ว่ากันว่า... เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรค ปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกัน กุนซือหนุ่มนาม 'หานหรงเหยา' หลบมารักษาแผลใจไกลถึงชายแดน สายลมแห่งโชคชะตานำพาให้เขาได้พบกับ 'หลิวเข่อซิง' ปีศาจจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่เข้าใจผิดคิดว่าชายหนุ่มกำลังจะฆ่าตัวตาย แต่กลายเป็นว่า หานหรงเหยายื่นมือเข้าช่วยปีศาจสาวเสียเอง เรื่องวุ่นของหนึ่งคนและปีศาจหนึ่งตนจึงเริ่มขึ้น “ข้าช่วยเจ้า เจ้าไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณข้าบ้างหรือ” “ตอบแทนบุญคุณ?” นางทำเป็นไม่เข้าใจ จะว่าไปเขาก็พูดถูก พลังชีวิตของเขาช่วยให้นางคืนร่างมนุษย์ จากที่บรรดาศิษย์พี่เล่าให้ฟัง แต่พวกมนุษย์หาดีไม่ได้สักคน หรือว่าเขาเห็นนางในร่างจิ้งจอกแดงแล้วอยากได้หนังของนาง!
Voir plusว่ากันว่า...
เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’ จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’ จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรค
ปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกัน
แนะนำตัวละคร
หลิวเข่อซิง-เข่อซิง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายหนึ่งร้อยสิบหกปี
หานหรงเหยา : ที่ปรึกษา(กุนซือ)ของกองทัพ มาทำงานร่วมกับซุนเจ้าเฟิง แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดน
หลิวชิงเซียง -ชิงเซียง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิง
ซุนเจ้าเฟิง : องค์ชายสามและเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน เป็นสหายรักของหานหรงเหยา
พิธีแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานมงคลของตระกูลหานและเจ้าสาวแสนงามดุจบุปผาสวรรค์ เสียงดนตรี คำอวยพร ของขวัญ วิจิตรตระการตาราวกับงานรื่นเริงของเหล่าปวงเทพ งานมงคลยิ่งใหญ่นี้คงกลายเป็นที่กล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน
ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงสวยงดงาม ขณะที่เจ้าสาวค้อมเอวคำนับเจ้าบ่าวแล้วเงยตัวขึ้น สายลมพัดผ่านทำให้ผ้าคลุมหน้าสีแดงขยับไหวเผยเห็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขของหญิงสาว
ทว่ารอยยิ้มนั้น ไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว
ชายหนุ่มกล่ำกลืนความปวดร้าวในอก ฝืนทนจนเจ้าสาวเดินผ่านสายตาเข้าห้องหอแล้ว เขาจึงหมุนตัวเดินจากจวนตระกูลหาน เขาเกิดที่นี่ เติบโตที่นี่จวบจนวันนี้ที่เขาอายุสิบเจ็ดปี เขาจึงก้าวเท้าออกจากสถานที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ อย่างไม่รู้ว่าจะหวนกลับเมื่อใดคิดจะหวนกลับ
จะให้เขาอยู่อย่างไร ในเมื่อหญิงสาวที่เขาหลงรักและเติบโตมาพร้อมกัน มาบัดนี้นางได้กลายเป็น ‘พี่สะใภ้’ ของเขาไปแล้ว
วันเวลาผ่านมา
บานประตูห้องทำงานเปิดออกอย่างไม่เกรงใจคนในห้อง ตามมาด้วยเท้าหนักๆ ที่เดินยำเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้สลักลายงดงาม บุรุษหนุ่มตวัดมือร่างแบบบนกระดาษเสร็จพอดีจึงเงยหน้าขึ้น สีหน้าเรียบนิ่งราวกับแผ่นน้ำแข็งแห่งฤดูเหมันต์ไร้อารมณ์ แต่กระนั้นก็ไม่อาจลดทอนความหล่อเหลาบนใบหน้าได้แม้แต่น้อย
“หน้าตาเจ้านี่มันไร้อารมณ์สิ้นดี” องค์ชายสามหรือองค์ชายซุนเจ้าเฟิง ผู้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนตะวันตก เขาส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทีอ่อนใจพลางเอื้อมมือไปรินน้ำชาให้ตนเอง “ข้าให้เจ้าหาเด็กรับใช้ข้างกายสักคน เหตุใดยังไม่มีใครมาปรนนิบัติเจ้าอีก”
“จะให้ข้าต้อนรับท่านแม่ทัพอย่างไรดี จุดประทัดดีหรือไม่” หานหรงเหยา คลี่ยิ้มเพียงเล็กน้อย มันน้อยเสียจนแทบมองไม่เห็นเป็นรอยยิ้ม หรือคนผู้นี้อาจหลงลืมการยิ้มไปแล้วว่าควรทำเช่นไร
“อยู่ค่ายทหารไม่จำเป็นต้องมีบ่าวข้างกาย” ชายหนุ่มวางพู่กันแล้วหยิบผ้ามาเช็ดมือ
“แต่สุขภาพของเจ้า...”
