อาหลี่กลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่และกาน้ำร้อนที่เขาต้มเอาไว้ เสิ่นเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว นางเดินเข้ามายกถ้วยน้ำร้อนขึ้นดื่ม ไอร้อนช่วยให้ร่างกายของนางอบอุ่นขึ้นมาเป็นอย่างมาก
เสิ่นเสวี่ยมองไปรอบๆ เรือนเก่าที่ทรุดโทรม ก่อนจะถอนหายใจออกมา
เอาเถิด ค่อยๆ หาทางต่อเติมก็แล้วกัน
"เสิ่นเสวี่ย เจ้าหิวหรือไม่?"
เสิ่นเสวี่ยหันไปมองอาหลี่ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
"ข้าต้มกระเพาะปลาเอาไว้ เมื่อวันก่อนฮูหยินใหญ่นำกระเพาะปลาตากแห้งมาให้ข้า ในสวนมีหน่อไม้อยู่มากมายข้าจึงต้มเอาไว้ให้เจ้ากิน"
เสิ่นเสวี่ยยิ้มตาหยี นางค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปหาอาหลี่ ก่อนจะยื่นฝ่ามือเรียวงามลูบไล้ไปที่แผงอกล่ำสันของเขา
น่ากินอะ!!!
"ท่านพี่อาหลี่ช่างเก่งจังเลยเจ้าค่ะ"
"คุณหนูใหญ่ เอ่อ...เจ้าชมข้าเกินไปแล้ว"
"ทำดีก็ต้องชมสิเจ้าคะ ข้าอยากกินกระเพาะปลาแล้ว โอ๊ยยย หิวจัง"
เสิ่นเสวี่ยแกล้งทำเป็นโค้งตัวลงแล้วจึงยกมือขึ้นกุมท้องด้วยความหิวโหย สายตาของอาหลี่เหลือบไปเห็นเนินอกอวบอิ่มขนาดใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน มันเต่งตึงใหญ่โตเสียจนเขารู้สึกเสียวบริเวณท้องน้อย
เขารีบเบือนหน้าหนีทันที ก่อนจะหันหลังเดินออกไปที่ครัว
เสิ่นเสวี่ยหัวเราะคิกคัก นางชอบใจที่สามารถทำให้เขาเขินอายได้เช่นนี้
ไม่นานนักอาหลี่ก็กลับมาพร้อมกับกระเพาะปลาร้อนๆ หนึ่งถ้วย เขายกมันขึ้นมาวางเอาไว้ตรงหน้านาง ก่อนจะนั่งมองนางด้วยสายตาที่ห่วงใย
"ท่านพี่อาหลี่ไม่กินหรือเจ้าคะ?"
"ไม่ละ มันเป็นของเจ้า ท่านแม่เจ้าฝากมา"
"หืมมม ของข้าก็เหมือนของท่านพี่อาหลี่นั่นละเจ้าค่ะ"
อาหลี่ใบหน้าแดงซ่านเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของเสิ่นเสวี่ย
"เจ้ากินเถอะ ข้าต้มมาถ้วยเดียว เก็บกระเพาะปลาแห้งไว้ให้เจ้าจะได้ต้มกินอีกหลายๆ มื้อ"
อื้อหือออ!!! แสนดีอะ พูดละอยากจะจับมาหอมซ้ายหอมขวา
"มาเจ้าค่ะ ข้าป้อนนะ อ้ำๆ"
อาหลี่มองเสิ่นเสวี่ยด้วยสายตาที่หวาดระแวง ไม่กี่วันก่อนนางยังทุบตีเขาอยู่เลย แต่วันนี้นางกลับมาทำดีต่อเขา นี่มันเรื่องอันใดกัน?
เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ นางจึงดีต่อเขาเช่นนี้
"เร็วๆ สิเจ้าคะ"
อาหลี่ค่อยๆ อ้าปากกินกระเพาะปลาที่เสิ่นเสวี่ยตักป้อนให้ นางยิ้มตาหยีมองเขาอย่างอารมณ์ดี
"ท่านพี่อาหลี่นี่ฝีมือสุดยอด"
"จริงหรือขอรับ?"
