เธอทำหน้าบึ้ง ไม่อยากมากความกับพวกเขา เพียงแต่คิดจะไปแต่ก็ไปไม่ได้เวินเหลียงหงุดหงิดถึงขีดสุด “ฉันจะพูดอีกครั้ง กรุณาให้ฉันไปด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งความว่าพวกคุณรบกวน”เมื่อนั้นบรรดานักข่าวจึงปล่อยให้เธอไปแบบไม่ยินยอมละแวกโรงพยาบาลมีคนพลุกพล่านหลังจากออกจากวงนักข่าวไปได้ คนสัญจรแถวนั้นก็พากันชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์เวินเหลียงเวินเหลียงหงุดหงิดสับสน เดินตรงไปอีกระยะหนึ่ง ขณะถึงป้ายรถประจำทางก็มีรถประจำทางผ่านมาคันหนึ่งพอดี เธอไม่ได้ดูว่าเป็นสายไหนก็ขึ้นรถไปเลยมีผู้โดยสารลงที่สถานีโรงพยาบาลเต๋อซิงไม่น้อย ห้องโดยสารของรถประจำทางจึงโล่ง เวินเหลียงเดินไปถึงท้ายรถและหาที่นั่งริมหน้าต่างนั่ง ดวงตาทั้งคู่เหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างในฐานะที่เจียงเฉิงเป็นเมืองใหญ่ของมณฑล หลายปีนี้จึงพัฒนาไวที่สุดแถว ๆ โรงพยาบาลคึกคักที่สุด ร้านอาหารโรงแรมเกลื่อนกลาดผู้คนสัญจรเร่งรีบ บ้างในมือถือซองรายงานของโรงพยาบาลตัวอำเภออื่นผ่านไปอีกสองสามสถานี คนสัญจรข้างทางน้อยลง แสงสีข้างทางดึงดูดสายตา สองฝั่งล้วนเป็นตึกสูงใหญ่นี่คือถึงย่านใหม่แล้วหลังจากผ่านย่านใหม่ ผู้โดยสารในรถประจำทางทยอยลงอย่างต
เวินเหลียงใช้โทรศัพท์มือถือจ่ายเงินแล้วจึงกดเปิดประวัติการโทร ในนั้นมีสายที่ไม่ได้รับของฟู่เจิงหลายสิบสายกับข้อความของฟู่เจิงอีกสามสี่ข้อความเธอเปิดออกอ่านทีละข้อความ ข้อความแรกเขียนว่า : เวินเหลียง เธออยู่ที่ไหน? ฉันจะไปรับเธอข้อความที่สอง : เรื่องข่าวฉันอธิบายได้ข้อความที่สาม : ขอโทษพอเห็นสองคำนี้แล้วเวินเหลียงก็หัวเราะขอโทษเหรอขอโทษอีกแล้วเขาพูดเป็นอยู่แค่ประโยคเดียวเสมอรู้ทั้งรู้ว่าทำผิด แต่ก็ยังจะทำผิดต่อไปข้อความที่สี่เวลาห่างจากข้อความที่สามประมาณหนึ่ง : เวินเหลียง การสัมภาษณ์ของเธอที่หน้าโรงพยาบาลถูกคนประสงค์ร้ายตัดต่อ ฉันให้คนกดกระแสเอาไว้แล้ว เธออยู่ที่ไหน? ฉันจะไปรับเธอ เห็นข้อความนี้แล้วอย่าลืมโทรกลับหาฉันด้วยเวินเหลียงเปิดเฟซบุ๊กค้นหา เห็นข่าวที่เกี่ยวกับตัวเองดังคาด เป็นของแอคปั่นข่าวเพิ่งเผยแพร่ไม่นานนี้สื่อต่าง ๆ ตั้งชื่อข่าวนี้ว่าการตอบกลับล่าสุดของเวินเหลียง คนที่ฟู่เจิงนอกใจด้วยตอบกลับอะไร?ไม่ได้ตอบกลับอะไรสักหน่อยแค่แอคปั่นข่าวกับสื่อชักจูงว่าท่าทีแบบนี้ของเวินเหลียงคือละอายใจ ไม่กล้าตอบซึ่งหน้า คอมเมนต์ข้างล่างล้วนเป็นการโจมตีเวินเหลียงแ
