คำโปรย
ศรัทธาด้วยหัวใจ ไยฤา...มิไขว่คว้า
----------------
“คุณอยู่ไม่ห่าง...เท่าไหร่ เดี๋ยวผมจะไปส่งเอง...” ชายหนุ่มจ้องแววตาสีน้ำตาลใสกลมโตดุจแก้วตาเสือที่เห็นซี่เล็กๆ อยู่รอบขอบตาดำด้านนอกที่โตเกือบเต็มจอ
ชายหนุ่มไม่ละสายตายังจดจ้องแววตาคู่นั้น แต่ใจกลับจมไปกับภาพเก่าๆ ของอดีตคนรักที่โผล่ขึ้นมาราวกับว่าเธอยังไม่จากเขาไปไหน พิมพ์ชญาชอบเปลี่ยนสีแก้วตาด้วยการใช้คอนแทคเลนส์ สี dolla brown ที่เธอชื่นชอบมักถูกสั่งซื้อโดยฝากชายหนุ่มสั่งจากเพื่อนที่เมืองไทยส่งมาให้อยู่เป็นประจำ
“อะ...เออ คุณใส่คอนแทคเลนส์รึ” บุรณีถลึงตาใส่ชายหนุ่ม
แต่ตอนนี้เธอเห็นแววตาที่กร้าวมาตลอดจากที่เกิดเหตุจนถึงที่นี่ มันเริ่มฉายแววอบอุ่นที่ซ่อนลึกอยู่ข้างในออกมา
“โอ๊ย...จะบ้าตาย นายนี่...หัดรู้กาลเทศะบ้าง...ก็ดีนะ” บุรณีสั่งสอนเขาเหมือนเป็นน้องชาย
“เอาล่ะ...จะออกกันกี่โมงดี” เขาเปลี่ยนเรื่องทันควัน ไม่อยากต่อคำกับเธอ ซึ่งท่าทางและคำพูดคำจาบอกเลยว่า เธอไม่ใช่สาวน้อยกุ๊กกิ๊กที่จะมาล้อเล่น ยิ่งสายตาที่สาดใส่ตอนเขามองท่าทีเธอตอกกลับขณะอยู่ในรถ...ประหนึ่งเสือชีต้าเพรียวลมพร้อมกระโจนขย้ำคอเขาได้...เธอแตกต่างจากพิมพ์ชญา ที่ทั้งดุทั้งสั่งสอนราวกับคุรุ
“Dottore หมอสั่งให้ฉันนอนพักสักชั่วโมงนึง...”
“โทรบอกที่บ้าน...ก่อนดีไหม”
“Mamma mia …โอ๊ย แม่เจ้า...ฉันสายมากจริงๆ” บุรณีอุทาน ลืมไปว่าตอนนี้มันเกือบสี่โมง ถ้าขืนพักอีกหนึ่งชั่วโมง เธอจะกลับถึงบ้านเกือบหนึ่งทุ่ม
“มือถือฉัน มันคงตกอยู่ที่ร้านนั่น...” หญิงสาวทำตาโตหวาดผวา ใจสั่น...มือไม้รีบควานหา แต่มันคืออากาศธาตุรอบเตียงคนไข้ กระเป๋าถือหายไปจากห้วงจิตสำนึกตอนไหนบุรณีปะติดปะต่อภาพจิกซอนั้นไม่ได้เลย สมาธิที่ควบคุมจิตมันเตลิดกระเจิดกระเจิงไปช่วงที่เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
“อย่ากลับไปอีก ผมเตือน... จำไว้ด้วยล่ะ!!!” ชายหนุ่มกระชากเสียงหนักลงท้าย
“โห...สั่ง อย่าง...ฉันนี่!!!...จะเชื่อเหอะ รู้ไหมชั้นในแบรนด์แบบนั้น ฉันฝันมาเป็นชาติ หลายปีดูแต่ภาพจากเว็บ...เก็บเงินกว่าจะซื้อได้...” บุรณีเสียงเบาหงอยๆ ตอนประโยคลงท้าย
“La Perla แค่ ลา เพอร์ลา ...จะหามาให้” น้ำเสียงห้วนๆ ทำบุรณีค้อนขวับ เธอคิดว่าหนุ่มคนนี้พื้นฐานธรรมชาติไม่น่าใช่คนก้าวร้าวอะไรมากมาย ดูมาดแล้วเขาน่าจะอบอุ่นมากกว่าเย็นชาไร้หัวใจเช่นที่แสดงออกมา