องค์ชายสามชะงักปากไป เป็นสหายกันมานาน รู้จักกันตั้งแต่เด็กเพราะหานหรงเหยาเองก็เป็นสหายร่วมเรียนกับเขา และสกุลหานเองรับใช้ราชสำนักมาหลายชั่วอายุคน หานหรงเหยาเป็นบุตรชายคนรองของสกุลหาน รูปร่างผอมบางไปสักหน่อยแต่ใบหน้าหล่อเหลาและโดดเด่นด้วยความรู้ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าคุณชายตระกูลใดในเมืองหลวง ทว่าหัวใจของหานหรงเหยาไม่แข็งแรงมาตั้งแต่กำเนิด หมอทั่วแคว้นต่างลงความเห็นเดียวกันว่าไม่อาจรักษาได้ ทำได้เพียงพยุงให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ปีต่อปี
ไม่ใช่แค่ ‘หัวใจ’ เท่านั้น แต่หานหรงเหยายังเป็น ‘โรคใจ’ อีกด้วย นั้นเป็นเหตุผลที่หานหรงเหยาเขียนจดหมายมาถึงซุนเจ้าเฟิงเพื่อรับตำแหน่ง ‘ที่ปรึกษา’ หรือ ‘กุนซือ’ ณ ค่ายทหารแห่งนี้
“ข้าสบายดี” หานหรงเหยารู้ทันความคิดขององค์ชายสาม ด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย ทั้งสองจึงพูดคุยสนทนากันอย่างเป็นกันเอง ซึ่งจะว่าไปก็เป็นความคิดของซุนเจ้าเฟิงที่ไม่ยินยอมให้เขาพูดจาแบ่งฐานะชัดเจน
‘เก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้ใช้ที่เมืองหลวงเถอะ! ข้าอยู่ห่างไกลเสด็จพ่อขนาดนี้ คงไม่มีใครเอาไปฟ้องว่าเจ้าพูดจากับข้าเสมอเท่าเทียมกัน’
“เอาเถอะๆ ร่างกายของเจ้า เจ้าย่อมรู้ตัวดี” ซุนเจ้าเฟิงถอนหายใจเบาๆ หานหรงเหยาเป็นเจ้าดื้อหัวแข็ง ไม่ดื้อดึงจริงคงไม่สามารถออกจากเมืองหลวงมาอยู่ไกลถึงชายแดนกับเขาได้ เพราะสุขภาพไม่สู้ดี ทั้งบิดามารดาจึงระวังหานหรงเหยาทุกฝีก้าว จำได้ว่าหานหรงเหยาให้เขาสอนเพลงหมัดมวยให้ เมื่อมารดารู้เข้าก็เป็นลมล้มพับไปทันที ส่วนบิดานั้นด้วยเกรงฐานะของเขาจึงได้แต่กัดฟันข่มความโกรธไว้
หากไม่เป็นเพราะ สตรีที่หานหรงเหยาปักใจรักนั้นไปแต่งงานกับบุรุษอื่น และบุรุษผู้นั้นคือพี่ชายของหานหรงเหยาเอง นางกลายเป็น ‘พี่สะใภ้’ ของเขาไปเสียนี่ ด้วยเหตุนี้หานหรงเหยาจึงไม่อาจใช้ชีวิตในเมืองหลงได้อีก ซุนเจ้าเฟิงถอนหายใจให้โชคชะตาของหานหรงเหยาอีกครั้ง