“เธอเดินเข้าสู่ฤดูร้อนเคียงข้างฉัน ก้าวผ่านเมืองที่วุ่นวาย เสียงเพลงยังคงดำเนินต่อไป ในดวงตาคู่นั้นที่เหมือนดอกทับทิมของเธอ ไม่เห็นความอ่อนโยนของเธอ รอยยิ้มที่งดงามจางหาย วันเวลาไม่อาจหยุดเดิน ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยมาเฝ้ารอ ฉันคิดถึงเธอจริง ๆ ในทุกฤดูฝน เธอเลือกที่จะลืม แต่ฉันกลับทำใจไม่ได้สักนิด กระดาษสั้นแต่ความรักนั้นยาว มีระลอกคลื่นมากมายที่บรรยายไม่มีวันหมด เรื่องราวของฉันล้วนเกี่ยวข้องกับเธอ ทำไมถึงหลงรักเขา และตัดสินใจกลับบ้านกับเขา ทิ้งทุกสิ่งของฉันทุกอย่างของฉันโดยไม่สนใจ กระดาษสั้นแต่ความรักนั้นยาว ไม่อาจบรรยายช่วงเวลาในวัยเด็กได้หมด เรื่องราวของฉันยังคนเกี่ยวข้องกับเธอ......”น้ำเสียงของนักร้องไม่นับว่าโดดเด่นนัก ความไพเราะก็ถือว่าธรรมดา อาจเป็นเพราะตอนนี้มีลูกค้าไม่มาก เสียงร้องจึงฟังดูขี้เกียจสักหน่อยแต่ก็ยังทำให้เวินเหลียงตาแดง และรู้สึกปวดใจได้เพราะข่มอารมณ์มาทั้งวัน จู่ ๆ จึงระเบิดออกมาในคราวเดียวสิบกว่าปีมานี้เธอเป็นผู้ชมมาโดยตลอด มองดูฟู่เจิงเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชิงเซ่อ เติบโตจนกลายเป็นประธานของฟู่ซื่อ กรุ๊ปที่แบกรับภาระทุกอย่างของบริษัทอยู่ในตอนนี้เขาคือเป้าหมา
ชาวเน็ตทำร้ายเธอไม่ได้ คนที่จะทำร้ายเธอได้มีแค่ฟู่เจิงการโปรโมตในด้านการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ MQ รวมถึงโครงการอื่น ๆ เธอก็มักจะติดต่อกับสื่ออยู่บ่อย ๆ จึงย่อมรู้ดีว่าจิตใจของชาวเน็ตนั้นเป็นไปในทิศทางที่คาดเดาไปสุ่มสี่สุ่มห้าสิ่งที่พวกเขาเห็น คือสิ่งที่มีคนอยากให้พวกเขาเห็นเหมือนกับข่าวในวันนี้ มีสื่อจงใจชี้นำให้เกิดความปั่นปวด ซ้ำยังมีอู๋หลิงคอยแทงข้างหลัง มีคนจงใจเปิดเผยต่อหน้าชาวเน็ตส่วนสิ่งที่ไม่อยากให้ชาวเน็ตเห็น อย่างเช่นความบริสุทธิ์ของเธอ ก็ถูกฟู่เจิงปิดบังไว้เสียสนิท บนอินเทอร์เน็ตไม่หลุดลอดออกมาแม้แต่ตัวเดียว ขอแค่เธอพูดความจริงออกมาบนเฟซบุ๊ก ไม่เกินสามวินาทีก็ต้องถูกปิดกั้นการมองเห็นโจวอวี่นั่งเป็นเพื่อนเวินเหลียงอยู่ที่บาร์พักใหญ่ เวินเหลียงพูดว่า “วันนี้ตอนบ่ายนายไม่ทำงานเหรอ ?”“เปล่า ถ้ามีผู้จัดการของฉันคงต้องโทรจิกแล้ว ได้นั่งเป็นเพื่อนเธอที่นี่พอดี เอ๊ะ หรือว่าคืนนี้เธอไปกินข้าวที่บ้านฉันดีไหม นาน ๆ ทีจะมีเวลา”“ได้สิ” เวินเหลียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นายรอฉันไปซื้อของฝากที่ห้างสรรพสินค้าให้คุณลุงคุณป้าสักเดี๋ยวนะ จะไปมือเปล่าก็คงไม่ได้”“โธ่ ขอแค่เธอไปก็พอ