“ไปเถอะ... หมอจี คงติดคนไข้หลายคน ดีโนก็อาการสาหัส...เฮ้อ” ชายหนุ่มหมายถึง Dott. Gino ดอตตอร์ จีโน เพื่อนของเขาที่ยังวุ่นวายกับอาการของหนุ่มที่เคราะห์ร้ายคนนั้น
ขณะที่รอหญิงสาวตามมาขึ้นรถพันธ์ศักดิ์ค้นหาตำแหน่งบ้านของบุรณีจากในแผนที่ตรงจอหน้าแผงคอนโซลในรถแวนสีดำกันกระสุนคันที่ขับมา
“โอ๊ย... พรึ้บบ...” มีเสียงร้องดังขณะหญิงสาวกำลังลุกขึ้นอย่างโซเซ...ตามด้วยเสียงก้นกระแทกกลับนั่งลงไปบนรถเข็นอีกครั้ง บุรุษผิวเข้มที่ทำหน้าที่เข็นรถมาส่งคว้าเธอไว้เกือบไม่ทัน
“เอ้า...เป็นอะไรนั่น” ชายหนุ่มเดินกลับมาดูหน้าตายู่ยี่แดงก่ำของบุรณี เธอร้องครางเพิ่งมารู้ตัวเพราะข้อเท้าซ้ายที่พลิกตอนวิ่งหนีออกมา ขณะนี้น่าจะเริ่มระบม
เขาเอามือไปจับข้อเท้าของหญิงสาวเห็นมันบวมแดงโตเท่าลูกมะนาว ฝ่ามือที่กำลังลูบคลึงยิ่งทำให้เธอร้องโอยและเบี่ยงหนีทำให้หัวเข่าของเธอเด้งไปกระแทกโดนโหนกแก้มของเขาจนได้ พันธ์ศักดิ์ทั้งอายทั้งโกรธ แต่เห็นหนุ่มผู้ช่วยพยาบาลมองยิ้มๆ เหมือนเขาเป็นตัวตลก ชายหนุ่มจึงเอ่ยกลบเกลื่อนด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองแบบเขินๆ
“เดี๋ยวผม...อุ้มเธอไปที่รถเอง”
“เฮ้ย...ฉันเดินเองได้...” บุรณีหันไปพูดอิตาเลียนขอร้องให้หนุ่มผิวเข้มช่วยพยุงเธอไปที่รถ แต่พันธ์ศักดิ์รีบเข้ามาคว้าเอวเธอแล้วเอามือช้อนใต้ขาทั้งสองข้างอุ้มเธอ เดินฉับฉับไปที่รถ จากนั้นก็โยนเธอลงไปด้านหลังที่เขาเปิดประตูรอไว้แล้ว
“เอ้า...Signora คุณนาย เชิญนอนตามสบาย” เขาทำหน้ามุ่ยเปิดประตูคนขับแล้วกดคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็วราวพายุ
“แล้วยาแก้ปวด แก้อักเสบมีไหม...” ชายหนุ่มเริ่มนึกขึ้นได้ขณะขับมาเกือบครึ่งทางก่อนถึงบ้านเธอแถวหมู่บ้านในโมนิโตลา
“คงมีอยู่ล่ะ...ไม่ลำบากนายหรอก” บุรณีพูดเบาๆ เธอถอนหายใจนึกย้อนว่าทำไมถึงได้เฉยไม่บอกหมอว่ามีอาการเจ็บตรงไหน ได้แต่ส่ายหน้าตอนที่ผู้ช่วยพยาบาลถามอาการต่างๆ เธอกลับไม่รู้สึกว่าข้อเท้ามีปัญหา คงด้วยอาการช็อกและพิษระบมของกล้ามเนื้อยังไม่เริ่มแสดงอาการ
“ทำไม...คุณถึงไม่เป็นอะไรเลย กระสุนไม่เฉียดผิว...แปลกพิลึก” ชายหนุ่มเอ่ยถามลอยๆ แต่เหลือบมองดูหน้าหญิงสาวคนนี้จากกระจกหลังว่าเธอจะตอบเขาอย่างไร
“คงมีพระดีมั๊ง...”
