เช้าวันถัดมา ณ เรือนสกุลลู่ในเมืองเจียงเฉิน ท้องฟ้าโปร่งใส เสียงนกกระจิบเจื้อยแจ้วอยู่บนต้นไม้ริมระเบียง บรรยากาศสดชื่นเป็นพิเศษราวกับมีข่าวดีบางอย่างกำลังจะมาถึง
ณ ศาลาริมสวน ลู่หยวนฉีกำลังจิบชาอย่างเงียบสงบ ข้างกายคืออันเหม่ยฉินภรรยาที่นั่งจัดชาดอกหอมเอาไว้ต้อนรับแขกในยามสาย
ขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันเรื่องดอกไม้ฤดูร้อนที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ตรงหน้า เสียงจังหวะเกี้ยวม้าก็ค่อยๆ ดังมาจากด้านหน้าเรือน ก่อนจะมีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานเสียงใส
“คุณท่านเจ้าคะ แม่สื่อจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ พร้อมรถม้าใหญ่ ดูท่าทางไม่ธรรมดาเลยเจ้าค่ะ”
ลู่หยวนฉีชะงักนิ่งก่อนจะเหลือบตาไปมองภรรยา ทั้งคู่สบตากันพลางยิ้มอย่างรู้ความหมาย
“เช่นนั้นก็ให้คนต้อนรับตามธรรมเนียม แล้วนำมายังศาลานี้เถิด”
“เตรียมชาดีที่สุดมาไว้ด้วย” อันเหม่ยฉินเสริมพลางลูบชายเสื้อเรียบร้อย
ไม่นานนัก แม่สื่อวัยกลางคนในชุดผ้าไหมสีแดงปักลายเมฆทองก็ถูกนำเข้ามาในศาลา ตามด้วยหญิงสาววัยกลางคนอีกสองนางซึ่งเป็นผู้ติดตาม แม่สื่อก้าวเข้ามาอย่างมั่นใจ นางยกมือขึ้นประนมคำนับด้วยรอยย
เช้าวันถัดมา ณ เรือนสกุลลู่ในเมืองเจียงเฉิน ท้องฟ้าโปร่งใส เสียงนกกระจิบเจื้อยแจ้วอยู่บนต้นไม้ริมระเบียง บรรยากาศสดชื่นเป็นพิเศษราวกับมีข่าวดีบางอย่างกำลังจะมาถึงณ ศาลาริมสวน ลู่หยวนฉีกำลังจิบชาอย่างเงียบสงบ ข้างกายคืออันเหม่ยฉินภรรยาที่นั่งจัดชาดอกหอมเอาไว้ต้อนรับแขกในยามสายขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันเรื่องดอกไม้ฤดูร้อนที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ตรงหน้า เสียงจังหวะเกี้ยวม้าก็ค่อยๆ ดังมาจากด้านหน้าเรือน ก่อนจะมีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานเสียงใส“คุณท่านเจ้าคะ แม่สื่อจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ พร้อมรถม้าใหญ่ ดูท่าทางไม่ธรรมดาเลยเจ้าค่ะ”ลู่หยวนฉีชะงักนิ่งก่อนจะเหลือบตาไปมองภรรยา ทั้งคู่สบตากันพลางยิ้มอย่างรู้ความหมาย“เช่นนั้นก็ให้คนต้อนรับตามธรรมเนียม แล้วนำมายังศาลานี้เถิด”“เตรียมชาดีที่สุดมาไว้ด้วย” อันเหม่ยฉินเสริมพลางลูบชายเสื้อเรียบร้อยไม่นานนัก แม่สื่อวัยกลางคนในชุดผ้าไหมสีแดงปักลายเมฆทองก็ถูกนำเข้ามาในศาลา ตามด้วยหญิงสาววัยกลางคนอีกสองนางซึ่งเป็นผู้ติดตาม แม่สื่อก้าวเข้ามาอย่างมั่นใจ นางยกมือขึ้นประนมคำนับด้วยรอยย