ป้าโจวปลอบใจเวินเหลียง บอกเวินเหลียงว่าอย่าเก็บเอาไปใส่ใจอีกป้าโจวคิดในใจว่า อย่างไรเสียเวินเหลียงกับฟู่เจิงก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี หากมีความสัมพันธ์อะไรจริง ๆ ฉู่ซืออี๋จะมีสิทธิ์อะไรได้ ?“ขอบคุณค่ะคุณป้า คุณป้าคะ สบายใจได้ค่ะ พวกเขาอยากด่าก็ด่าไป หนูก็ใช้ชีวิตของหนู พวกเขาไม่มีผลกระทบกับหนูสักนิด หนูไม่มีทางเก็บเอาไปใส่ใจหรอกค่ะ”“ใช่แล้ว แบบนี้สิถึงจะถูก คือว่า......ข่าวทำนองนี้ ทำไมคุณฟู่ถึงไม่ไปชี้แจงล่ะ ? นี่ไม่ทำกับทำให้เธอต้องเสียชื่อเสียงเปล่า ๆ เหรอ ?”เวินเหลียงก้มหน้าลงแล้วยิ้ม “คุณป้า สื่อกับชาวเน็ตพวกนี้ขุดคุ้ยฐานะของหนูออกมานานแล้ว รู้ว่าหนูเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลฟู่ ฟู่เจิงเป็นพี่ชายของหนู แต่ก็ยังคงโหมไฟให้ลุก ชี้แจงกับพวกเขาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เรื่องแบบนี้วิธีจัดการที่ดีที่สุดคือเงียบเอาไว้ รอพายุสงบแล้วค่อยลบหัวข้อสนทนาทั้งหมดออก ก็ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”ถ้าระหว่างเธอกับฟู่เจิงนั้นบริสุทธิ์ต่อกัน นี่ก็เป็นวิธีจัดการที่ดีที่สุดแล้ว“ที่พูดมาก็ถูก คุณฟู่งานยุ่งขนาดนั้น จะมีเวลาสนใจความคิดของชาวเน็ตได้ยังไง” ป้าโจวพยักหน้าเมื่อก่อนโจวอวี่เองก็มีเรื่องอื้อฉาวโด่งด
โจวอวี่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถอดหน้ากากอนามัยออก “คุณปู่ฟู่ คุณย่าฟู่ ผมมาส่งอาเหลียงครับ พอรู้ว่าคุณปู่ฟู่ไม่สบาย ก็เลยขึ้นมาเยี่ยม คุณปู่ฟู่ยังสบายดีใช่ไหมครับ ?”“ลำบากเธอแล้ว ยังสบายดี สบายใจได้” คุณปู่พูดขึ้นพลางหัวเราะร่า“งั้นก็ดี ในเมื่อส่งอาเหลียงมาถึงแล้ว งั้นผมก็ไม่อยู่ต่อแล้วนะครับ ขอตัวกลับก่อน ลาก่อนนะอาเหลียง ลาก่อนครับคุณปู่ฟู่คุณย่าฟู่ ลาก่อนครับคุณฟู่” โจวอวี่สวมหน้ากากอนามัย แล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป“อาเหลียง เพื่อนของหลานคนนี้ห่อเหลาไม่เบา เป็นเด็กที่ใช้ได้คนหนึ่งเลยทีเดียว” คุณย่าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะที่พูด เธอก็แอบเหลือบมองฟู่เจิงจากประสบการณ์อันยาวนานของเธอ โจวอวี่คนนี้จะต้องคิดอะไรกับเวินเหลียงอย่างแน่นอนเพียงแต่โจวอวี่น่าสนใจกว่าฉู่ซืออี๋มากเวินเหลียงไม่เข้าใจความหมายแฝงของคุณย่า จึงพูดเสริม “คุณย่าคะ เขาเป็นดาราดังคนหนึ่ง เป็นที่ชอบพอของบรรดาสาว ๆ มากเลยค่ะ”“งั้นเหรอจ๊ะ ? แล้วพวกเธอรู้จักกันได้ยังไง ?”“ตอนเด็ก ๆ บ้านของเขาอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านหนูค่ะ เป็นเพื่อนบ้านกัน เพียงแต่ภายหลังย้ายบ้าน คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะได้มาพบกันอีก”“ถ้างั้นก็ม