“ฮ่ะ...อ่า มีของดีนี่เอง” ชายหนุ่มเหลือบดูกระจกอีกครั้ง จ้องประกายแววตาที่สะท้อนออกมาซึ่งเธอน่าจะเชื่อมั่นศรัทธาอะไรบางอย่าง
“ผมไม่เห็นคุณห้อยพระอะไร...” พันธ์ศักดิ์นึกสงสัย เพราะตอนที่อยู่ในห้องลองเสื้อที่ร้าน ไม่เห็นเธอสวมสร้อยคอ
“ฉันท่องคาถา...น่ะ”
“เหรอ...ครับบบ คาถาอะไร ขอเอาไปท่องมั่ง” ชายหนุ่มหยอกเล่นไปอย่างนั้น
“ขอพระเจ้าผ่านนักบุญ...น่ะ” หญิงสาวตอบเฉยๆ ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องจริงจังสำหรับชายหนุ่ม
“คุณเป็นคาทอลิก???!!!” เขาเอ่ยไม่เชิงยิงคำถาม เพราะเขาเองไม่ค่อยนับถือศาสนาจริงจัง จะกลับไปบวชก็ยังรีๆ รอๆ
“จะ...ยังไงดีล่ะ” บุรณีไม่อยากสาธยายเพราะความเชื่อของเธอยืดยาว
“ต้องคิด...แล้วค่อยมาบอกก็ได้นะ พรุ่งนี้ผมจะมารับ”
“ไปไหน...ฉันมีธุระต้องจัดการ”
“ไปซื้อของที่อยากได้...ชุดชั้นในไง...” เขาพูดสั้นๆ ขณะจอดรถใต้ต้นไม้หน้าบ้านแล้วกำลังเปิดประตูด้านหลัง
“มา...ผมอุ้มคุณไปส่งหน้าประตู กินข้าวเยอะกว่านี้หน่อยก็ดี ตัวเบาโหวง” ชายหนุ่มส่งแววตากรุ้มกริ่ม
“เออ...เออ...จะมารับกี่โมง” บุรณีหน้าแดงเปลี่ยนเรื่อง
“สิบโมงดีไหม...เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผม...พันธ์ศักดิ์ เรียก ‘พัน’ หรือ แพนด้าก็ได้ ถ้าชอบกอดหมี” เขารีรอเพื่อฟังว่าเธอชื่ออะไร
“บุรณี...เรียก ‘ลาร่า’ (Lara) ตามแม่สามีฉันล่ะกัน”
“ดูไม่ร่าเริง...เหมือนชื่อเลยยยย” ชายหนุ่มลากเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วเดินกลับไปที่รถ ก่อนจะขึ้นรถสตาร์ทก็ยังหันหลังกลับมาทำท่า ‘บายบาย’ ทำเอาเธออมยิ้มหน้าแดง
----------------
รุ่งขึ้นพันธ์ศักดิ์มารอรับบุรณีที่หน้าบ้านก่อนสิบโมงเล็กน้อย เขาเดินเกร่ไปมาชมความงดงามของบรรยากาศแห่งต้นฤดูใบไม้ร่วง บริเวณโดยรอบใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวค่อยกลายเป็นสีเหลือง บางต้นเริ่มเป็นสีน้ำตาลจางๆ เขามองไปยังเนินเขาลูกเตี้ยๆ ไล่เรียงเลยออกไป สีน้ำตาลอมฟ้าหม่นเทาคราพระอาทิตย์ยังไม่สูงเลยจากขอบฟ้าไปจรดเมฆ ช่างเหมือนภาพสีน้ำแต่งแต้มของพวกศิลปินโบราณ
