ด้านมู่หรงซานนั้นเขามุ่งหน้ามาที่โรงพนันเพื่อพบเจอกับสหายของตนได้สักพักหนึ่งแล้ว เดิมทีนัดกันว่าจะไปดูการแข่งขันกัดจิ้งหรีดเสียหน่อย แต่เขามาช้าไปการแข่งขันนั้นหมดไปเสียแล้ว เขายกจอกสุราขึ้นดื่ม ตอนนี้เขาได้นำเงินที่เหลือติดตัวเพียงสามร้อยตำลึง ซึ่งแอบเก็บเอาไว้ไม่ให้ภรรยารู้ เมื่อจ่ายค่าสุราแล้ว เขาก็นำมันไปแลกมาเล่นพนันเพิ่ม เมื่อเล่นแล้วเสียหมดมู่หรงซานก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว
"เป็นอันใด เห็นเจ้าหายหัวไปหลายวันเลยสหายรัก"
"นั่นสิ ข้าคิดว่าเจ้าจะเอาแต่อยู่กับภรรยาคนงามเสียอีก"
มู่หรงซานหันไปมองสหายรักสองคนคราหนึ่ง สหายของเขาคนแรกมีนามว่าหวังเจี้ยน เป็นบุตรชายของคหบดีเช่นกัน แต่ฐานะร่ำรวยกว่าเขาไม่น้อย ส่วนอีกคนมีนามว่าจ้าวจิ้น เขาเป็นบุตรชายของท่านหมอผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียง คนทั้งสามคบหากันเป็นสหาย เพราะอยู่ในฐานะระดับเดียวกัน ไม่ได้คบหาพวกลูกขุนนางที่มากพิธีเหล่านั้น
"พูดมากจริง มีให้ข้ายืมสักพันตำลึงหรือไม่อาเจี้ยน แล้วข้าจะหาทางเอามาคืน"
หวังเจี้ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมาคราหนึ่ง ก่อนจะตอบ
"ไม่มีหรอก ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ตัดเงินข้าเช่นกัน เขาให้ข้าใช้จำกัด นี่อาซาน เจ้าก็อย่าวางมาดนักเลย ไปประจบพ่อแม่เจ้าเสียหน่อย รับรองของในเรือนใหญ่ขายได้เงินเยอะแน่ๆ"
จ้าวจิ้นที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือไปตบศีรษะของหวังเจี้ยน ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าก็แนะนำเขาดีๆ หน่อยเถิด"
ดูเหมือนว่าทั้งสามคนนี้จ้าวจิ้นจะเป็นผู้เป็นคนมากที่สุดแล้ว เขาพยายามเตือนสหายว่าให้เล่นแต่พอดี แต่สหายรักของเขาทั้งสองคนก็ไม่ฟัง ทั้งที่มู่หรงซานแต่งงานไปก่อนใคร เขาก็ยังไม่เอาการเอางาน
มู่หรงซานขบริมฝีปากตนเองแน่น ก่อนจะเอ่ย
"ข้าไม่อยากขอเงินจากท่านพ่อท่านแม่หรอก บ่นข้าอยู่นั่น พูดมากจริงๆ ระยะหลังมานี้จือจือก็ชอบทุบตีข้า ตั้งแต่นางฟื้นจากความตายครั้งนั้นก็ดูแปลกไปเลย"
หวังเจี้ยนและจ้าวจิ้นที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้าทันที เรื่องราวในบ้านของมู่หรงซานมีหรือพวกเขาจะไม่รู้ มู่หรงซานถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยต่อ
"วันๆ นางเอาแต่กักขังข้า สุราก็ไม่ได้ดื่ม ข้าจะลงแดงตายอยู่แล้ว นี่พวกเจ้ารู้ไหม หากนางไม่ชวนข้าออกมาซื้อของวันนี้ ข้าคงไม่ได้ออกมาพบกับสหายรักเช่นพวกเจ้า คิดดูนะ อยู่ๆ นางก็อยากจะทำนั่นนี่เพื่อให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าไว้วางใจ อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาทำงานเช่นนี้ ประหลาดไหมล่ะ แล้วยังบอกว่าก่อนจะฟื้นนางฝันว่าพบเจอเทพเจ้า เทพเจ้าบอกกับนางว่าตีข้าแล้วจะดี เทพเจ้าบ้าบออันใดกัน!!!"