ภายในรถม้าของสกุลลู่ เสียงล้อไม้กระทบพื้นหินอย่างสม่ำเสมอดังคลอเคล้าไปกับความเงียบงันภายในตัวรถ ลู่ซือหนานนั่งสงบนิ่งเบื้องหน้าหน้าต่างบานเล็ก ผ้าม่านบางไหวพลิ้วไปตามแรงลม นางไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตั้งแต่ออกจากจวนเผิง แววตาที่เคยสดใสกลับเหม่อมองทิวทัศน์ข้างทางราวกับใจไม่อยู่กับตัวอันเหม่ยฉินผู้เป็นมารดา นั่งอยู่ข้างบุตรี เฝ้ามองอารมณ์อ่อนไหวของนางมาตลอดทาง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่พูดจา จึงเอื้อมมือไปจับมือนุ่มของบุตรีเบาๆ กล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ลูกแม่… อย่าคิดมากไปเลยนะ หนานเอ๋อร์ เจ้ากับเขาผูกพันกันถึงเพียงนี้ ต่อให้ตอนนี้เขาเป็นถึงจอหงวนแห่งราชสำนัก ข้าก็ยังเห็นสายตาของเขาที่มองเจ้าวันนั้นมันไม่ต่างจากเดิมที่มอบใจให้คนรักอย่างหมดใจแม้แต่น้อย”ลู่ซือหนานเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้านวลหันมามองมารดา น้ำเสียงนางแผ่วเบา “ท่านแม่… ข้ารู้ว่าเขารักข้า”“แต่เมืองหลวงกว้างใหญ่ เหล่าผู้คนมีมาก บุตรีขุนนางมีคุณวุฒิและชาติตระกูลมากมาย ล้วนแต่เข้าหาเขาด้วยความหวัง ข้ากลัว… กลัวว่าวันหนึ่งเขาอาจจะ…”นางพูดไม่จบประโยค ดวงตาคู่สวยเริ่มคลอด้วยน้ำใส อันเหม่ยฉินยิ้
กลางคืนหลังงานเลี้ยงสงบลง เหล่าแขกเหรื่อทยอยกลับ เหลือเพียงเสียงลมอ่อนพัดแผ่วผ่านยอดไม้ และแสงจันทร์เต็มดวงที่ทาบลงบนระเบียงด้านตะวันออกของจวนเผิงเผิงเหยียนเฉิงยืนพิงราวระเบียง ชุดขุนนางยังไม่ถอดเปลี่ยน แต่ปลดกระดุมคอออกหลวมๆ ดวงตาสะท้อนแสงจันทร์ ทอดมองขึ้นฟ้าเงียบๆ สายลมกลางคืนเย็นจัดนิดๆ แต่ความอุ่นในใจยังเต็มเปี่ยมเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากเบื้องหลัง ก่อนที่ลู่ซือหนานจะก้าวมายืนข้างเขา นางสวมเพียงเสื้อคลุมบางเบาทับชุดราตรีที่ยังไม่ได้เปลี่ยน กลิ่นหอมอ่อนจากตัวนางทำให้เขาเผยรอยยิ้มออกมา“คืนนี้จันทร์สวยนัก” นางพูดเบาๆ ขณะเงยหน้ามองฟ้า“งานเลี้ยงตำแหน่งของท่านก็ผ่านไปด้วยดี…”เขาพยักหน้าช้าๆ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “แต่ข้าสนใจจันทร์ที่อยู่ข้างกาย มากกว่าจันทร์บนฟ้าเสียอีก”ลู่ซือหนานหน้าแดงทันที หันหน้าหนีเล็กน้อย แต่ริมฝีปากยังคงคลี่ยิ้มอายๆ เผิงเหยียนเฉิงทอดตามองนางเนิ่นนาน ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังแฝงความอ่อนโยน“หนานเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องอยากสารภาพ”“เมื่อก่อน ข้าเคยคิดว่าตนเองอาจจะตกต่ำลง ข้าจึงไม่กล้ารั้งใครไว้ ไม่กล้าพูด
วันงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งจอหงวน เมืองหลวงตกแต่งประดับโคมอย่างงดงาม สองข้างทางนำไปสู่จวนเผิงซึ่งวันนี้ถูกเนรมิตให้กลายเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองอย่างสมเกียรติแก่เผิงเหยียนเฉิง จอหงวนคนใหม่แห่งราชสำนักบริเวณหน้าจวน คนรับใช้และบ่าวไพร่ต่างวิ่งวุ่นอยู่กับการรับแขก ขุนนางผู้ใหญ่ ขุนนางชั้นรอง รวมถึงบัณฑิตชื่อดังทั้งหลายล้วนทยอยเดินทางเข้ามาพร้อมคำแสดงความยินดี เสียงดนตรีขับกล่อมอย่างละมุนละไม ท่ามกลางกลิ่นหอมของบุปผานานาพันธุ์ที่ตกแต่งทั่วจวนในเรือนรับรองหลักของจวนเผิงลู่ฮูหยินในชุดแพรไหมสีม่วงปักลายบุปผา ยืนดูความเรียบร้อยโดยรอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน ข้างกายคือลู่ซือหนาน บุตรีคนงามของนางในชุดสีชมพูอ่อนที่ตัดกับเครื่องประดับหยกบนเรือนผมอย่างงดงามหญิงสาวยิ้มแย้มรับแขกและกล่าวขอบคุณผู้มาเยือนด้วยท่าทีงามสง่าขณะเดียวกัน เผิงเหยียนเฉิงในชุดพิธีการเต็มยศจอหงวนยืนอยู่หน้าศาลากลางเรือน รับคำแสดงความยินดีอย่างไม่ขาดสาย เขาไม่ลืมที่จะส่งสายตาอบอุ่นมาทางลู่ซือหนานเป็นระยะ ดวงตาทั้งคู่สบกันอย่างเงียบงันแต่เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้งทันใดนั้นเอง เสียงเอะอะจากห
หลังรับราชโองการอย่างเป็นทางการ ขันทีที่ยังอยู่ช่วยแนะนำข้าราชบริพารชุดใหม่ให้กับเจ้าของจวน รวมถึงคนที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัย จัดเส้นทางเข้าออกจวนอย่างรัดกุมจากนั้นข้ารับใช้ของจวนก็มารายงานตัวพร้อมกันอย่างถ้วนหน้า หลังจากที่ขนของพระราชทานเข้าไปเก็บเผิงเหยียนเฉิงเลือกข้ารับใช้ที่ถูกส่งมาจากวังหลวงผู้หนึ่งเป็นพ่อบ้านดูแลจวนและบรรดาข้ารับใช้ที่หลังจากนี้จะเป็นคนของสกุลเผิงอย่างเต็มตัว ใบซื้อขายทาสถูกดูแลโดยพ่อบ้านผู้นี้ และกำชับให้ทุกคนทำงานอย่างตั้งใจ จวนสกุลเผิงจะไม่เอาเปรียบบริวารของตนทุกคนน้อมรับแล้วยินดีที่ได้ทำงานในจวนแห่งนี้จากนั้น ใต้เท้าเผิงพาครอบครัวสกุลลู่เดินชมเรือนทีละส่วนเรือนหลักตั้งอยู่ตอนกลางของจวน มีห้องโถงใหญ่ที่ใช้รับแขก และห้องอ่านหนังสือที่หันหน้าออกสวนหย่อม ด้านในซึ่งตกแต่งด้วยศิลาวางหมากและสระปลาหลีฮื้อ บรรยากาศสงบและเป็นระเบียบห้องพักของบัณฑิตหนุ่มอยู่ทางทิศตะวันออกสุด หันรับแสงเช้า โดยมีเรือนรับรองเล็กๆ แยกออกไปอีกสำหรับลู่ซือหนาน“ห้องทางด้านนี้เหมาะกับหนานเอ๋อร์ แสงอ่อนดี มองเห็นสวนดอกโบตั๋น&rdqu