แม่สามีได้ยินเสียงกดกริ่งจึงเดินออกมาเปิดประตู และยิ้มทักทาย Ciao Ciao สวัสดีชายหนุ่มเป็นภาษาอิตาเลียน นางหันกลับไปเพื่อส่งเสียงบอกหญิงสาวว่ามีคนมาหา พันธ์ศักดิ์ฟังภาษาที่นี่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาอยู่ยังไม่นานและไม่อยากเรียนรู้สักเท่าไหร่ เรื่องภาษาเป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับชายหนุ่ม เขานึกถึงคำพูดของอดีตคนรัก
“ศรัทธาด้วยหัวใจ ไยฤา...มิไขว่คว้า” พิมพ์ชญาเปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่ชอบอ่านและแปลให้เขาฟังด้วยคำที่กลั่นกรองอย่างสวยงาม ปรัชญาเหล่านั้นสื่อถึงจิตวิญญาณของคนเรา
เธอบอกเขาว่า ไม่ว่าจะลงมือทำอะไรเราต้องเชื่อและศรัทธาก่อน จากนั้นมันจะไขว่คว้าไปให้ถึงจนได้
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับภาษาเนี่ย” ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิด
“เอ้า...ก็เชื่อว่าทำได้ พูดได้ ก็เป็นเองแหละ” อดีตคนรักมองหน้าเขาอย่างขำขำ
จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สนใจที่จะเรียนรู้กับมัน พูดแบบงูๆ ปลาๆ ภาษานี้มันมีเพศชายเพศหญิง ดูตลกสิ้นดี สิ่งของอะไรต่างๆ ต้องจำเพศไม่อย่างนั้นก็ใช้ไม่ถูก ยุ่งยากสำหรับเขามาก หมอจีเคยบอกเขาติดตลกว่า เวลานึกเพศไม่ออกก็ใช้มั่วๆ ไป ขนาดคนที่นี่ก็พูดผิดๆ ถูกๆ ภาษาเขียนนี่ยากมากสำหรับชายหนุ่ม เขามาเรียนหลักสูตรนี้ก็เพราะมันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจริงๆ เขาเองก็ไม่เคยเป็นนักเรียนนอกจะมาใช้ภาษาหรูหราอะไรได้
บุรณีเดินขากะเผลกๆ เปิดประตูหลัง แต่ชายหนุ่มเปิดประตูข้างคนขับให้เธอนั่งข้าง
“อย่ามากเรื่อง วันนี้ไม่ใช่คุณนาย”
“ได้...เราจะไปไหนกัน ร้านเดิมคงไม่ได้แล้ว”
“ไม่หรอก ผมจะพาไปห้องเสื้อที่ผมออกแบบให้” บุรณีมองหน้าชายหนุ่มอย่างงุนงง คำตอบของเขาทำให้เธอประหลาดใจมาก
“ทำไม...คนอย่างผมทำพวกนี้...ไม่ได้รึ” เขาพูดขึ้นขณะขับรถออกไป
“ปะ...เปล่า...ฉันแค่...มองว่า นายน่าจะเป็นนักฆ่ามากกว่านักออกแบบ”
บุรณีหันไปมองด้านข้างเห็นเขาขบกรามจนแก้มนูน คำพูดเธอคงจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวจากเมื่อวานทวีขึ้น
“ว่ามา...คุณเป็นคริสตัง???” เขาเปลี่ยนเรื่องทันทีเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์
“เปล๊า...” เธอตอบเสียงสูงกวนๆ
“เอ้า...แล้วไง”