จ้าวจิ้นไม่เอ่ยอะไร แต่กลับเป็นหวังเจี้ยนที่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"อาซาน มิใช่ว่าจือจือของเจ้าถูกผีเข้าสิงหรอกหรือ ข้าเคยพบเจอเรื่องพวกนี้มามาก"
"เจ้าเหลวไหลแล้วอาเจี้ยน"
จ้าวจิ้นรีบเอ่ยห้ามปรามทันที แต่หวังเจี้ยนกลับยังไม่ยอมหยุด
"จริงๆ นะอาซาน วันก่อนภรรยาของขุนนางผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากจวนของข้ามีอาการแปลกๆ ไป โชคดีมีไต้ซือผู้หนึ่งมาช่วยไว้ ยามนี้ไต้ซือผู้นั้นยังพักอยู่ในเมืองหลวง ได้ยินว่าอยู่ที่บ้านขุนนางตระกูลหยาง เจ้าจะพานางไปดักรอเขาไหม เผื่อเขาจะช่วยได้ เอาอย่างนี้ ข้าจะส่งคนไปดักรอไต้ซือผู้นั้นก่อนก็แล้วกัน"
มู่หรงซานมีสีหน้าครุ่นคิด หลายวันมานี้หลี่จื่อเวยเปลี่ยนไปมากจริงๆ บางคราอาจถูกวิญญาณครอบงำได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงตกปากรับคำกับหวังเจี้ยนในทันที ก่อนที่คนทั้งสามจะเดินออกมาจากโรงพนันพร้อมกัน
เมื่อเดินออกมาก็พบกับหลี่จื่อเวยที่เดินมาพอดี แววตาที่นางมองเขาทั้งดุดันและเย็นชา มู่หรงซานยิ้มตาหยี ก่อนจะเดินเข้าไปจับมือของหลี่จื่อเวยเอาไว้
"จือจือยอดรัก ข้าเพียงมาพบสหายเท่านั้น"
หลี่จื่อเวยไม่อยากจะทุบตีเขานอกจวน นางอุตส่าห์เดินหาของเอาไว้ต่อทุน แต่สามีตัวดีกลับมาทำเช่นนี้เสียได้!!!
มู่หรงซานที่เห็นว่าภรรยาที่รักไม่ได้เอ่ยวาจาด่าทอ เขาจึงชวนนางไปพบไต้ซือทันที ก่อนหน้านี้หวังเจี้ยนส่งคนไปดักรอแล้ว พบว่าไต้ซือผู้นั้นกำลังจะออกมาจากตระกูลหยางพอดี
หลี่จื่อเวยยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดก็ถูกมู่หรงซานพาตัวไปแล้ว เขาพานางมาที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าภัตตาคารแห่งนี้เป็นภัตตาคารของตระกูลมู่หรง ได้มาเห็นกับตาก็พบว่ามันค่อนข้างใหญ่โตไม่น้อย เพียงเวลาไม่นานมู่หรงซานและสหายก็จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพ เมื่อเดินขึ้นมาที่ห้องชั้นบนก็พบกับไต้ซือชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งรออยู่ เมื่อเห็นพวกเขาก็ยิ้มขึ้นมา และมองมาที่หลี่จื่อเวย
"นี่ใช่หรือไม่ ภรรยาที่คนของเจ้าบอกว่าถูกผีเข้าสิงจนเปลี่ยนไปน่ะ"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองมู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
"นี่ท่านหาว่าข้าถูกผีเข้าหรือ"
มู่หรงซานได้แต่ยิ้มแห้ง หลี่จื่อเวยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เดิมทีมันก็คงจะเป็นเช่นนั้นเพราะว่านางทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ แต่นางไม่ใช่ผี นางแค่ทะลุมิติมาต่างหาก
ไต้ซือเดินเข้ามาหาหลี่จื่อเวย ก่อนจะพิจารณามองนางและเอ่ยขึ้นมา
"ไอหยา ผีตนนี้อาฆาตแรงมาก ข้าจะทำพิธีปัดเป่าให้เอง แต่ต้องใช้ตำลึงเยอะหน่อย ข้าคิดในราคาคนกันเอง สามพันตำลึงก็พอ"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา นี่มันไต้ซือจอมลวงโลกชัดๆ มู่หรงซานนะมู่หรงซาน โง่เง่าเสียจริง นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะโง่บัดซบได้ถึงเพียงนี้
ไต้ซือชรายกไม้เท้าขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้ทำอันใด ก็โดนหลี่จื่อเวยชกหน้าเข้าให้จนเซถลา ก่อนจะกระโดดถีบซ้ำจนไต้ซือชราร้องโอดครวญ สหายรักทั้งสามมองหน้ากันไปมาด้วยความตื่นตระหนก