วันเดินทาง ขบวนรถม้าของสกุลลู่เคลื่อนจอดที่หน้าประตูเรือนอย่างเป็นระเบียบ ลู่หยวนฉีในชุดผ้าไหมเรียบหรูนั่งอยู่บนรถม้าคันหน้าเคียงภรรยา ด้านหลังคือรถม้าของลู่ซือหนานและสาวใช้เสี่ยวหลานก่อนออกเดินทาง ลู่หยวนฉีได้เรียกพ่อบ้านประจำเรือนมาสั่งการ“ช่วงที่พวกเราพักอยู่เมืองหลวง เจ้าดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อย”“ขอรับนายท่าน ข้าจะดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อย อย่าได้กังวล” หวังเจิ้งรับปากอย่างมั่นเหมาะอันเหม่ยฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน พอใจที่สามีวางแผนไว้รัดกุมภายใต้ท้องฟ้าสดใส ขบวนม้าเดินอย่างสง่างามมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง พร้อมด้วยธงประจำสกุลลู่ที่ปักอยู่บนหลังรถม้าคันกลาง บ่งบอกเกียรติแห่งครอบครัวลู่ซือหนานที่นั่งอยู่ในรถม้าด้านหลังมองบ้านเกิดผ่านม่านหน้าต่างด้วยแววตาคล้ายคิดถึง แต่ในใจกลับอบอุ่นด้วยความตื่นเต้น การได้เห็นจวนของเขาในฐานะคู่หมั้น เป็นเรื่องที่นางไม่เคยกล้าฝันในวันเก่า“ท่านจอหงวนออกเดินทางไปล่วงหน้า ป่านนี้คงจะถึงแล้ว” เสี่ยวหลานกล่าวขึ้นมา“ข้ายังไม่ได้กล่าวถึงเขาเสียหน่อย” นางพูด
ท่ามกลางคำชื่นชมและเยินยอในงานเลี้ยงที่สกุลลู่จัดไว้รอ เผิงเหยียนเฉิงหันไปมองลู่ซือหนานที่นั่งข้างมารดา นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา“และนอกจากจะเชิญพวกท่านกลับไปรับมอบจวนกับข้าแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ข้าขออาจเอื้อม” จอหงวนหนุ่มประกาศเสียงชัดท่ามกลางสายตาของแขกเหรื่อที่เริ่มจับจ้อง เผิงเหยียนเฉิง คุกเข่าลงต่อหน้าหัวหน้าสกุลลู่ ผู้เป็นทั้งผู้ใหญ่และบิดาในใจเขา“ท่านลุงลู่ ข้าปรารถนาจะขอลู่ซือหนานเป็นคู่หมั้นของข้า ข้าสัญญาว่าจะดูแลนางอย่างที่สุดของชีวิตที่ข้ามี”ทั่วทั้งลานเงียบกริบ แม้แต่เสียงเครื่องสายก็หยุดลงโดยไม่ได้นัดหมาย ลู่ซือหนานยกมือขึ้นปิดปาก น้ำตาซึมในดวงตา แต่รอยยิ้มที่มุมปากกลับแผ่กว้างอย่างห้ามไม่ได้ลู่หยวนฉีชะงักเล็กน้อย ดวงตาเขาคมกริบ จับจ้องชายหนุ่มตรงหน้า ไม่ใช่ในฐานะบัณฑิตจอหงวน ไม่ใช่เพียงอดีตผู้ถูกทอดทิ้ง แต่ในฐานะชายคนหนึ่งที่กล้าหาญพอจะรักและปกป้องบุตรีของเขาเขาหันไปมองภรรยา อันเหม่ยฉินยิ้มพยักหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะหันไปแตะมือซือหนานเบาๆตอนนั้นเอง ลู่หยวนฉีจึงพยักหน้าอย่างช้าๆ“ซือหนาน