“...แม่ฉันเป็นคนลาวมาแต่งงานกับพ่อที่เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-ไทยที่หนองคาย ฉันเลยเหมือนลูกผสม นับถือทุกอย่างที่บ้านบอกว่าดี” เธอหวนนึกถึงภาพครั้งเป็นเด็กหน้าตาลูกเสี้ยวผสมนิดผสมหน่อย จนญาติพี่น้องบอกว่าไม่เลวนัก
“มิน่าล่ะ...หน้าตาเข้าท่า...ออกแนวๆ คนที่นี้”
“ใช่ คนที่นี่...ว่าฉันเป็นลูกครึ่งอิตาเลียน”
“ท่องคาถาอะไรเมื่อวาน” ชายหนุ่มรู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
“นึกถึงนักบุญโยเซฟเวลามีภัยอะไร และ...” พันธ์ศักดิ์พูดแทรกขณะที่เธอพูดยังไม่ทันจบ
“โอ๊ะ...โอ... แล้ววันนั้นคุณนึกถึงท่านเหรอ”
“ไม่เลย...ช็อก...จนขี้กระจายขึ้นสมอง”
พันธ์ศักดิ์ระเบิดหัวเราะเสียงดังกลบเพลงเบาๆ ที่กำลังเปิดคลออยู่ในรถ
“บ้า...ทำฉันใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม...หายใจไม่ทั่วท้อง”
“ไม่จริง...คุณทำผมใจสั่นวาบหวิวมากกว่า...” เขาอมยิ้มกริ่มตาหวานเยิ้มเมื่อนึกถึงกลิ่นลมหายใจและเสียงรัญจวนออกจากริมฝีปากของเธอเมื่อวันวาน
“ประสาท...Merde” บุรณีด่าเป็นคำอิตาเลียน
“ผมว่า...เรากำลังถูกตาม!!!” เสียงเตือนของชายหนุ่มทำลายความเงียบ ใจเธอเต้นตูมตามแทบระเบิดจนคนข้างๆ น่าจะได้ยิน
“Mamma mia …โอ...แม่เจ้า” หญิงสาวยกมือทำเครื่องหมายกางเขน พระบิดา พระบุตร พระจิต (Sign of the Cross)
ทันใด...ระบบเสียงสั่งการ ดังพร้อมสัญญาณ
“เปิดเกราะกันกระสุนควอนตัม”
คำโปรย พระเจ้าจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่ว่าวันนั้นที่เราทุกข์ที่สุด พระองค์จะไม่เคยทอดทิ้งเรา----------------บุรณีพยายามทำตามคำแนะนำของพันธ์ศักดิ์โดยจะไม่โต้เถียงใดๆ ต่อหน้าครอบครัวและคนงานของชายหนุ่ม เธอไม่อยากขัดคำสั่งของย่าที่คอยตักเตือนมาบ่อยๆ ผ่านทางไลน์ของพ่อ เธอจะให้เกียรติเขาในฐานะสามีซึ่งลูก้าเองพยายามจะเปลี่ยนสรรพนามให้เขากลายเป็นพ่อ แต่ชายหนุ่มบอกหนุ่มน้อยว่าไม่เป็นไรให้เรียกตามเดิมตั้งแต่ต้น ประมาณต้นเดือนธันวาคมป้ายชื่อของผู้ลงทะเบียนจองห้องพักที่ได้สั่งทำเป็นเครื่องไม้เอาผ้าทอลายไทลื้อไปหุ้มไว้ถูกส่งมาที่สำนักงานของไร่ บุรณีมาช่วยคัดรายชื่อและจัดเตรียมห้องพักซึ่งจะลงทำผังผู้จองว่าคนใดควรลงห้องพักหมายเลขใด เธอเห็นป้ายชื่อตัวอักษรภาษาอังกฤษ Burani Benroze