ภายในรถม้าของสกุลลู่ เสียงล้อไม้กระทบพื้นหินอย่างสม่ำเสมอดังคลอเคล้าไปกับความเงียบงันภายในตัวรถ ลู่ซือหนานนั่งสงบนิ่งเบื้องหน้าหน้าต่างบานเล็ก ผ้าม่านบางไหวพลิ้วไปตามแรงลม นางไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตั้งแต่ออกจากจวนเผิง แววตาที่เคยสดใสกลับเหม่อมองทิวทัศน์ข้างทางราวกับใจไม่อยู่กับตัว
อันเหม่ยฉินผู้เป็นมารดา นั่งอยู่ข้างบุตรี เฝ้ามองอารมณ์อ่อนไหวของนางมาตลอดทาง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่พูดจา จึงเอื้อมมือไปจับมือนุ่มของบุตรีเบาๆ กล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ลูกแม่… อย่าคิดมากไปเลยนะ หนานเอ๋อร์ เจ้ากับเขาผูกพันกันถึงเพียงนี้ ต่อให้ตอนนี้เขาเป็นถึงจอหงวนแห่งราชสำนัก ข้าก็ยังเห็นสายตาของเขาที่มองเจ้าวันนั้นมันไม่ต่างจากเดิมที่มอบใจให้คนรักอย่างหมดใจแม้แต่น้อย”
ลู่ซือหนานเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้านวลหันมามองมารดา น้ำเสียงนางแผ่วเบา “ท่านแม่… ข้ารู้ว่าเขารักข้า”
“แต่เมืองหลวงกว้างใหญ่ เหล่าผู้คนมีมาก บุตรีขุนนางมีคุณวุฒิและชาติตระกูลมากมาย ล้วนแต่เข้าหาเขาด้วยความหวัง ข้ากลัว… กลัวว่าวันหนึ่งเขาอาจจะ…”
นางพูดไม่จบประโยค ดวงตาคู่สวยเริ่มคลอด้วยน้ำใส อันเหม่ยฉินยิ้
ในช่วงเวลาที่ความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักเริ่มต้น งานราชการในส่วนของสำนักศึกษาที่เผิงเหยียนเฉิงได้ริเริ่มและปรับปรุงใหม่ก็เริ่มประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน จากการที่มีแนวคิดปฏิรูปที่เน้นความเป็นธรรมและให้โอกาสแก่ทุกคน ผู้คนในราชสำนักและชาวบ้านต่างยกย่องความคิดเหล่านี้อย่างไม่ขาดสายณ ห้องทำงานหลักในจวนโหว เผิงเหยียนเฉิงก้าวขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงใหม่ ด้วยความตั้งใจที่แท้จริงและความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบการศึกษาที่เอื้ออำนวยให้แก่สตรี ซึ่งเขาและภรรยา ลู่ซือหนาน ได้ร่วมกันผลักดันมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาหลักสูตรและแนวทางสอนได้ถูกปรับปรุงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตามคำแนะนำจากผู้รู้และนักวิชาการทั้งในราชสำนักและต่างแคว้นฮ่องเต้ทรงประกาศแสดงความชมเชยต่อความก้าวหน้าของสำนักศึกษาและการปฏิรูปที่ได้รับการดำเนินการโดยเผิงเหยียนเฉิงและลู่ซือหนานอย่างยิ่งยวดขณะเดียวกัน เมื่อหน้าที่การงานประสบความสำเร็จ ครอบครัวของเขาก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันในห้องนอนอันอบอุ่น ภายใต้แสงเทียนสีอ่อนที่สาดส่องลงมาจากเพดานเผิงเหยียนเฉิงที่เพิ่งกลับมาถึง เขาเดินเข้ามาเอื้อม