“เธออะไร ?” เมื่อเห็นฟู่เจิงเงียบไป เวินเหลียงก็จ้องมองเขา“ซืออี๋เป็นบุคคลสาธารณะ จะแบกรับข่าวเชิงลบไม่ได้”“ฉู่ซืออี๋แบกรับข่าวเชิงลบไม่ได้ แล้วฉันทำได้งั้นเหรอ ?”“เวินเหลียง กว่าที่ฉันจะรู้เรื่องราวก็บานปลายแล้ว วิธีจัดการกับความร้อนแรงที่ดีที่สุด ฉันคิดว่าเธอเองก็น่าจะรู้ ตอนนี้ความเงียบเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด...”เมื่อได้ยินฟู่เจิงพูดแบบนี้ เวินเหลียงก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่ออีกเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเขากับฉู่ซืออี๋ แต่สุดท้ายกลับเป็นเธอที่ต้องแบกรักข้อกล่าวหามือที่สาม ถูกคนด่าทอ แต่กลับกลับแสดงท่าทีจนปัญญาหากจะถามถึงเหตุผลก็เป็นเพราะความลำเอียงเท่านั้นหากรักใครสักคนจริง ๆ จะไม่มีวันที่ทำให้เธอต้องน้อยใจ เหมือนกับที่เขารับผิดชอบปกป้องฉู่ซืออี๋จากข่าวหัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เขารู้ทั้งรู้ว่าเธอต้องเสียใจ แต่กลับยังทำต่อไป กลับปล่อยให้เธอต้องน้อยใจต่อไปเขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่า เขาสนใจแค่ฉู่ซืออี๋ เธอถามให้มากความแล้วจะมีประโยชน์อะไรอีก ?คราวหน้า ถ้าต้องขอโทษ ก็ยังคงขอโทษถ้าเธอทะเลาะกับเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจหาว่าเธอไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจ ต้องการทำลายอาชีพของ
ฟู่เจิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วอธิบาย “ซืออี๋มีปัญหาทางจิตเล็กน้อย ถ้าอยู่คนเดียวอาจมีอันตราย...”เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เวินเหลียงก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงทำยังไงฟู่เจิงถึงจะรู้ว่า เธอไม่อยากยุ่งเรื่องของฉู่ซืออี๋ นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่เธอควรให้อภัยยิ่งไปกว่านั้น เธอมองออกว่าตอนเช้าที่ฉู่ซืออี๋พูดคุยกับเธอนั้น ไม่มีร่องรอยของความเจ็บป่วยเลยสักนิดเพียงแต่หากเธอพูดในสิ่งที่คิดออกไป เขาก็จะหาว่าเธอไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจอีก“ต่อให้เธอไม่มีอันตรายถึงชัวิต คุณก็จะไปอยู่ดี คุณใส่ใจเธอ แล้วทำไมต้องพูดเหมือนฝืนใจแบบนี้ด้วย” เวินเหลียงพูด “อีกอย่าง ฉันเองก็ไม่มีอะไรต้องอธิบายกับคุณ”“ฉันรู้ว่าเธอชอบโจวอวี่ เพียงแต่เธอไม่ควรเลือกที่จะไปพบเขาในเวลาแบบนี้ ซ้ำยังพาเขามาหาคุณปู่อีก...”“แล้วคุณไม่เหมือนกันเหรอ ? ไปหาฉู่ซืออี๋ในเวลาสำคัญแบบนี้ ซ้ำยังพาเธอมาหาคุณปู่อีก นี่ฉันเลียนแบบคุณมาทั้งนั้น”“ซืออี๋อาการกำเริบ ฉันก็เลยต้องพาเธอมาเพื่อปลอบใจเธอ ก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยพูดว่า รอให้คุณปู่ย้ายมาอยู่ห้องผู้ป่วยธรรมดาก็พาเธอมาได้ แล้วตอนนี้เธอจะโมโหอะไร ?” ฟู่เจิงมองเธออย่างไม่เข้าใจเวินเหลียงคิดไม่ถึงเ