หญิงสาวตกใจว่าเธอลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลยตั้งแต่ลงทะเบียนวันนั้นที่สถาบันของเดช ชายหนุ่มแนะนำว่าบุรณีควรพาครอบครัวมาเที่ยวที่นี่ เขาได้รับวิดีทัศน์โฆษณาทางออนไลน์ที่โปรโมตค่าจองที่พักล่วงหน้าลดเหลือ 50 เปอร์เซ็นต์ เธอได้ให้เดชช่วยจองให้อย่างหวุดหวิดเกือบไม่ทันเวลา คืนนั้นเธอจึงถามเขาว่าได้ที่อยู่ของเธอจากที่ใดจึงตามไปถึ
คำโปรย เราไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีงาม นี่เป็นความรักระหว่างเราสองคน ให้ฟ้าดินเป็นพยาน...ว่าได้ครอบครองกัน----------------เช้าวันรุ่งขึ้นย่าขอให้พ่อกับแม่มาทำพิธีผูกข้อมือรับขวัญพันธ์ศักดิ์ ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายแค่เฉพาะคนในบ้าน ย่าบอกว่าอายคนอื่นเพราะบุรณีเคยมีสามีมาแล้ว จะแต่งงานใหม่ก็ดูยังไม่เข้าท่าเข้าทางว่าที่เจ้าบ่าวดูเด็กกว่ามาก ย่าคงไม่อยากให้ครอบครัวตกเป็นขี้ปากชาวบ้านในชุมชนแถบนั้น ตอนเธอเป็นหม้ายกลับบ้านมายังถูกซุบซิบนินทามาตลอด เพื่อนๆ เคยเห็นว่าเธอเป็นคนเรียบร้อยหัวโบราณชอบสั่งสอน แต่พอเอาเข้าจริงเธอกลับไม่ใช่แบบที่ทุกคนคิด“แม่...ฉันว่ามันยังไงอยู่นะ ทำแบบนี้เหมือนยัยเฒ่ามันอยู่กับเขามานานแล้ว...” แม่ของบุรณีไปกระซิบย่าอย่างไม่เห็นด้วย“นี่...แกดีกว่ามันหรือไง อย่าให้ฉันพูดนะจะอายลูก” ย่าพูดเสียงดัง จนชายหนุ่มมองหน้าย่าอย่างสงสัย“ไป...ดูว่านางลูกสาวแกมันแต่งตัวพองามหรือยัง ลงมาแค่อวยพรพวกเขา และพ่อหนุ่มจะได้กลับบ้าน เขามีงานมีการต้องกลับไปทำ...เสียเวลาเขาหลายวันแล้ว” ย่าไล่ให้แม่ขึ้นไปเรียกบุรณีหญิงสาวเดินลงมาพอดี ถูกย่ามองอย่างหมั่นไส้“ทั้งคู่ไปกราบพระที่ห้องพระก่อน
คำโปรย เงินทอง...ไม่มีหาใหม่ได้เสมอแต่รักแท้ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ----------------บุรณีพาลูก้าและพันธ์ศักดิ์ไปเดินเที่ยวชมตลาดนัดตอนเย็นหลังออกจากสถาบัน เธอพาชายหนุ่มไปรู้จักญาติคนที่แนะนำเดชให้มาดูตัวเธอ เรไรเป็นญาติผู้น้องของบุรณีสายทางย่าของเธอซึ่งเป็นน้องสาวย่าแสงคำของหญิงสาว เธออายุอ่อนกว่าบุรณีสามปีและยังโสดไม่ยอมแต่งงานกับใครแม้มีหนุ่มมามองอยู่หลายคนก็ตาม ร้านของเธออยู่ในบริเวณตลาดนัดริมโขงขายผ้าไหมอีสานซึ่งบุรณีเคยพาเพื่อนๆ มาอุดหนุนอยู่บ่อยๆ “เรไร...นี่พันธ์ศักดิ์...