“ว่าแต่ เจ้าทำอะไรอยู่” เขาถามชะโงกหน้ามาดูกระดาษบนโต๊ะทำงานของสหายรัก เขาไม่เข้าใจรูปวาดเหล่านี้จนกว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยปากอธิบาย แต่ก็ไม่เคยห้ามปรามขัดขวางเพราะแต่ละชิ้นที่ ‘ที่ปรึกษาหาน’หรือหานหรงเหยาคุณชายรองสกุลหานล้วนมีประโยชน์ต่อกิจการค่ายทหารประจำชายแดนตะวันตกของเขายิ่งนัก
“จากบันทึกที่อ่านมา ยามฤดูน้ำหลากมักมีเหตุดินถล่มตัดเส้นทาง ข้าคิดว่าจะหาเส้นทางสำรองอ้อมภูเขา หากมีเหตุไม่คาดฝันจะได้มีเส้นทางอื่นให้ใช้งาน หรือหากมีข้าศึกมาทิศทางนี้ สามารถใช้เส้นทางใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลศึกตีโอบเหล่าข้าศึกได้”
“ไม่เลว” ซุนเจ้าเฟิงพยักหน้ารับแล้วตบไหล่สหายเบาๆ “มาเถิด ข้ามีสุราดีจากเจียงหนานรอเจ้ามาลิ้มรสเป็นเพื่อนข้า”
“ช่างเป็นของตอบแทนที่ข้าอยู่เฝ้าค่ายให้เสียจริง”
หานหรงเหยาแสร้งตัดพ้อ แต่เพราะสีหน้าเรียบนิ่งและท่าทางสูงส่งของเขานั้น คนฟังได้แต่โคลงศีรษะไปมา
“งานที่นี่ไม่มีอะไรมาก เจ้าพักที่จวนก็ได้ หากมีเรื่องเร่งด่วน ข้าจะให้คนไปเชิญเจ้าเอง”
องค์ชายสามกล่าวขณะเดินออกจากกระโจมพร้อมหานหรงเหยา บุรุษทั้งสองเดินผ่านเหล่าทหารที่ให้ความเคารพยำเกรง มิใช่เพราะฐานะตำแหน่งเท่านั้น แต่ซุนเจ้าเฟิงเป็นแม่ทัพที่รักพวกพ้อง ไม่ทิ้งพี่น้องไว้ด้านหลัง และเมื่อหานหรงเหยาเป็นสหายรักของแม่ทัพซุนมาเป็นที่ปรึกษา เขาไม่ถือยศศักดิ์ พูดจาเป็นกันเองกับเหล่าทหารไม่ว่าจะระดับใด ทำให้คนในค่ายให้เคารพและเทิดทูนยิ่งนัก
ทั้งสองควบอาชางามสง่ากลับมาที่จวน พ่อบ้านจูเส้ากันเห็นผู้เป็นนายกลับมาก็รีบสั่งบ่าวไพร่ให้ดูแลนายท่านทั้งสอง จูอี้ซิน หลานสาวพ่อบ้านจูยกมือขึ้นแตะทรงผมเพิ่มความมั่นใจแล้วเดินเข้าไปหมายปรนนิบัติองค์ชายสาม นางหวังใจว่าจะใช้รูปโฉมงดงามของตนไต่เต้ามีหน้ามีหน้าในเมืองหลวง ต่อให้เป็นเพียงอนุแต่ก็เป็นอนุขององค์ชายสาม นับว่าดีกว่าเป็นภรรยาชาวบ้านร้อยเท่าพันเท่า
“คารวะองค์ชายสาม ที่ปรึกษาหาน” จูอี้ซินคาวรวะเต็มพิธีการ แต่บุรุษทั้งสองเพียงปรายตาเล็กน้อยแล้วเดินผ่านไปราวกับนางเป็นเพียงก้อนกรวดบนพื้น
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ
Commentaires