"อืม ฝีมือทำกับข้าวดีเช่นนี้ ลีลาบนเตียงคงจะดีไม่น้อย"
"แค่กแค่ก"
อาหลี่ไอออกมาเมื่อได้ยินเสิ่นเสวี่ยพูดเช่นนี้ เขาไม่กล้าสบตานาง ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตากินกระเพาะปลาอย่างเงียบๆ
"อายทำไมเจ้าคะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว"
"ข้าจะนำถ้วยชามไปล้าง เจ้านั่งรอข้าไปก่อนนะ"
อาหลี่รีบยกถ้วยชามวิ่งออกไปนอกเรือนทันที เขารู้สึกว่าตั้งแต่เสิ่นเสวี่ยตกน้ำแล้วฟื้นขึ้นมา นางก็ดูแปลกไปเป็นอย่างมาก แปลกไปราวกับเป็นคนละคน
แต่ทำไมเขาจึงรู้สึกชื่นชอบเสิ่นเสวี่ยผู้นี้ มากกว่าเสิ่นเสวี่ยคนเก่าที่วันๆ เอาแต่ทุบตีเขา ราวกับเขาไม่ใช่คน
เสิ่นเสวี่ยค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกมาสูดอากาศด้านนอก ช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศจึงค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อย นางค่อยๆ เดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณ สายตาสอดส่องมองหาอาหลี่ ก่อนจะพบว่าเขากำลังหาบน้ำมาใส่ถังที่ตั้งอยู่ริมสระ
"ท่านพี่อาหลี่"
"คุณหนู เอ่อ… เสิ่นเสวี่ย เจ้าออกมาทำไมกัน เพิ่งจะตกน้ำมาไม่ควรออกมาตากลม เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบายได้"
ให้ตายสิ! เขาไม่คุ้นชินกับการต้องเรียกนางแบบสนิทสนมเช่นนี้เลย
"ข้าเบื่อน่ะเจ้าค่ะ อยากออกมาสูดอากาศบ้าง"
"อีกเดี๋ยวข้าจะไปเก็บหัวไชเท้าที่สวนฝั่งนั้น เจ้าไปรอในเรือนเถิด"
"ข้าไปด้วยสิเจ้าคะ"
"จะดีหรือ? โอ๊ะ"
"ดีเจ้าค่ะ"
เสิ่นเสวี่ยรีบเดินเข้าไปกอดแขนของอาหลี่ สองเต้าอวบอิ่มเต่งตึงของนางบดเบียดเสียดสีกับท่อนแขนแกร่งของเขา จนใบหน้าเขาแดงซ่านด้วยความเขินอาย เสิ่นเสวี่ยที่สัมผัสได้ถึงอาการเขินอายของอาหลี่ ก็ยิ่งขยับหน้าอกเข้าไปแนบชิดกับเขามากขึ้น
"ไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากดูหัวไชเท้า"
"ไปก็ไป"
อาหลี่กับเสิ่นเสวี่ยพากันเดินมาที่สวนหัวไชเท้าขนาดไม่ใหญ่เท่าใดนัก เขายื่นร่มขนาดเล็กส่งให้นางใช้บังแดดบังลม ส่วนตนเองก็เดินไปนั่งถอนหัวไชเท้าที่กลางสวน
เสิ่นเสวี่ยจ้องมองแผงอกล่ำสันของอาหลี่ ตอนนี้มันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคลที่ไหลเยิ้ม ช่างดูเซ็กซี่ขยี้ใจนางเสียจริงๆ
นางจับหัวไชเท้าขนาดพอดีมือขึ้นมาดู ก่อนจะใช้น้ำล้างมันจนสะอาด แล้วค่อยๆ ใช้ปากอมรูดเพื่อสำรวจขนาดของมัน
หัวไชเท้ากับแท่งเอ็นใต้ร่มผ้าของท่านพี่อาหลี่อันไหนจะใหญ่กว่ากันหนอออ?
