีแม้แต่ของมีค่าชิ้นใด ทุกสิ่งที่เคยมี ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเช่นเดียวกับความศรัทธาของเขาในวันวานเมื่อเดินถึงประตูเมือง เสียงลั่นเอี๊ยดของประตูที่
ตามระเบียงทางเดินทอดยาว ลู่ซือหนานเดินด้วยกิริยาที่อ่อนช้อย ด้านหลังมีเสี่ยวหลานและมู่ผิงเดินถือถาดไม้ที่วางถ้วยยาสมุนไพรและน้ำแกงบำรุงตามหลังอย่างไม่ห่างเมื่อมาถึงหน้าห้องพักหนังสือของเรือนรับรอง นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเคาะประตูเบาๆ“เข้ามาได้” เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังลอดออกมาลู่ซือหนานผลักบานประตูไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดเบาๆ เข้าไป ภายในห้องนั้นบัณฑิตหนุ่มกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในชุดคลุมสีครามเรียบง่าย ข้างกายมีตำราปรัชญาวางกองอยู่เป็นตั้งเมื่อเห็นลู่ซือหนานเข้ามา เขาชะงักมือที่ถือพู่กันไว้กลางอากาศ มองนางด้วยสายตาอบอุ่นแต่แฝงด้วยความสงบ“เจ้าเอาอะไรมาด้วยน่ะ” เผิงเหยียนเฉิงเอ่ยถาม น้ำเสียงแม้นุ่มนวลแต่ฟังออกว่าประหลาดใจเล็กน้อย เพราะนอกจากถ้วยยาแล้วยังมีถ้วยอีกใบที่สาวใช้นำมาลู่ซือหนานยิ้มบางๆ ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะข้างเขา ตอบเสียงอ่อนว่า“ข้าทำน้ำแกงไก่บำรุงมาให้ท่านด้วยตัวเอง ดื่มยาฟื้นฟูร่างกายแล้ว ต้องดื่มน้ำแกงเพื่อเพิ่มพละกำลัง ท่านต้องหายดีเร็วๆ นะ”เผิงเหยียนเฉิงมองนางครู่หนึ่ง ราวกับจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เพียงเอื้อมมือหยิบถ้วยยาอย่างเงียบๆ กลิ่นขมของตัวยาค่อยๆ ลอยฟุ้งในอาก
สายลมพัดต้องใบไม้ในสวนกว้างของสกุลลู่ ใบไม้ไหวระริกอยู่ใต้แสงแดดอุ่นเรื่อ พระอาทิตย์อาบแสงบางเบาลงบนระเบียงทอดยาวทุกเช้าเผิงเหยียนเฉิงจะออกมายืนเหยียบบนหินก้อนเรียบในสวน ฝึกการทรงตัว และเดินไปมาช้าๆ เพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้มั่นคงขึ้นเวลาผ่านไปห้าเดือนเต็ม นอกจากท่องตำราอย่างเอาจริงเอาจัง เขายังไม่ละเลยการรักษาตัวเองแม้แต่เพียงวันเดียวมือขวาซึ่งเคยอ่อนแรงก็ค่อยๆ กลับมาใช้การได้คล่องแคล่วขึ้นแล้วถึงสามส่วน ภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่แม้แต่หมอที่ดีที่สุดยังเอ่ยปากชมว่ายอดเยี่ยมเกินคาดเมื่อยามบ่ายมาเยือน เผิงเหยียนเฉิงก็จะนั่งนิ่งบนม้านั่งใต้ต้นหลิวใหญ่ อ่านตำราเกี่ยวกับปรัชญา คุณธรรม และหลักการปกครองบ้านเมือง เนื้อหาที่จำเป็นสำหรับการสอบเคอจวี่ในปีหน้า ซึ่งเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเขาในการกู้ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงกลับคืนมาแม้ความเหนื่อยล้าจะกัดกินร่างกาย แต่สายตาของเขากลับทอประกายแน่วแน่ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความย่อท้ออย่างเช่นในวันนี้ เผิงเหยียนเฉิงนั่งหลังตรงอยู่หน้าตั่งไม้ เคียงข้างด้วยอาจารย์วัยกลางคนจากสำนักศึกษา ดวงตาเผิงเหยียนเฉิงจ้องเขม็งไปยังตำราที่เปิดวางอยู่ตรง