ในยามค่ำของคืนนั้น ท้องฟ้าโปร่งใสแต่แสงจันทร์ดูหม่นเล็กน้อย บรรยากาศภายในจวนโหวเงียบสงบเช่นเคย จนกระทั่งเสียงร้องเบาๆ ดังขึ้นจากห้องนอนชั้นใน“อื้อ ท่านพี่... ข้าเจ็บ... เจ็บท้อง...”ลู่ซือหนานนิ่วหน้า มือข้างหนึ่งกุมผ้าห่ม อีกข้างจับท้องแน่น ร่างทั้งร่างเกร็งเหมือนคลื่นบางอย่างกำลังซัดเข้ามาทีละระลอกเผิงเหยียนเฉิง ได้ยินเสียงภรรยาก็ลุกจากโต๊ะหนังสือมา ใบหน้าซีดเผือด“ฮูหยิน เจ้าเป็นอะไร เจ็บมากหรือไม่ เสี่ยวหลาน เสี่ยวหลาน ไปตามหมอตำแยมา ไปตามท่านแม่ด้วย”เสียงร้องเรียกดังลั่นจนบ่าวไพร่วิ่งกันพล่านทั่วเรือน เสี่ยวหลานกับสาวใช้หลายคนรีบพากันเข้ามาช่วยพยุงลู่ซือหนานให้นอนสบาย เตรียมน้ำอุ่น ผ้าสะอาดอย่างเร่งด่วนอันเหม่ยฉินเข้ามาพร้อมท่าทีสงบนิ่ง นางมองเห็นสถานการณ์แล้วเอ่ยเสียงเข้ม“ทุกคนอยู่ในความสงบ ให้คนไปตามหมอตำแยแล้วหรือยัง ถ้ายังให้รีบไปตามมา เซี่ยมามารบกวนให้คนต้มยาสมุนไพรตามตำราเร่งด่วน เสี่ยวหลาน เสี่ยวหนิว พวกเจ้าอยู่ใกล้นาง ห้ามให้เคลื่อนไหวแรง”ผู้เป็นสามีพยายามจะเข้าไปใกล้ แต่ลู
ในวันหนึ่ง ณ ถนนหน้าจวนโหว เสียงฝีเท้าของม้าหลายตัวดังขึ้นตามถนนสายหน้าเรือนใหญ่ ขบวนรถม้าอย่างดีจากเจียงเฉินเคลื่อนตัวมาหยุดตรงประตูหน้าจวนโหว ข้ารับใช้รีบออกมาต้อนรับเมื่อรู้ว่าเป็นครอบครัวของฮูหยินใหญ่ประตูไม้เปิดออก ชายในชุดตัวยาวผ้าแพรสีเทาอ่อนลงจากรถก่อน ลู่หยวนฉีบิดาของลู่ซือหนานเดินลงมาแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความปีติ ก่อนจะหันไปรับลูกชายตัวน้อยจากภรรยา ให้นางลงมาจากรถม้าได้สะดวกเด็กน้อยวัยหกเดือนในอ้อมแขนของบิดา เขามีผมดำขลับ ดวงตากลมโต และยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ต่างจากพี่สาวอย่างลู่ซือหนานในวัยเยาว์หลี่อันพ่อบ้านประจำจวนรีบเข้าไปแจ้งข่าว แก่ลู่ซือหนานที่นั่งพักอยู่ในห้องพักด้านในเมื่อได้ยินข่าวถึงกับน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน นางให้เสี่ยวหลานพยุงเดินออกมาช้าๆ โดยมีเซี่ยมามาเดินเข้ามาดูแลอยู่ไม่ห่าง เพราะเผิงโหวสั่งเอาไว้ว่าให้นางคอยดูแลนายหญิงให้ดีเมื่อเห็นบิดามารดาและน้องชายตัวน้อย นางคารวะเล็กน้อยแล้วยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนที่อันเหม่ยฉินจะเอามือไปสัมผัสข้างแก้มของบุตรสาวด้วยน้ำตา“ลูกเอ๋ย...แม่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าอ่อนล้าหรือไม่ ท้องโ
วันถัดมา หยางมี่อิงแต่งกายเรียบร้อยในชุดผ้าแพรบางสีชมพูอ่อน เครื่องประดับจัดเต็มแต่ดูละมุน เดินมาถึงหน้าจวนโหวอย่างมั่นใจ หวังจะเข้ามาเยี่ยมลู่ซือหนานเช่นเคย“บอกเผิงฮูหยินด้วยว่า ข้ามาเยี่ยมตามปกติ”นางยิ้มบาง ส่งเสียงกับบ่าวเฝ้าประตูแต่บ่าวหนุ่มกลับทำหน้านิ่ง ยกมือขึ้นคำนับ“ขอประทานอภัยแม่นางหยาง ข้าน้อยรับคำสั่งจากท่านโหวเผิงโดยตรง ห้ามมิให้แม่นางก้าวเข้าจวนอีก”“อะไรนะ” สีหน้าหยางมี่อิงเปลี่ยนไปในทันที เสียงที่เคยหวานเริ่มสั่นเครือ“ท่านโหวพูด... พูดแบบนั้นจริงหรือ”บ่าวค้อมศีรษะอย่างสุภาพแต่หนักแน่น “ใช่ขอรับ เป็นคำสั่งชัดเจนเมื่อวานก่อน