รู้จักกันที่อิตาลี มาขอดูผ้าไหมเผื่อซื้อกลับไปเป็นของฝาก” หญิงสาวแนะนำเขากับเรไร“ได้เลย...เดี๋ยวคืนนี้ไปกินข้าวด้วยนะ สนใจผ้าผืนไหนให้เด็กไปเอามาให้เลือกได้เลย” เรไรพูดทักทายเพียงไม่นาน เธอต้องไปทำธุระหลังร้าน วันนี้เธอยุ่งวุ่นวายกับพ่อค้าขายส่ง“ลาร่า...ผมว่าผ้าไทลื้อที่ผมออกแบบส่งมาขายที่นี่ได้ไหม...” ชายหนุ่มมองเห็นโอกาสเพราะหนองคายเป็นจังหวัดติดชายแดนไทย-ลาว“ได้สิ... คืนนี้คุยกับเธอเลย...เราไปส่งลูก้าให้กลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนย่า แล้วค่อยออกมากินข้าวกับเธอ” บุรณีตะโกนลาญาติของเธอและบอกว่าหนึ่งทุ่มจะมารับบ
คำโปรย แม้รักใครบางคน แต่เลือกที่จะจากกันไป แม้คิดถึงกันเพียงใด แต่ยังเลือกที่จะไม่พบกัน----------------พันธ์ศักดิ์บินกลับเมืองไทยทันทีหลังจากหมอจีอนุญาตให้กลับได้หลังจากพักฟื้นเกือบครึ่งปี ช่วงพักฟื้นชายหนุ่มมีกิจกรรมเช่าเรือยอร์ชขับท่องเที่ยวในทะเลสาบโคโม ถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เขาคลายความปวดร้าวในจิตใจลงไปได้ อาการซึมเศร้าของชายหนุ่มดีขึ้นเมื่อแม่จันทนาโทรศัพท์มาทุกวันพูดคุยเล่าเรื่องราวทางบ้านให้เขาฟัง “แม่ครับ...ผมจะถึงกรุงเทพอาทิตย์นี้ และต่อลงเชียงใหม่เลย ผมขอพักเชียงใหม่หนึ่งคืน ให้ลุงถมช่วยมารับผมที่เชียงใหม่ ทุกคนรอที่บ้านนะครับ” เขาแจ้งกำหนดคร่าวๆ ให้แม่รับรู้ “ป้าคำดี...เปิ้นรอทำกับข้าวเมืองต้อนรับนะลูก รีบกลับมากินให้เปิ้นชื่นใจ” แม่จันทนาพูดถึงแม่ครัวของที่ไร่ซึ่งฝีมือทำอาหารเหนือที่ชายหนุ่มติดใจมาตั้งแต่เล็กๆแม่ของเขาไม่ใช่คนเหนือได้แต่งงานกับพ่อของพันธ์ศักดิ์แล้วมาช่วยกันแปลงที่ดินรอบบ้าน 50 ไร่ให้กลายเป็นรีสอร์ตขนาดย่อมในอำเภอเชียงคำ เขาเกิดที่นี่และเติบโตกลายเป็นคนเหนือของท้องถิ่นนี้ รับช่วงกิจการของครอบครัวจากมรดกที่พ่อทิ้งไว้ ห้าปีที่แล้วพ่อจากไปทำให้เขาซึม
คำโปรย พลังของการเยียวยา...ไม่ว่าความเจ็บปวดใด... ลบล้างมลทินได้ด้วยกาลเวลาแห่งสุนทรียะของความสัมพันธ์----------------บุรณี ลูก้าและมัมมา ถูกส่งเข้าแอดมิตที่โรงพยาบาลในโรมจากอาการบาดเจ็บและปวดร้าวทั่วร่างกาย ทั้งยังจิตใจที่ต้องได้รับการเยียวยา ครอบครัวเธอได้รับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเกือบหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่เธอจะออกจากโรงพยาบาล หมอจีติดต่อเข้ามาเยี่ยมดูอาการและพูดคุยกับหญิงสาว“Ciao ลาร่า...