ในห้องโถงของเรือนใหญ่ของสกุลลู่ ทุกอย่างเงียบสงบหลังจากมื้ออาหารเช้า ลู่หยวนฉีและภรรยานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งอย่างอบอุ่น แสงที่สาดส่องเข้ามาทำให้บรรยากาศในห้องอบอุ่นและเป็นกันเองสายตาของทั้งสองคนมองไปทางหน้าต่างที่เปิดไว้เพียงเล็กน้อย ลมเย็นจากข้างนอกพัดเข้ามาอย่างเบาบาง มองไปยังทิศทางที่ลูกสาวกับเผิงเหยียนเฉิงกำลังนั่งเรียนกลอนกันในห้องเรียนด้านใน“ดูเหมือนว่าลูกเราจะหายเศร้าแล้วจริงๆ” ลู่หยวนฉีพูดเสียงเบาและยิ้มให้กับภรรยาของเขา“ทั้งคู่ดูเหมือนว่าจะก้าวผ่านความเจ็บปวดของพวกตนมาได้แล้ว” อันเหม่ยฉินยิ้มตาม“ใช่” ลู่หยวนฉีพยักหน้า“ตัวเหยียนเฉิงเอง ถึงแม้เขาจะเคยผ่านความลำบาก แต่ก็เห็นได้ว่าเขามีความสามารถในการตั้งใจศึกษา รู้จักเป้าหมาย และมีความซื่อสัตย์ไม่หยุดยั้ง ข้าเชื่อว่าบุรุษอย่างเขาหากได้รักลูกสาวเราแล้วก็ยากจะเปลี่ยนใจ”อันเหม่ยฉินครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ข้าเห็นว่าเขาทำให้หนานเอ๋อร์ของเราดูมีชีวิตชีวามากขึ้น หลายวันมานี้ข้าไม่เคยเห็นนางยิ้มสดใสขนาดนี้มาก่อน” “มันเป็นเรื่องธรรมชาติของหนุ่มสาวที่จะมีความรู้สึกแบบนี้ เห็นไหม ทุกครั้
เมื่อกลับมาถึงเรือน ลมเย็นยามค่ำเริ่มพัดผ่านสวนในเรือนสกุลลู่ ใบไม้ปลิวไหวส่งเสียงแผ่วเบาดั่งบทเพลงกล่อมใจลู่ซือหนานเดินนำอยู่ข้างหน้า ก้าวเท้าเบาๆ ทว่าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย ราวกับแม้ร่างกายจะกลับมาได้ แต่ใจยังคงว้าวุ่น เผิงเหยียนเฉิงกับเสี่ยวหลานเดินตามมาเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรพอถึงระเบียงหน้าห้องโถง ลู่ซือหนานก็หยุดเท้า หันกลับมาเผชิญหน้ากับบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาคู่งามที่มักเปล่งประกายเสมอ บัดนี้คล้ายมีม่านหมอกบางเบาปกคลุมไว้“วันนี้ข้าต้องขอบคุณท่านจริงๆ” นางเอ่ยเสียงเบา ดวงตาหลุบต่ำเล็กน้อยเผิงเหยียนเฉิงยิ้มบางๆ ส่ายศีรษะช้าๆ ราวกับไม่ต้องการให้เรื่องเล็กน้อยนี้ถูกยกมาพูดถึง“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ หากข้าอยู่ตรงนั้น แต่ปล่อยให้เจ้าถูกดูหมิ่นเสียชื่อ ข้าคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้” น้ำเสียงของเขาทั้งอ่อนโยนและมั่นคงลู่ซือหนานเม้มริมฝีปากแน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าสู่ใจนางโดยไม่ทันรู้ตัว ดวงตากะพริบถี่ๆ เพื่อไล่ความร้อนผ่าวที่เริ่มก่อตัว“แต่เรื่องในวันนี้ คงทำให้ท่านเดือดร้อนด้วย” นางเอ่ยอย่างลังเล น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงเผิงเหยียนเฉิงกลับหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นนุ่มนวลและอบอุ่นดั่ง