"ค่าจ้างสามพันตำลึง ดูแล้วมันแพงไปนะ เจ้าไปหลอกสำเร็จมากี่คนแล้วล่ะ คิดจะมาหลอกตบตาข้าฝันไปเถอะ ข้าไม่โง่เหมือนคนอื่นหรอกนะ ไสหัวไป อย่ามายุ่งกับข้า มิเช่นนั้นเจ้านั่นแหละที่จะเป็นผีแทน!!! อ้อ จับตัวส่งทางการดีกว่า จะได้ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก"
ไต้ซือชราจ้องมองหลี่จื่อเวยด้วยความหวาดกลัว ไม่คาดคิดว่าจะมีคนมองออกว่าเขาเป็นเพียงนักต้มตุ๋น ไปดีกว่า อยู่ไม่ได้แล้ว!!
ไต้ซือชราอาศัยทีเผลอรีบหลบหนีไปทันที แต่ท้ายที่สุดวันหนึ่งเขาก็ถูกจับเข้าคุกไปจนได้
หลี่จื่อเวยหันกลับมามองมู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยกับเขา
"กลับจวน"
มู่หรงซานหลับตาลงช้าๆ รู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตราย เมื่อกลับมาที่จวนก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาถูกนางทุบตีจนนอนติดเตียงไปหลายวัน
หลี่จื่อเวยฟื้นกลับมา ทุกคนดีใจไม่น้อยเลย ด้านท่านหมอจ้าวและจ้าวจิ้นเองก็ไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ คนฟื้นขึ้นมาแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี จ้าวจิ้นนำยาบำรุงมามอบให้หลี่จื่อเวยหลายอย่าง บอกนางว่าขอเพียงตั้งใจบำรุงอย่างเต็มที่ย่อมหายดีในไม่ช้า หลี่จื่อเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองบุตรชายฝาแฝดของตนที่ยามนี้กำลังนอนหลับอยู่มู่หรงซานกอดนางเอาไว้ ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากเขาอีกยี่สิบห้าปีต่อมา"นั่นแหละดี เจ้าเทระวังหน่อยสิ สุรานี้ซื้อมาแพงนัก!!!"เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากศาลาริมสระน้ำ มู่หรงซานที่กำลังเดินออกมาหลังจากตรวจตราบัญชีสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาปรายตามองไปยังศาลาริมน้ำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่งนับแต่วันนั้นหลี่จื่อเวยก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ร่างกายของนางอ่อนแอเกินไป แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ยามนี้บุตรชายสองคนเติบโตแล้ว อายุก็ยี่สิบต้นๆ นามว่า มู่หรงเสวียน และมู่หรงชางมู่หรงเสวียนนั้นนับว่าเอาการเอางาน ชอบอ่านตำรา สนใจการค้าขาย ถอดแบบหลี่จื่อเวยมาไม่มีผิดเพี้ยน ต่างจากมู่หรงชางที่วันๆ เอาแต่ดื่มสุรา เที่ยวหอนางโลม เล่นการพนัน ถอดแบบเขามาราวกับจับวาง เขาเตือนเท่าใดมันก็เถีย
สองปีผ่านไป"ฮูหยินน้อย ออกแรงอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อีกหน่อย""อื้อ"เสียงร้องดังออกมาจากห้องเป็นระยะ สร้างความไม่สบายใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก มู่หรงซานเดินวนเวียนไปมาหน้าห้องนอนอย่างไม่สบายใจ จนมู่หรงฮูหยินต้องเอ่ยปากเตือนขึ้นมา"ซานเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นหน่อยเถิด สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเดินวนไปเวียนมาข้าเวียนหัวหมดแล้ว""ท่านแม่ ข้าร้อนใจนี่ขอรับ นางเป็นเช่นไรบ้าง นี่ก็ข้ามวันข้ามคืนแล้วยังไม่คลอดอีก"เขาเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองเฉินหลิ่น จ้าวจิ้นและหวังเจี้ยนที่กำลังเดินเข้ามา