หน้าตาดูดีขึ้นแล้วนะเนี่ย...เอ่อ...ปุนโต อาการดีขึ้นแล้ว แต่ผมอยากให้เขาย้ายไปโคโมพักฟื้นสักระยะหนึ่งในบ้านหลังที่คุณเคยอยู่ ก่อนที่เขาจะกลับเมืองไทย จะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจให้เขารู้สึกดีขึ้นกับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา” หมอจียิ้มอารมณ์ดีเมื่อมองหน้าหญิงสาวที่มีสีเลือดฝาดบางๆ ที่แก้มของเธอ เขานิ่งรอฟังเสียงของเธอว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับข่าวคราวของพันธ์ศักดิ์“ฝากดูแลเขาด้วยค่ะ...ฉันคงไม่ได้กลับไปเจอเขาอีกแล้ว จะจัดการเรื่องของเขาให้เรียบร้อย บอกเขาด้วยนะคะ ไม่ต้องกังวล” เสียงของเธอดูเซื่องซึมเชื่องช้า ใจเหี่ยวแห้ง เธอไม่มีโอกาสบอกลาเขาด้วยซ้ำ“เอ้า...ไม่ไปเจอกันหน่อยรึ…!!! พอเขาเริ่มฟื้นมีสติพูดค
คำโปรย ฝันอยากให้คนคนนั้นเข้ามาในชีวิต...ตลอดไป ----------------บุรณีกำลังถูกมาเฟียสูงวัยโอบฟัดร่างด้วยฝ่ามือแข็งประดุจเหล็กกล้า และจากความแรงราวลูกตุ้มเหล็กเหวี่ยงเธอล้มลงบนที่นอนเสียงดังตึงจนเธอรู้สึกปวดแปลบที่สะโพกร้าวถึงอุ้มเชิงกรานแทบทนไม่ไหว น้ำตาของหญิงสาวเริ่มไหลพรากด้วยทนเจ็บระบมมากมายเหลือเกิน ตลอดทั้งสัปดาห์มานี้เธออดทนกับความเจ็บปวดขนาดนี้ได้อย่างไร ขณะนี้อาการของมันยิ่งกำเริบหนักเป็นทบทวีทันใดนั้นเอง...เสียงดัง โครม...ตึง...ตึง...ปัง ราวฟ้าถล่ม จากการกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง ประตูถูกพังเข้ามาอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า“แบร์โด...เร็ว!!! เอานางไปด้วย...Ora…เดี๋ยวนี้ AM polizia หน่วยปราบปรามเต็มไปหมดแล้ว ลงบันไดหนีไฟ โจเช่รอนายอยู่ด้านหลัง ฉันจะยิงดักทางให้...!!!” เสียงตะโกนของเลโอ คนสนิทของแบร์นาโดโผล่พรวดเข้ามาตะโกนเสียงดังให้เขารีบพาเธอหนีไปอย่างไม่ต้องคิดชีวิตแล้ว เพราะเขาถูกกองกำลังปราบปรามของทางการล้อมคอนโดไว้ขณะนี้หญิงสาวถูกสมุนสองนายช่วยกันลากเธอลงบันไดไปได้แค่ครึ่งทาง เธอบอกจะเดินไม่ไหวแล้วเรี่ยวแรงแทบไม่มี พวกมันจึงผลัดกันอุ้มเธอรีบวิ่งตามมาเฟียนายใหญ่ลงไป เขาเป