อาหลี่ที่เดินมาพร้อมกับหัวไชเท้าตะกร้าใหญ่ เมื่อเห็นเสิ่นเสวี่ยกำลังอมรูดหัวไชเท้าอย่างเมามัน ก็รีบวิ่งเข้าไปดึงมือนางเอาไว้ทันที
"เสิ่นเสวี่ย มันกินดิบๆ เช่นนี้ไม่ดีต่อร่างกายเอานะ"
"ข้าไม่ได้กิน ข้าแค่ลองวัดขนาดเจ้าค่ะ"
"ขนาดอะไรรึ?"
"ไม่บอกเจ้าค่ะ อะ ข้าไม่เอาแล้ว ท่านเอาไปขายต่อเถิด"
เสิ่นเสวี่ยยื่นหัวไชเท้าส่งให้อาหลี่ เขาขมวดคิ้วมุ่นรับมันมาด้วยท่าทีสงสัย ก่อนจะยกตะกร้าหัวไชเท้าไปขัดล้างเศษดินออกจนหมด เพื่อนำไปขายต่อ
ที่สวนท้ายจวนเขาปลูกผักไว้หลายชนิด เมื่อผักถึงเวลาเก็บเกี่ยวเขาก็จะนำมันไปขาย เอาเงินไปให้ท่านโหวเสิ่นเหยากวง แล้วท่านโหวจะให้ค่าตอบแทนเขาเท่าใด เขาก็ยินดีรับเอาไว้เสมอ
"ข้าจะเอาหัวไชเท้าไปส่งพ่อค้า"
"ไปด้วยเจ้าค่ะ"
"ไม่ได้ เจ้าเพิ่งจะตกน้ำ"
"ข้าจะไป ท่านคิดจะขัดข้าหรือ?"
เสิ่นเสวี่ยยกมือขึ้นเท้าเอวทั้งสองข้าง สายตาจ้องมองอาหลี่อย่างไม่ยินยอม เขาที่หวาดกลัวนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยินยอมตามใจนางอย่างขัดไม่ได้
เสิ่นเสวี่ยเดินตามอาหลี่ที่แบกกระบุงใส่ผักตะกร้าใหญ่เอาไว้ เขาพานางเดินออกมาจากจวน มุ่งหน้าตรงไปที่ตลาดใหญ่ จนพบกับร้านขายผักแผงลอยที่ใหญ่โตร้านหนึ่ง
"อ้าวอาหลี่ วันนี้มาไวนะ หัวไชเท้างามๆ ทั้งนั้น"
"ขอรับเถ้าแก่ เชิญท่านตรวจดูสินค้า และให้ราคาได้เลยขอรับ"
เถ้าแก่พยักหน้า ก่อนจะสั่งให้คนยกกระบุงของอาหลี่ไปชั่งดูราคา
"โอ้ ได้ห้าตำลึงแน่ะ"
เถ้าแก่ร้านหยิบตำลึงส่งให้อาหลี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"วันนี้พาใครมาด้วยหรือ?"