ขบวนเกียรติยศเคลื่อนตัวผ่านหลายหมู่บ้าน ระหว่างทางต่างโห่ร้องแสดงความยินดีกับจอหงวนอันดับหนึ่งจนล่วงเข้าวันที่สาม ขบวนเกี้ยวเกียรติยศจึงมาถึงเมืองเจียงเฉินเสียงกลองชัยดังเป็นจังหวะ กลองใหญ่ถูกตั้งเรียงที่ประตูเมือง สีแดงชาดล้อมด้วยธงผ้าสีทองปักคำว่าจอหงวน ขบวนแห่ม้าสง่างามมาถึงปลายแถวคือ เกี้ยวทองขนาดสี่หาม ปักพู่ไหมแดงพลิ้วไหวบนเกี้ยว บุรุษในอาภรณ์จอหงวน นั่งอยู่ด้วยท่วงท่าผึ่งผาย สงบ มั่นคง มีความสุขุมที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนเผิงเหยียนเฉิงสวมชุดผ้าไหมสีน้ำตาลเข้มขลิบทอง ปักลายเมฆคลื่นอย่างสง่างาม เส้นผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อย สวมหมวกทรงกลมประดับปิ่นแดงปักตราพระราชทาน ดวงตาเปี่ยมแสงภาคภูมิ แต่ภายในนั้นอบอวลด้วยความคิดถึง“ข้ากำลังกลับไปหานาง และครอบครัวที่ข้ารัก” เขาพึมพำเมื่อขบวนเคลื่อนเข้าไปใกล้จุดหมายทีละน้อยเสียงแตรยาวจากหน้าขบวนดังขึ้นขณะเกี้ยวเคลื่อนเข้าสู่เขตเมือง นายอำเภอซุนพร้อมครอบครัวออกมาต้อนรับขบวน ตลอดสองข้างทางชาวเมืองออกมาต้อนรับอย่างแน่นขนัด ต่างโห่ร้อง“จอหงวนของเมืองเจียงเฉินกลับมาแล้ว”
จวนที่ได้รับพระราชทานอยู่ในระหว่างที่ให้คนทำความสะอาดและจัดเตรียมความเรียบร้อย รอการส่งมอบในภายหลังที่เขาจะกลับจากบ้านเกิดเผิงเหยียนเฉิงจึงยังพักอยู่ในห้องพักในโรงเตี๊ยม ในตอนนั้นเองอาหมิงก็เข้ามาแจ้งว่ามีขบวนพระราชโองการจะมาถึงเขาลุกขึ้นจากโต๊ะตำรา ดวงตานิ่งสงบแต่เปล่งประกาย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพยักหน้า เดินฝ่าฝูงคนที่รอชื่นชมเขาลงไปที่หน้าโรงเตี๊ยม“ขอบใจ เจ้าเตรียมชุดให้ข้าด้วย”“จงรับราชโองการ!” ขันทีกลางวัยยกประกาศขึ้นอ่าน“องค์จักรพรรดิทรงทราบถึงความสามารถของท่านเผิงเหยียนเฉิงผู้สอบได้เป็นอันดับหนึ่งแห่งบัณฑิตทั้งปวงในแผ่นดิน จึงทรงมีพระกรุณาพระราชทานชุดเสื้อผ้าไหมปัก เกี้ยวขนาดแปดคนหามพร้อมขบวนเกียรติยศ เพื่อกลับไปยังบ้านเกิด”ขันทีหยุดชั่วครู่ พลางกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน เผิงเหยียนเฉิงคุกเข่ารับและกล่าวเสียงหนักแน่นจากนั้นจึงมอบชุดไหมปักให้ แล้วนัดวันที่จะกลับบ้านเกิดในอีกสองวันข้างหน้าเพื่อจัดเตรียมขบวนเกียรติยศหลังพิธีเสร็จสิ้น ชาวบ้านรอบโรงเตี๊ยมต่างแซ่ซ้องชื่นชม เด็กๆ ส่งเ