ถนนหินเรียบทอดยาวไปเบื้องหน้า ตลาดเย็นเริ่มคึกคัก ผู้คนเดินขวักไขว่ เสียงแม่ค้าร้องเรียกขายของดังระงมกลบเสียงอื่นๆ ไปหมด กลิ่นขนมหอมๆ ลอยฟุ้งปะปนกับกลิ่นเครื่องหอมและผ้าไหมที่พ่อค้าแม่ค้านำมาตั้งแผงขายตลอดสองข้างทางลู่ซือหนานเดินนำหน้าเล็กน้อย ดวงตากลมใสเปล่งประกายขณะกวาดมองร้านรวงอย่างตื่นเต้น เสี่ยวหลานเดินตามติดอยู่ไม่ห่าง คอยส่งเสียงกระตุ้นเร้าให้แวะชมร้านนู้นร้านนี้เป็นระยะเผิงเหยียนเฉิงเดินตามมาช้าๆ ไม่เร่งรีบ ใบหน้าคมสงบแต่ดวงตากลับอบอุ่นเมื่อทอดมองภาพตรงหน้า“พี่เหยียนเฉิง ท่านเคยมาที่ตลาดเช่นนี้บ้างหรือไม่” ลู่ซือหนานหันกลับมาถามด้วยรอยยิ้มสดใส แก้มนวลขึ้นสีเรื่อด้วยอากาศเย็นเผิงเหยียนเฉิงยกมือไขว้หลัง เดินเทียบข้างนาง พลางส่ายศีรษะเล็กน้อย “เคยมาบ้าง แต่ก็เพียงเพื่อซื้อของจำเป็น ไม่ได้เดินชมเช่นนี้”“เช่นนั้น ท่านต้องลองขนมของร้านนั้นนะเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าวันนี้มีขนมถั่วกวนรสใหม่ด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานชี้ไปยังร้านขนมข้างทางอย่างตื่นเต้น“ไปกันเถอะ” ลู่ซือหนานหัวเราะเสียงใส นางหันมาเอียงหน้าเล็กน้อย พลางมองบัณฑิตหนุ่ม“พี่เหยียนเฉิงยังไม่เคยลิ้มลองขนมร้านนี้แน่”เผิงเหยียนเ
วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำที่ไหลเอื่อย บาดแผลในหัวใจของลู่ซือหนานไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน แต่ก็ค่อยๆ จางเบาลงทุกครั้งที่นางเลือกจะเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่หลบหนีทุกเช้าเมื่อลืมตาตื่น นางไม่ได้รอคอยเสียงก้าวเท้าของผู้มาเยือนอีกต่อไป ทุกค่ำคืนเมื่อเอนกายลงบนหมอน นางไม่เฝ้าฝันถึงอดีตอีกแล้ว นางเรียนรู้ที่จะยิ้มให้ตัวเองในกระจก แม้ในวันที่ยังรู้สึกเจ็บลึกอยู่บ้างนางรู้สึกได้ว่าตนเอง แข็งแกร่งขึ้น ความผิดหวังทำให้นางเติบโต ไม่ใช่เพราะไม่มีน้ำตา แต่เพราะแม้มีน้ำตา นางก็ยังสามารถเช็ดมันเองได้ และยืนหยัดต่อไปด้วยหัวใจที่สงบนิ่งกว่าเดิมลู่ซือหนานเดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมายอยู่ในเรือน สองมือประสานกันอยู่หน้าท้อง ดวงหน้าเศร้าสร้อยยังไม่คลายจากความผิดหวังในหัวใจเมื่อเดินผ่านศาลาใหญ่ นางก็ชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นอย่างเงียบงันเบื้องหน้าภายในศาลา เผิงเหยียนเฉิงนั่งเรียนอยู่กับอาจารย์ผู้เป็นนักปราชญ์ ตรงหน้ามีตำราหลายเล่มที่กางเปิด วางพู่กันในมือลงเป็นจังหวะราวกับกำลังขีดเขียนคำสำคัญลงไปด้วยความตั้งใจจริง สีหน้าแน่วแน่ มั่นคง ดวงตาทอประกายเคร่งขรึมอย่างที่นางไม่เค
หลังจากคืนนั้น ลู่ซือหนานก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แม้นางยังคงเศร้าอยู่บ้าง แต่ไม่หมกตัวอยู่ในห้องเหมือนก่อนอีกแล้ว นางเริ่มออกมาเดินเล่นบ้างในสวน ออกมานั่งอ่านตำราที่ศาลาชมดอกไม้บ้าง แม้จะยังยิ้มได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม ทว่าความสดใสในดวงตาของนางก็ค่อยๆ กลับคืนมาเผิงเหยียนเฉิงคอยสังเกตอยู่เงียบๆ ในใจโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนัก คงเพียงคอยอยู่ไม่ไกล เฝ้ามองอย่างอ่อนโยน และอยู่เคียงข้างโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดวันหนึ่ง ในขณะที่ลู่ซือหนานกำลังนั่งก้มหน้าคัดลอกบทกลอนอยู่ที่ศาลา