"เอ่อ"
"ภรรยาเจ้าค่ะ ข้าเป็นภรรยาอาหลี่"
"โอ้ ไปแอบแต่งงานเมื่อใดกัน ภรรยาเจ้าใบหน้างดงามไม่น้อยเลยนะอาหลี่"
อาหลี่พยักหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะพาเสิ่นเสวี่ยเดินกลับจวนไปพร้อมกับเงินห้าตำลึง
เมื่อไปถึงอาหลี่ก็รีบนำเงินนั้นไปส่งมอบให้แก่เสิ่นเหยากวงผู้เป็นบิดาของเสิ่นเสวี่ยทันที ตอนแรกเขาไม่อยากให้นางติดตามไปด้วย กลัวว่านางจะถูกท่านโหวด่าทอจนทำให้เสียใจเอาได้
"วันนี้ได้ห้าตำลึงขอรับ"
"ดี"
เสิ่นเหยากวงปรายตามองอาหลี่ ก่อนจะหันไปมองเสิ่นเสวี่ยด้วยสายตาที่เย็นชา
เสิ่นเสวี่ยเองก็ใช่ว่าจะสนใจ นางเงยหน้าขึ้นไปมองตอบโต้เสิ่นเหยากวงด้วยสายตาที่ไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งสิ้น
"ดูเจ้าจะมีความสุขดีนะ"
"เจ้าค่ะ ดีมาก อาหลี่ดูแลลูกเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ"
"หึ ใฝ่ต่ำ สามีจากตระกูลสูงส่งมีตั้งมากมายไม่เลือก มาเลือกสามีเป็นคนใช้"
"ขอบพระคุณท่านพ่อที่กล่าวชมเจ้าค่ะ"
"เสิ่นเสวี่ย!!!"
"เจ้าคะ?"
เสิ่นเสวี่ยจ้องหน้าผู้เป็นบิดาอย่างไม่เกรงกลัว กลับกลายเป็นเสิ่นเหยากวงเสียเองที่เริ่มเกรงกลัวบุตรสาวของตน
เหตุใดเสิ่นเสวี่ยจึงคล้ายกับท่านแม่ของเขาที่สิ้นชีพไปนานแล้ว แววตาเช่นนี้ช่างน่าขนลุกเหลือเกิน
"เอาไปหนึ่งตำลึง"
เสิ่นเสวี่ยขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะปรายตามองเสิ่นเหยากวงด้วยสายตาเย็นชา
"ช้าก่อนเจ้าค่ะ"
"อะไรของเจ้าอีก"
"สามตำลึงเจ้าค่ะ"
"อะไรนะ?"
"ลูกกับอาหลี่ต้องได้สามตำลึงเจ้าค่ะ สามีของลูกทำงานแทบเป็นแทบตาย กลับได้แค่หนึ่งตำลึง แต่ท่านพ่อนั่งจิบชาสบายๆ กลับได้ไปถึงสี่ตำลึง จะโกงกันหรือเจ้าคะ?"
"เสิ่นเสวี่ย!!!"
"เรียกบ่อยๆ ไม่เบื่อหรือเจ้าคะ?"
"นับวันเจ้ายิ่งกล้า!!!"
"สามตำลึง!!!"
"ข้าเป็นพ่อเจ้านะ"
"เจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านเป็นพ่อของข้า แต่ข้าต้องการสามตำลึงเจ้าค่ะ หรือท่านพ่อจะไม่ให้ลูก"
เสิ่นเหยากวงแม้จะโกรธที่บุตรสาวทำผิดไปเอาคนรับใช้มาเป็นสามี แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรสาวคนโตของเขา
และเป็นบุตรสาวที่เขายังคงรักมากที่สุดเสมอ
"อยากได้ก็เอาไป"
เสิ่นเหยากวงโยนเงินสามตำลึงส่งให้เสิ่นเสวี่ยด้วยความหงุดหงิด นางรับมันมาถือเอาไว้ ก่อนจะมองเสิ่นเหยากวงผู้เป็นบิดาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
"เรือนท้ายสวนหลังนั้น กับที่ดินอีกสามหมู่ ลูกขอให้ท่านพ่อยกให้ได้หรือไม่เจ้าคะ"
"เจ้าจะเอามันไปทำสิ่งใด?"
"ทำสวนสิเจ้าคะ"
"บุตรใฝ่ต่ำเช่นเจ้าไม่สมควรได้สมบัติชิ้นใดจากตระกูลเสิ่นติดตัวไปแม้แต่ชิ้นเดียว!!!"
