“เข่อซิง”
หญิงสาวได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นางลุกขึ้นจากเตียงแต่ไร้เรี่ยวแรงและนึกได้ว่าหูกับหางจิ้งจอกแดงโผล่ออกมาแล้ว นางอยากขยับตัวหาที่ซ่อนแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดหูของตน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลิวชิงเซียงและหานหรงเหยาเอ่ยออกมาแทบพร้อมกัน หลิวชิงเซียงปรายตามองทางชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ดูท่าทางเขาห่วงใยเจ้าตัวโง่งมนั้นจริงจัง
เอ๊ะ? เขารู้หรือไม่ว่านางเป็น....
หานหรงเหยาไม่ได้สนใจใครอื่น ในสายตาของเขามีเพียงเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่นั่งบนเตียงและยกมือขึ้นปิดหู เขาสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่สนใจท่าทีตื่นตะลึงของซุนเจ้าเฟิง รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกคลี่คลุมศีรษะของนาง แล้วโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากกับหญิงสาวที่เบิกตากว้าง ลมหายใจอุ่นร้อนไหลเวียนเข้ามาในกายพร้อมกับพลังชีวิตทำให้หลิวเข่อซิงที่แทบหมดแรงสูดลมหายใจของเขาไปเฮือกใหญ่ นางหิวโหยและละโมบจนต้องยกมือขึ้นประกบใบหน้าของเขาไว้ไม่ยอมให้ถอยหนี
ก็นางหิวนี่...หิวมากๆ
ซุนเจ้าเฟิงอ้าปากค้าง เขาไม่เคยเห็นสหายจู่โจมสตรีเช่นนี้มาก่อน อย่าว่าแต่จุมพิตเลย แค่เข้าใกล้ก็ยังไม่เคย แต่นี้...นี่จะ..จูบ ...จูบต่อหน้าผู้อื่นนี่นะ!
เพราะไม่ใช่ครั้งที่ถูกเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยกลืนกินพลังชีวิตของเขา แต่อาจเพราะครั้งนี้ยาวนานกว่าครั้งก่อนและ ริมฝีปากของนางสัมผัสริมฝีปากของเขา มือใหญ่ยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางเบาๆ ทำให้รู้ว่าหูของนางกลับมาเป็นปกติแล้ว
“อา...รอดแล้ว”
หลิวเข่อซิงถอนริมฝีปาก และปล่อยมือจากใบหน้าเกลี้ยงเกลา นางแลบลิ้นเลียริมฝีปากราวกับเพิ่งได้กินของเอร็ดอร่อย ดวงตางดงามจ้องมองเขาพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณเจ้ามาก”
เขายิ้มอย่างเอ็นดู “ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“อื้ม!” นางพยักหน้าหงึกหงัก “เจ้าช่วยข้าอีกแล้ว”
หานหรงเหยาเห็นนางดีขึ้นแล้วจริงๆ ก็ยอมถอยออกมา ทว่ากลับเพิ่งสังเกตว่าอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางเบาดุจปีกจั๊กจั่นที่เปิดเผยเรือนร่างเย้ายวน เขาถึงกับกระแอมไอแล้วหมุนตัวหันหลังให้ แต่นางยังทำหน้าซื่อตาใสไม่เข้าใจใบหน้าที่ฝาดสีเลือดของเขา
เมื่อหานหรงเหยาหันกลับมา จึงปะทะกับสายตาของหลิวชิงเซียงและซุนเจ้าเฟิง ทั้งสองมีสีหน้าตื่นตะลึงไม่แพ้กัน
“นี่เจ้ากับแม่นางน้อยผู้นั้น...” ซุนเจ้าเฟิงไม่อยากจะเชื่อเลยว่า บุรุษที่ทำตัวเหมือนนักพรตอย่างหานหรงเหยาจะพ่ายแพ้กับสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ เอ่อ...งดงามไม่น้อย เมื่อคิดว่านั้นคือสตรีของสหายจึงย้ายสายตาไปทางอื่นแทน
หลิวชิงเซียงได้สติก็คลี่ยิ้มอ่อนหวาน เดินเข้าไปหาพลางกวาดตามองอย่างเปิดเผย
“ที่แท้...ที่ปรึกษาหานรู้จักสนิทสนมกับเข่อซิงมาก่อน”
“อื้มๆ” หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับ “เขาจะฆ่าตัวตาย แต่ข้าห้ามไว้ก่อน”
“ฆ่าตัวตาย!” ซุนเจ้าเฟิงถึงกับหันขวับมามองทันที
“เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น” หานหรงเหยาอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“แต่ข้าช่วยเจ้าไว้จริงๆ นะ” เข่อซิงเผลอยื่นมือมาจับแขนเสื้อของหานหรงเหยาและเขย่า ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมองแล้วยิ้มอ่อนโยน