เผิงเหยียนเฉิงก็ถือกระดานหินหมึกและพู่กันเดินเข้ามา“เจ้าบอกว่าอยากเรียนแต่งกลอนมิใช่หรือ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ลู่ซือหนานเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยแววตาแปลกใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างบางเบา“ข้ายังอยากเรียนอยู่” นางเอ่ยเสียงแผ่วเผิงเหยียนเฉิงวางกระดานหินลงตรงหน้า เริ่มสอนการเลือกคำ การเรียงวรรคตอนเบื้องต้นอย่างใจเย็น ลู่ซือหนานตั้งใจฟัง นางจับพู่กันด้วยท่าทีจริงจัง แม้มือยังสั่นเล็กน้อยเพราะความประหม่า แต่ก็มีความพยายามอย่างเต็มที่“ดีมาก” เขาชมเบาๆ เ
เวลาล่วงเลยไปหลายวัน บัณฑิตหนุ่มเริ่มเดินได้อย่างมั่นคงขึ้น มือจับพู่กันเขียนได้อย่างคล่องแคล่วกว่าแต่ก่อน เขาเดินถือตำราในมือซ้ายยกขึ้นอ่าน ในขณะที่มืออีกข้างกำพัดบีบๆ คลายๆ ตามที่หมอหลินแนะนำเอาไว้ขณะกำลังนั่งอ่านตำรา ท่ามกลางความเงียบสงบ เผิงเหยียนเฉิงได้ยินเสียงไอเบาๆ ลอยมาตามลมเขาละสายตาจากตัวอักษรบนหน้ากระดาษ เดินออกมายังระเบียง เห็นเพียงร่างบางของลู่ซือหนาน กำลังยืนพิงเสาต้นหนึ่ง ดวงหน้าซูบซีด ผิวขาวจัดจนแทบจะกลืนไปกับชุดสีอ่อนที่นางสวมสายลมพัดกระโปรงของนางปลิวเบาๆ นางไอออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพยายามฝืนยืนตัวตรงเผิงเหยียนเฉิงกำหมัดแน่นอยู่ข้างลำตัว ความห่วงใยถาโถมจนแทบจะระเบิดออกมา‘ซือหนาน...’ เขาเรียกนางในใจ แต่ริมฝีปากกลับแน่นสนิท มองสบตากับเสี่ยวหลานที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ราวกับนางจะบ่งบอกให้เขาช่วยพูดปลอบประโลมคุณหนูผู้โศกเศร้าแต่ในที่สุด เขาทำได้เพียงถอดผ้าคลุมไหล่ของตนวางเอาไว้บนรั้วไม้ใกล้ตัวนาง ไม่แม้แต่จะกล้าสวมให้ แล้วหันหลังกลับไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดนางหันมาเห็นผ้าคลุมไหล่ที่วางอยู่ ก็รับไปกอดไว้แน่น ดวงตาสั่
ที่เรือนสกุลลู่เมื่อไป๋ซื่ออันไปถึง เขาขอเข้าพบลู่ซือหนาน แต่นางไม่ต้องการเจอในตอนแรก จึงให้สาวใช้ไปปฏิเสธที่หน้าประตู ทว่าอันเหม่ยฉินที่ยืนอยู่ด้วย เห็นว่าควรเผชิญหน้ากันให้รู้เรื่อง จึงเอ่ยเสียงหนักแน่น“ออกไปเถอะ พูดให้จบๆ จะได้ไม่มีอะไรค้างคา”หญิงสาวผู้โศกเศร้าจึงจำใจเดินออกไปยังศาลาหน้าเรือนเพื่อพบกับไป๋ซื่ออันที่ยืนรออยู่ สีหน้าของเขาทั้งขุ่นเคืองและกระวนกระวาย“ทำไมเจ้าถึงปฏิเสธของหมั้น” เสียงของเขาแข็งกร้าว แต่พยายามระงับโทสะไว้ลู่ซือหนานเงยหน้ามองเขา ดวงตาฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำใส แต่แววตากลับแน่วแน่“ข้าเห็นเจ้าซื้อปิ่นหยกให้สตรีที่หอชมจันทร์ นางเป็นหญิงงามที่เหมาะสมกับท่าน เหตุใดไม่ยกของหมั้นให้นางเสียเล่า”ไป๋ซื่ออันหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบเอ่ยด้วยความลนลาน“นั่นแค่ความผิดพลาด ข้า... ข้าจะให้เจ้าขึ้นเป็นภรรยาเอก อี้จีนางนั้นจะเป็นเพียงอนุ ข้าให้สัญญาได้”แต่คำพูดของเขากลับทำให้หัวใจของลู่ซือหนานเจ็บปวดจนชา นางสั่นศีรษะ น้ำตาคลอเบ้า“ข้าไม่อยากเป็นเพียงภรรยาเอก ข้าอยากเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของสามีของข้า ข้าไม่ต้องการแย่งชิง ไม่ต้องการความเมตตา ข้าอยากได้เพียงความสัตย์ซื่อ” นางเอ่