"แหมมมม ท่านพ่อ จะโกรธอะไรนักหนาเจ้าคะ ข้าเองก็สำนึกผิดแล้ว ไม่ได้อยากได้สมบัติใดมากมาย ขอเพียงที่ทางเอาไว้ทำมาหากินเล็กๆ น้อยๆ ท่านพ่อจะไม่ให้ก็ได้นะเจ้าคะ ลูกจะได้พาอาหลี่ไปหาที่อยู่ข้างนอก"
"หุบปาก!!! เจ้าสองคนอย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากจวนโหวของข้า"
"เช่นนั้นก็ยกที่ดินให้ลูกสิเจ้าคะ"
"ไม่!!!"
เสิ่นเหยากวงยังคงยืนยันหนักแน่น เขาไม่มีทางยอมให้เสิ่นเสวี่ยไปไกลจากสายตาของเขาเด็ดขาด อาหลี่เจ้าทึ่มนั่นจะดูแลลูกสาวเขาได้หรือไม่ เขาเองไม่มีทางไว้วางใจเด็ดขาด
"อาหลี่ไปเก็บของกันเถอะ"
เสิ่นเหยากวงดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองบุตรสาวของตนเองตาไม่กะพริบ แต่ก่อนเสิ่นเสวี่ยเป็นเด็กสาวที่เรียบร้อย ไม่เคยกล้าเถียงเขาเลยแม้แต่คำเดียว แต่วันนี้นางกลับเถียงเขาฉอดๆ แถมข้อต่อรองก็มีเยอะเสียด้วย
หรือว่าวิญญาณของท่านแม่จะมาเข้าสิงนาง!!!
ให้ตายสิ!!! นี่เขาเพ้อเจ้อสิ่งใดกัน
"เสิ่นเสวี่ย!!!"
"เจ้าคะ?"
"พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปจัดการเรื่องที่ดินให้เจ้า สามหมู่เท่านั้นเจ้าห้ามต่อรองหรือขอสิ่งใดเพิ่มจากข้าอีก"
"ขอบพระคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านพ่อนี่ ยิ่งมองยิ่งรูปงามหล่อเหลาไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ"
"จริงหรือ?"
"จริงเจ้าค่ะ แต่ติดตรงขี้งกเลยดูแก่ลงไปสิบปีเจ้าค่ะ!!!"
"นังลูกชั่ว!!!"
"โอ๊ะ ไปแล้วนะเจ้าคะ สามหมู่นะเจ้าคะ!!!"
เสิ่นเสวี่ยกอดแขนอาหลี่เดินออกไปจากเรือนใหญ่อย่างมีความสุข เสิ่นเหยากวงมองตามบุตรสาวของเขาไป ดวงตาทอแววห่วงใยออกมาอย่างปิดไม่มิด
เสิ่นเสวี่ยเอ๋ย หากขาดพ่อไปสักคน เจ้าจะพึ่งพิงผู้ใดได้ แม่เจ้าก็อ่อนแอ สามีเจ้าก็ไม่มีความมั่นคงใดๆ ในชีวิตเอาเสียเลย พ่อคงต้องฝากฝังเจ้าเอาไว้กับเสิ่นเฟยพี่ชายของเจ้าเสียแล้ว คงมีแต่เขาที่ดูแลเจ้าไม่ให้ลำบากไปมากกว่านี้ได้
คนในจวนตระกูลหลัวถูกลงโทษประหารชีวิตทั้งหมด เหล่าข้ารับใช้ถูกขายกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ เหล่านักฆ่าที่เสนาบดีหลัวเลี้ยงดูเอาไว้ถูกสังหารจนหมดสิ้น จ้าวหรงฟังจัดการถอนรากถอนโคนจวนตระกูลหลัวจนสิ้นซาก เหล่าชาวบ้านต่างรู้สึกดีใจไม่น้อย ที่จะไม่ต้องทนถูกเสนาบดีหลัวข่มเหงรังแกอีกต่อไปด้านไป๋หลานฮวาก็ยอมตัดใจไปแต่งงานกับคุณชายตระกูลอื่น นางไม่อยากใส่ใจรอคอยบุรุษที่ไม่เห็นค่าของนาง ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นางกลัวเสิ่นเสวี่ยจะมากระชากหนังหัวของนางเหมือนเช่นครั้งก่อนอีก ไป๋ไทเฮาติดสุราจนลงแดง ฮ่องเต้จ้าวหรงฟังจึงได้ส่งนางไปบวชชีอยู่ที่วัดอย่างเงียบๆ และห้ามกลับเข้าวังหลวงอีก เขาหวังว่าวัดจะสามารถขัดเกลามารดาบุญธรรมของเขาได้บ้าง บุคคลภายนอกรับรู้เพียงแต่ว่า ไทเฮาอยากคิดปลีกวิเวก ไม่สนใจอำนาจในราชสำนักอีก จึงขอออกบวชที่วัดบนเขาตลอดชีวิตไทเฮาแม้จะรู้สึกโกรธเคืองจ้าวหรงฟังไม่น้อย แต่ก็คร้านจะไปสนใจเขา ถึงแม้นางจะอยู่ในวัดแต่ก็ยังแอบให้นางกำนัลที่คอยรับใช้ออกไปนำสุรามาให้นางดื่มเป็นประจำ ใครจะเลิกดื่มกันของดีเช่นนี้!!! เมาจนตายอยู่ในวัดข้าก็ยอม รัชศกม่านฉีปีที่ 1 ฮ่องเต้จ้าวหรงฟังทรงสิ้นพระช
นักฆ่าเตรียมเงื้อดาบขึ้นมาฟาดฟันที่ร่างของจ้าวม่านฉีและเสิ่นเสวี่ย ทว่ากลับถูกดาบปริศนาฟาดฟันเข้าใส่จนล้มลงไปกองกับพื้นและขาดใจตายทันทีเสนาบดีหลัวตื่นตระหนกไม่น้อย เขาหันไปมองซ้ายขวา และพบเข้ากับองครักษ์ที่กระโดดออกมาจากที่ซ่อนกาย พวกเขารอรับคำสั่งจากจ้าวม่านฉี เมื่อจ้าวม่านฉีส่งสัญญาณมือ พวกเขาจึงลงมือสังหารเหล่านักฆ่าของเสนาบดีหลัวทันที "นี่พวกเจ้า!!!""ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะใจกล้าเทียมฟ้าถึงขนาดส่งเมียรักมาเป็นสนมของข้า แล้วยังวางแผนให้บุตรชายของเจ้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ของข้าอีกด้วย ชั่วช้าเกินคนจริงๆ"จ้าวหรงฟังเดินเข้ามาพร้อมกับเสิ่นเหยากวง ด้านหลังของพวกเขายังมีหลัวกุ้ยเฟยและจ้าวมู่หรงที่ถูกลากออกมาพร้อมกันด้วย เสิ่นเหยากวงเป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรสาว เขาจึงแอบตามไปด้วย โดยเร้นกายอยู่ไม่ไกลจากจ้าวม่านฉีและเสิ่นเสวี่ยมากนัก และแจ้งเรื่องนี้ให้แก่จ้าวหรงฟังได้รับรู้ถึงความชั่วช้าของเสนาบดีหลัว จ้าวหรงฟังพิโรธเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเขายังไม่เชื่อ จึงสั่งคนไปจับตัวจ้าวมู่หรงมาพิสูจน์ความเป็นสายเลือด แต่ทว่าภาพที่ปรากฏต่อสายตาของเขาคือจ้าวมู่หรงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทางสายเลือดกับเขา
กลางดึกของคืนถัดมา จ้าวม่านฉีและเสิ่นเสวี่ยสองสามีภรรยา สวมชุดสีดำและใช้ผ้าปิดบังใบหน้า แอบปีนออกจากกำแพงวังหลวงมุ่งหน้าตรงไปที่จวนตระกูลหลัวทันที จวนตระกูลหลัวใหญ่โตโอ่อ่าไม่น้อย รอบๆ จวนจุดคบไฟเอาไว้เพื่อช่วยให้แสงสว่าง การคุ้มกันในจวนตระกูลหลัวค่อนข้างแน่นหนาเป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่จ้าวม่านฉีได้ฝึกฝนวิชาตัวเบาจากเสิ่นเหยากวงและเสิ่นเฟยมาไม่น้อย ทุกฝีก้าวจึงไร้ซึ่งเสียงใดให้เป็นพิรุธ เสิ่นเสวี่ยเองก็พยายามเดินตามเขาอย่างระมัดระวังที่สุด จ้าวม่านฉีจับมือของเสิ่นเสวี่ยเอาไว้ไม่ยอมปล่อยให้นางละสายตาแม้แต่นาทีเดียวทั้งสองหลบอยู่ในมุมมืดที่มีกิ่งไม้ปกคลุม จ้าวม่านฉีมองไปตรงหน้าซึ่งเป็นเรือนขนาดใหญ่ที่สุด ดูแล้วคงจะเป็นเรือนที่เสนาบดีหลัวพักอยู่ แสงเทียนยังคงสว่างไสวภายในเรือนนั้น เสิ่นเสวี่ยและจ้าวม่านฉี ค่อยๆ แฝงตัวเข้าไปแล้วจึงแนบหูฟังเสียงสนทนาภายในเรือนหลังนั้น ภายในเรือนไม่ได้มีแค่เสนาบดีหลัวเพียงเท่านั้น แต่จ้าวม่านฉีกลับได้ยินเสียงคล้ายสตรีกำลังสนทนากับเขาอยู่ "จะลงมือจัดการกับจ้าวม่านฉีและเสิ่นเสวี่ยเมื่อใดเจ้าคะ?""อีกไม่นานฝ่าบาทจะเสด็จไปที่พระราชวังฤดูร้อนใกล้ทะเลสาบนอกเมือง
เสิ่นเสวี่ยนำเรื่องนี้มาปรึกษาหารือกับจ้าวม่านฉี นางวางแผนกับเขาเอาไว้ว่าคืนพรุ่งนี้จะแอบปีนเข้าไปสำรวจภายในจวนตระกูลหลัวเสียหน่อย จ้าวม่านฉีไม่วางใจที่จะให้นางไปคนเดียว เขาจึงอาสาจะไปเป็นเพื่อนนางด้วย หลังจากรับสำรับมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว เสิ่นเสวี่ยก็เตรียมตัวจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ นางรู้สึกเหนียวเหนอะหนะตามร่างกายเป็นอย่างยิ่ง จ้าวม่านฉีที่เห็นเช่นนั้นก็สะบัดมือไล่เหล่านางกำนัลให้ออกไปจนหมด เสิ่นเสวี่ยขมวดคิ้วมุ่น หันไปมองเขาด้วยท่าทีประหลาดใจไม่น้อย "ท่านไล่พวกนางออกไปจนหมดตำหนักด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ?"จ้าวม่านฉีไม่พูดสิ่งใด เขาเพียงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ออกจนหมด เผยให้เห็นลำแท่งไผ่ใหญ่ยาวที่กำลังแข็งชูชันชี้โด่มาที่ใบหน้าสวยของนางเสิ่นเสวี่ยยกมือขึ้นปิดปากตนเองพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปที่ความเป็นชายขนาดใหญ่ยักษ์ของผู้เป็นสามีด้วยความตื่นเต้น นานแล้วนะที่ไม่ได้เล่นกับจ้าวม่านฉีน้อย!!!"ตั้งแต่อภิเษกเจ้าเข้าวังมา ข้ายังไม่ได้เข้าหอกับเจ้าอย่างเป็นทางการเลย วันนี้เรามาเข้าหอกันดีหรือไม่เมียรักของข้า?"จ้าวม่านฉีเดินเข้ามาใกล้ๆ เส