“ก็จริง เจ้าช่วยข้าไว้”
‘ช่วยขับไล่ความสงบเงียบไปจากชีวิตของเขา’
ริมฝีปากที่เคยซีดเซียวเปลี่ยนเป็นสีชาดค่อยๆคลี่ยิ้มกว้าง แล้วหันไปพูดกับหลิวชิงเซียงด้วยท่าทางโอ้อวด
“ข้าช่วยเขาไว้จริงๆ นะ”
พี่เลี้ยงสองคนรวมทั้งหลิวชิงเซียงลอบสบตากัน แล้วฉีกยิ้มออกมา หลิวชิงเซียงยังคงประดับรอยยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยขึ้น
“เป็นเช่นนี้เอง ข้าน้อยต้องขอบคุณที่ปรึกษาหานที่ช่วยเข่อ...เอ่อ..น้องเข่อซิงของเราไว้นี่เอง”
“แต่ผู้อื่นคิดจะถลกหนังข้า” เข่อซิงได้ทีรีบฟ้องหลิวชิงเซียงซ้ำยังชี้นิ้วไปยันซุนเจ้าเฟิง
“ข้าเปล่านะ!” ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้ารัว นางพูดเรื่องอะไรกัน
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน” หานหรงเหยาแก้ไขให้ “ยังไม่ได้อธิบายเจ้าก็จากมาแล้ว จำได้ว่าเจ้าจะมาที่นี่ ข้าเป็นห่วงจึงมาเยี่ยมเยือน”
“เจ้า...เป็นห่วงข้า”
ดวงตากลมฉายแววประหลาดใจ แต่หัวใจนั้นเต้นผิดปกติ ทำไมนางรู้สึก ‘ดีใจ’ ที่มีคนห่วงใย ถึงขนาดตามหานางทั้งที่.. เขาก็รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์
“ที่ปรึกษาหาน ที่นี่เป็นหอนางโลมหากท่านคิดจะมาเยี่ยมนางก็เห็นที่ว่าต้อง...”
“ข้าเข้าใจ” หานหรงเหยายังคงเอ่ยอย่างสุภาพ “เมื่อครู่ได้ยินว่า...เข่อซิงต้องออกรับแขก”
“ใช่ๆ ข้าต้องออกรับแขก” นางพูดด้วยความตื่นเต้นและทำเหมือนเป็นเรื่องสนุก “เป็นครั้งแรกของข้า ข้าพยายามเรียนรู้อยู่”
‘พยายามเรียนรู้... เจ้าก็ช่างกล้าใช้ประโยคนี้’
พี่เลี้ยงทั้งสองถึงกับกลอกตามองบน
หานหรงเหยาเห็นแววตาใสซื่อของหลิวเข่อซิง หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความปวดใจ เขารู้ดีแก่ใจว่านางต้องกลืนกินพลังชีวิต แต่นางใสซื่อถึงเพียงนี้ จะอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่นางจากเขามาคงยังไม่กินพลังชีวิตจากผู้ใดจึงได้มีสภาพเช่นนั้น
เห็นสีหน้าวิตกระคนทุกข์ใจของสหายรัก ซุนเจ้าเฟิงได้แต่โคลงศีรษะไปมา แล้วตัดสินใจเอ่ยปากแทนหานหรงเหยา
“เช่นนั้นก็ขายนางให้ข้า เอ่อ ไม่ใช่ให้สหายของข้าเสียสิ”
“ท่านแม่ทัพซุนพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ” หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วถาม ดูเหมือนคนผู้นี้จะไม่รู้เรื่องอะไรนัก
“ที่นี่หอนางโลมนี่” เขาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม “สหายข้าต้องการซื้อแม่นางผู้นั้นออกไปจากที่นี่ ต้องจ่ายเท่าไหร่”
“ซื้อข้า?” เข่อซิงใช้ปลายนิ้วชี้ที่หน้าตัวเอง แล้วเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยาที่กัดริมฝีปากครุ่นคิด
หากให้นางอยู่เช่นนี้เขาก็ไม่วางใจ ไหนๆ ก็มีชีวิตได้ไม่นาน ก็อุทิศพลังชีวิตที่เหลืออยู่ในนางได้ฝึกฝนเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็แล้ว
“อืม ข้าต้องการซื้อตัวหลิวเข่อซิง ไม่ทราบว่าแม่นางหลิวชิงเซียง คิดเห็นอย่างไร”
หลิวชิงเซียงหรี่ตามองหานหรงเหยา แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านรู้เรื่องเข่อซิงดีแค่ไหน นางไม่เหมือนผู้อื่น”
“ข้ารู้และคิดว่าสามารถดูแลนางได้”
“จะให้นางอยู่ในฐานะอะไร”
“ฐานะ...” เขาไม่ได้คิดเรื่องนั้น แค่อยากช่วยนางออกมาจากสถานที่แห่งนี้
“จะฐานะอะไร ให้นางเป็นสาวใช้ข้างกายสหายข้าอย่างไรเล่า”
เป็นแค่สตรีในหอนางโลมจะเรียกร้องเอาฐานะอันใดอีก ได้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงก็ดีมากแล้ว ซุนเจ้าเฟิงหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