จ้าวจิ้นเอ่ยถามมู่หรงซานทันที"จือจือเล่าเป็นเช่นไรบ้าง ข้านำโสมอย่างดีติดมือมาด้วย เอาไว้ให้นางบำรุงร่างกาย""ขอบใจจ้าวมากนะอาจิ้น""อืม"ด้านเฉินหลิ่นก็เดินเข้ามาหามู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกัน"ใจเย็นเถิด ยามที่ภรรยาข้าคลอดบุตรชายก็เป็นเช่นนี้"มู่หรงซานหันมาพยักหน้าให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง เฉินหลิ่นได้แต่งงานกับองค์หญิงจากในวังหลวง พวกเขาทั้งสองรักใคร่ทะนุถนอมกันเป็นอย่างดี อีกทั้งภรรยาของเฉินหลิ่นก็สนิทสนมกับหลี่จื่อเวยมาก เพราะสองจวนมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง เพราะพบเจอกันบ่อยครั้ง"ภรรย
หลายวันต่อมา หลี่จื่อเวยที่กำลังกลับมาจากภัตตาคารจื่อซานก็ได้พบกับคนบ้านรอง ท่านอาของมู่หรงซาน ก็คือมู่หรงหยางนั่นเอง มู่หรงหยางมาพร้อมกับอาสะใภ้รองอวี้ซิน และลูกชายลูกสะใภ้ สภาพของคนทั้งหมดดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลี่จื่อเวยปรายตามองพวกเขาคราหนึ่ง ในใจพลันนึกถึงเรื่องราวในปีนั้นได้ ยามที่เกิดสงครามใหม่ๆ บ้านรองมารีดไถเงินจากบ้านหลักไปมากมาย ทำเป็นเก่งกล้าสามารถ แต่ท้ายที่สุดกลับไปไม่รอดอย่างเช่นวันนี้มู่หรงฮูหยินเองไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเชิญคนเข้ามาในจวนเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามมรรยาทมู่หรงหยางเล่าว่าหลังจากเดินทางไปที่บ้านเก่าของอวี้ซิน ฟางม่านม่านลูกสะใภ้ของเขาก็แท้งบุตร นับแต่นั้นก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก บุตรชายก็ไม่เอาไหน ดื่มแต่สุราทั้งยังเที่ยวสตรีหอนางโลมไม่เว้นวัน สามีภรรยาทุบตีกันจนมู่หรงเฉินบุตรชายเขาแขนพิการ ฟางม่านม่านก็ขาหัก กลายเป็นคนพิการทั้งคู่ส่วนมู่หรงหยางและภรรยานั้นสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกญาติพี่น้องฝั่งภรรยาคดโกงทรัพย์สินไปจนหมด จึงอดอยากจะมาหยิบยืมเงินจากคนบ้านหลัก เพราะรู้ว่ายามนี้คนบ้านหลักร่ำรวยมีเงินมากมายมู่หรงฮูหยินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับน้องชา
หลายวันต่อมามู่หรงซานและหลี่จื่อเวยก็เดินทางมาที่เมืองหลวงพร้อมกัน ระยะทางจากหมู่บ้านหลิงซีมาที่เมืองหลวงนั้นไม่ได้ไกลกันเท่าใดนัก ระยะเวลาการเดินทางจึงไม่ได้ล่าช้าอย่างที่คิด สองสามีภรรยามาถึงเมืองหลวงในช่วงสายๆ เมื่อหาโรงเตี๊ยมสำหรับนอนพักหนึ่งคืนเรียบร้อยแล้ว มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยจึงรีบไปดูจวนแห่งนั้นทันทีการเดินทางครั้งนี้มีลุงกู้ติดตามมาด้วย ลุงกู้พาเจ้านายไปดูที่ดินและจวนนั้นในทันที เมื่อหลี่จื่อเวยได้เห็นก็รู้สึกชอบมากเหลือเกิน จวนหลังนี้ขนาดพอดี ที่ดินก็เป็นทำเลเหมาะเจาะ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำด้วยเจ้าของที่ดินเก่าร้อนเงินและต้องการเดินทางไปอยู่กับลูกชายที่ต่างเมือง จึงตัดใจขายจวนหลังนี้ในราคาสองพันตำลึงราคาอาจจะสูงไปสักเล็กน้อย แต่หลี่จื่อเวยจำคำของเจ้าห่านตัวผู้นั้นได้ดี มันบอกว่าให้นางตัดใจซื้อเสียอย่าได้ลังเล เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่่จื่อเวยจึงตกลงซื้อในทันที ใช้เวลาครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยดี เจ้าของเดินรับเงินไปอย่างยินดีปรีดามู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็หันมาเอ่ยถามภรรยาตนทันที"ราคาไม่ได้น้อยเลย เจ้าตัดใจซื้อได้ลงจริงๆ หรือ""ดีกว่าเอาให้ท่านไปเล่นพนันก็แล้วกัน
เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส พืชผักที่ปลูกไว้ถูกเก็บเกี่ยวและนำไปขายจนหมดแล้ว ลุงกู้เองก็กลับมาพร้อมกับบอกว่าเขาขายผักได้หมด อีกทั้งยังขายได้ในราคาที่ดีมากอีกด้วย ตอนนี้เมืองหลวงคึกคักไม่น้อยเลย อีกทั้งยังได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีคนต้องการจะขายที่ดิน ซึ่งอยู่ติดกับตลาดพอดี หลี่จื่อเวยจึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปดูที่ทางเสียหน่อยการตายของหลี่อินและจุดจบของสามแม่ลูกไม่ได้ส่งผลใดต่อคนตระกูลมู่หรงเลยแม้แต่น้อย บิดาของนางเองก็เสียใจอยู่เพียงไม่กี่วันก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดอีก หลี่จื่อเวยกำลังล้างผักอยู่ในครัว วันนี้นางตั้งใจว่าจะทำข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัวเสียหน่อย เมื่อจัดการเตรียมทุกอย่างพร้อมจึงได้เริ่มทำอาหาร ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หลี่จื่อเวยจึงนำอาหารมาให้ห่านสองตัวนั้นต่อทันทีเมื่อเข้ามาก็พบว่าเจ้าห่านสองตัวกำลังกอดก่ายกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว หลี่จื่อเวยวางอาหารลงตรงหน้ามันก็กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อกินอิ่มแล้ว หลี่จื่อเวยจึงเอ่ยถามทันที"นี่เจ้าห่านตัวผู้ อีกไม่นานข้าคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว หากข้าอยากเปิดร้านอาหาร แล้วต้องการใช้บ่อน้ำวิเศษ แต่ไม่สามารถนำม
เมื่อสามแม่ลูกมหาประลัยย้ายออกจากบ้านสวนไปแล้ว ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่น้อย ด้านบิดาของหลี่จื่อเวยก็รู้สึกผิดไม่น้อย หลี่จื่อเวยเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เรื่องที่แล้วก็ให้แล้วไปเถิด นางไม่่ได้ติดใจอยากจะเอาความใดมากไปกว่านี้เช้าวันต่อมาหลังจากกินมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยและมู่หรงซานก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับห่านสองตัวนั้นให้แม่สามีได้ฟัง เพราะตอนนี้สามแม่ลูกนั่นออกจากบ้านสวนไปแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดน่าเป็นกังวลอีกแล้ว มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นเดิมทีก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เห็นตั๋วเงินมากมายที่เก็บเอาไว้ในห้องนอนของบุตรชายและสะใภ้ นางก็ถึงกับอ้าปากตาค้างเงินนี่มันมากมายเหลือเกินนางไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดหลี่จื่อเวยจึงคิดมาบอกนางเอาป่านนี้ นางเองเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมันหลี่จื่อเวยจับมือของมู่หรงฮูหยิน ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องขออภัยท่านแม่ที่ไม่ได้บอกกล่าวให้เร็วกว่านี้ เพราะข้าไม่ไว้ใจสามแม่ลูกนั้น ยามนี้พวกนางจากไปแล้ว ข้าจึงวางใจอยากบอกท่าน ท่านแม่เจ้าคะ ยามนี้เมืองหลวงเองก็เจริญมากแล้ว พวกเราไปหาที่ทางทำกินในเมืองหลวงกันดีห