ฟึ่บ!!! ฉับ!!!เสียงคมดาบฟาดฟันลงมาที่กลางแผ่นหลังของเสิ่นหนิง เลือดสดๆ ไหลล้นทะลักออกมาเป็นสาย คนของเสนาบดีหลัวคิดจะลงมือซ้ำอีกครั้งเพื่อให้นางตกตาย แต่กลับถูกลูกธนูยิงเข้าที่กลางอกเสียก่อน "เสิ่นหนิง!!!""ท่านพ่อ อึก ท่านพ่อ"เสิ่นเหยากวงรีบเข้ามาประคองร่างของบุตรสาวเอาไว้ นางอุ้มทารกน้อยเอาไว้แนบอก ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาจ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยสายตาที่หวาดหวั่น เสิ่นเหยากวงสั่งให้คนคอยคุ้มกันเขากับเสิ่นหนิงเอาไว้ สายตาเย็นชาจ้องมองเสนาบดีหลัวที่ยืนอยู่ด้วยความเกลียดชัง "เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เสิ่นหนิง""ท่านพ่อ อึก!!!"เสิ่นหนิงกระอักเลือดออกมาคำโต นางค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กับบิดา และกระซิบบอกเล่าเรื่องราวอัปยศเลวทรามที่เกิดขึ้นให้เขาฟังจนหมด "ต่ำช้า!!!""ท่านพ่อ อึก ฝากลูกข้าด้วย!!!"เสิ่นหนิงยื่นฝ่ามือเรียวงามไปซับน้ำตาให้ทารกน้อยในอ้อมกอดด้วยความรักใคร่ "อย่าร้องเลยลูกแม่ เจ้าจงเป็นเด็กดีของท่านตานะ อึก ท่านพ่อ ท่านพี่อยู่ในวังหลวง ขอให้นางช่วยคุ้มครองลูกข้าด้วย ฮึก ฝากบอกแก่นางทีว่าข้าสำนึกผิดในใจแล้ว"สิ้นคำพูดสุดท้าย ร่างของเสิ่นหนิงก็แน่นิ่งไป เสิ่นเหยากวงยื่นฝ
จวนตระกูลหลัวกำลังระส่ำระสายอย่างหนัก เมื่อหลัวเฉินเฟยเกิดล้มป่วยขึ้นมากะทันหัน ด้านเสิ่นหนิงก็ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน สร้างความปีติยินดีแก่คนในจวนไม่น้อย นางลอบยกยิ้มมุมปาก นึกสมเพชเวทนาพวกชั่วช้าที่โง่งม ไม่รู้ว่าที่แท้จริงบุตรในท้องของนางไม่ใช่สายเลือดของจวนตระกูลหลัวเลยแม้แต่น้อย อาเหวยรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหน้าบุตรชายของตนแต่ก็ต้องแสร้งเก็บอาการเอาไว้ หลัวเฉินเฟยกระอักเลือดมาสองวันติดแล้ว คงเพราะยาพิษที่เขาค่อยๆ ให้ดื่ม เริ่มออกฤทธิ์แล้ว เสนาบดีหลัวรู้สึกร้อนใจเหลือเกินที่บุตรชายของตนล้มป่วยลงเช่นนี้ เขาสั่งหมอให้มาตรวจดูอาการของหลัวเฉินเฟย แต่หมอทุกคนต่างส่ายหน้าไปตามๆ กัน "อาการของคุณชายใหญ่ย่ำแย่ลงทุกวัน เห็นทีคงจะอยู่ได้อีกไม่นานขอรับ"เสนาบดีหลัวที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าถอดสี เขามองหลัวเฉินเฟยที่นอนใบหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร เฉินเฟยเป็นบุตรชายที่เขารักมาก เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งตระกูลหลัวเช่นนี้ ในค่ำคืนที่เงียบสงบ ปรากฏร่างของอาเหวยและเสิ่นหนิง นั่งอยู่ที่ข้างเตียงของหลัวเฉินเฟย และจ้องมองเขาด้วยสายตาเกลียดชัง หลัวเฉินเฟยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองคนทั้งสองข้าง "อา