แม้จะเป็นสหายเก่า ก็ไม่อนุญาตให้เข้าได้ ท่านโหวถึงขั้นให้จดชื่อไว้ด้วย เพื่อป้องกันการฝ่าฝืน”หยางมี่อิงยืนแข็งอยู่หน้าจวน ใบหน้าที่เคยเชิดสูงบัดนี้แดงจัดด้วยความอับอายและโกรธแค้น หัวใจพลันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง นางไม่คิดว่าเผิงเหยียนเฉิงจะกล้าปฏิเสธนางตรงๆ เช่นนี้ และที่สำคัญกว่านั้น นั่นหมายความว่าเขาอาจบอกภรรยาไปแล้ว&ldqu
บรรยากาศในจวนโหวที่เคยสงบ เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างแนบเนียนของสตรีอีกนาง หยางมี่อิงยังคงเข้ามาหาลู่ซือหนานบ่อยครั้ง ยิ่งช่วงที่เผิงเหยียนเฉิงต้องออกไปจัดการงานราชการต่างเมือง ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้นางได้ใช้เวลาอยู่ในจวนมากขึ้น ทว่าภายใต้รอยยิ้มและน้ำเสียงที่แสดงความสนิทสนมนั้น กลับซ่อนอะไรบางอย่างที่เสี่ยวหลานรู้สึกถึงบ่ายวันหนึ่ง ณ เรือนรับรองภายในจวนโหวลู่ซือหนานนั่งถักเชือกสีขาวแดงสำหรับทำเครื่องประดับทารกอยู่บนตั่งในสวน หยางมี่อิงเดินเข้ามาพร้อมตะกร้าผลไม้ในมือ“วันนี้ข้าแวะผ่านตลาด เห็นท้อขาวลูกสวยเลยซื้อมาฝากเจ้า” หยางมี่อิงยิ้มอ่อนโยน วางตะกร้าไว้บนโต๊ะหิน“หญิงตั้งครรภ์กินผลไม้สดดีต่อร่างกาย”“ขอบใจเจ้า มี่อิง” ลู่ซือหนานรับคำอย่างนุ่มนวล พลางวางเชือกในมือลง“เจ้าลำบากแวะมาหาข้าบ่อย ข้ารู้สึกเกรงใจนัก”“เจ้าเป็นเพื่อนเก่า ข้าดีใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ ต่างหาก” หยางมี่อิงกล่าวพร้อมยิ้มหวาน ดวงตากวาดมองไปทางเรือนรอบข้าง แล้วเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจ“ช่วงนี้ท่านโหวไม่
ช่วงเวลาหลายวันถัดมา หยางมี่อิงเริ่มแวะเวียนมาหาลู่ซือหนานที่จวนโหวบ่อยขึ้น นางพูดจานุ่มนวล อ่อนโยน และมักนำของฝากเล็กๆ น้อยๆ มาให้ ไม่ว่าจะเป็นผ้าแพรลวดลายงามจากทางใต้ หรือสมุนไพรบำรุงครรภ์ที่ได้จากหมอชื่อดัง“ข้าเห็นเจ้ากำลังตั้งครรภ์ เลยปรึกษาผู้อาวุโสในเรือน ข้าว่าน้ำขิงสูตรนี้จะช่วยให้เจ้าหลับได้ดีขึ้นยามค่ำ” หยางมี่อิงยื่นถ้วยให้ลู่ซือหนานด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนลู่ซือหนานรับน้ำขิงมา แต่ไม่ได้ดื่มเข้าไป เพราะไม่ไว้ใจยาจากคนนอก “ขอบคุณเจ้ามาก ข้ามีบ่าวอยู่ แต่ก็อบอุ่นใจนักที่เจ้าห่วงใยถึงเพียงนี้”หยางมี่อิงนั่งลงใกล้ๆ พลางช่วยจัดเรียงผ้าปักลายที่สาวใช้พับไว้ข้างตั่ง“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าอิจฉาเจ้ายิ่งนัก...” นางว่าเบาๆ“มีสามีดี มีลูกในครรภ์ และยังได้รับเกียรติให้ตั้งสำนักศึกษาอีก ข้าดีใจแทนเจ้านะซือหนาน”ลู่ซือหนานยิ้ม ไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่เก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในใจ นางสัมผัสได้ถึงความจริงใจปนเล่ห์นัยบางอย่างจากน้ำเสียงของเพื่อนเล่นวัยเยาว์ เหมือนสายลมอ่อนโยน แต่กลับแฝงความเยือกเย็นบางอย่าง