“ข้ามิรู้ว่าความรู้ของเจ้ามีมากน้อยเพียงใด แต่ในยุทธภพกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้วรยุทธ์ด้วยทางลัดนั้นมีอยู่สองทางด้วยกัน หนึ่งก็คือค้นหาน้ำเต้าหยกพันปีที่ภายในจะมียาอยู่เม็ดหนึ่ง มันจะช่วยหล่อหลอมพลังที่บริสุทธิ์จากสรรพสิ่งที่อยู่รอบกายเปลี่ยนเป็นพลังปราณ เปิดทะลวงจุดในร่างกาย มิว่าใครก็ตามที่ได้รับยานี้ จะเป็นหนึ่งในยุทธภพที่มิอาจสิ้นกายภายใต้คมหอกคมดาบ แม้กระทั่งพิษร้ายที่มิมียารักษาก็มิอาจทำอันใดได้”
สายตาที่เปี่ยมด้วยความหวัง ใบหน้าที่เคยรื่นเริงกลับหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว ที่ซานเกอก็อยากจะบอกกับสี่หนิงเหอว่าเขามิได้กล่าวเท็จให้เจ้าใจเสียหรอกเลย แต่ยาที่มีสรรพคุณเลิศเช่นนี้...บนพื้นแผ่นดินนี้คงมิอาจจะค้นพบได้เลย เพราะว่ามันคงมิมีอยู่จริง มันคงเป็นยาที่เหล่าเทพเซียนบนสวรรค์เท่านั้นที่มีได้
“แต่ข้าว่า อีกวิธีนี่...เจ้าน่าจะทำได้อยู่นะ”
“วิธีใดหรือขอรับซานเกอ”
มาแล้ว...ใบหน้ากระจ่างสดใสด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่แวววาวดังหยกเนื้อดี มันเหมือนกับมีพลังพิฆาต ที่ทำให้ผู้ใดได้พานพบหากจิตใจไม่แข็งแกร่งมั่นคงเพียงพอ ย่อมจะถูกสี่หนิงเหอชักจูงให้ตกปากรับคำทำในสิ่งที่ต้องการโดยง่าย
“แนบกายถ่ายปราณ”
“แนบกายถ่ายปราณ...มันมีวิธีเช่นนี้ด้วยหรือ”
สี่หนิงเหอบ่นพึมพำอย่างไม่เข้าใจในคราแรก ก่อนใบหน้านั้นจะแดงระเรื่อจรดใบหู ดวงตาเรียวเบิกกว้าง อ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อพอจะตีความหมายจากคำที่เขาบอกกล่าวไปได้
“ข้าได้เตือนเจ้าแล้ว เจ้าห้ามโกรธข้านะหนิงเหอ” ซานเกอรีบห้ามปรามเอาไว้ก่อน
“ถ้าข้า...ข้ามิเอ่ยรับปากท่านไว้นะขอรับ ถึงข้าจะมิมีวรยุทธ์ มิเก่งกล้าในการใช้พละกำลัง แต่ก็จะหาทางทำให้ท่านเลือดตกยางออกสักครั้ง”
“ข้านึกว่าเจ้าจะขอบคุณข้าเสียอีกที่เสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า เพราะถ้าทำเช่นนี้แล้ว เจ้าจะเก่งกว่าพวกข้าที่ต้องฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยมากเลยเชียวล่ะ” ถ้าหากว่า...สี่หนิงเหอทำเช่นที่เขาบอกกล่าวไป ผู้ที่จะช่วยเหลือเขาในครั้งนี้ก็คงจะมิพ้นท่านอ๋อง...เขาสมควรได้รับความดีความชอบอยู่นะ
“ข้ามิเอ่ยคำนั้นให้เสียปากหรอกขอรับ ท่านมิสมควรได้รับมัน”
สี่หนิงเหอกล่าวด้วยความหงุดหงิดใจ ขณะเดินไปทรุดกายลงนั่งบนเตียง ยกสองขาขึ้นไขว้กันและยกสองแขนขึ้นสอดไขว้ระหว่างอก มองข้าด้วยสายตาเกรี้ยวกราด...หากมันเป็นมีดได้ ร่างกายอันแข็งแกร่งด้วยการฝึกฝนและต่อสู้ห้ำหั่นในสมรภูมิรบมิอาจนับครั้งได้คงจะเต็มไปด้วยบาดแผล
“เจ้ามีวาจาเป็นเลิศ...แม้กระทั่งพวกข้าเองยังต้องขอคารวะ เพราะมิอาจหาถ้อยคำมาโต้เถียงกับเจ้าได้ เจ้าเก่งเช่นนี้...มีหรือที่จะคิดหาหนทางให้ท่านอ๋องยอมจำนนมิได้”
“ท่านมิต้องมายกยอข้าเลย ข้ามิหลงกลท่านกับท่านอ๋องวิปริตนั่นหรอก อย่าได้หวัง!”
“เจ้ากล้ากล่าวหาท่านอ๋องเช่นนั้นได้เยี่ยงไร มิรู้หรือว่าจะต้องโทษทัณฑ์อันใด”
“กล้ามิกล้า ข้าก็กล่าวไปแล้วนี่ หรือท่านจะเอาเรื่องนี้ไปทูลฟ้องท่านอ๋อง”
ดูหน้าสี่หนิงเหอสิ เอ่ยอย่างมิกลัวเกรงสิ่งใดเลยทั้งสิ้น จะว่าไป...เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่านอ๋องโดดเดี่ยวและไร้ชีวิตชีวายิ่งนัก เจอกับคนเจ้าคารมคมคาย พูดจาลื่นไปดั่งสายธาร ถือได้ว่า...เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อมิน้อยเลย
“ไม่หรอก ข้าไม่คิดจะทำเช่นนั้น...หากเรื่องนี้จะถึงหูท่านอ๋อง ก็มิได้มาจากปากของข้าแน่นอน” ซานเกอมองสี่หนิงเหอให้รู้ว่ามอง...ให้รู้ว่าคนที่จะกล่าวเรื่องนี้ออกไปก็เป็นตัวสี่หนิงเหอเองนั่นแหละที่ความอดทนมีมิมากพอ
“อย่ามามองข้าเช่นนั้น ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่”
“เห็นไหมล่ะ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าฉลาด กระทั่งรู้ด้วยว่าข้ากำลังคิดอันใดอยู่ เป็นเช่นนี้ ข้าว่านะหนิงเหอ...การที่มีเจ้าอยู่ที่จวนท่านอ๋อง ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งไม่ดีเสียแล้วสิ จวนท่านอ๋องคงมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นเยอะเชียวล่ะ”
“ข้ามิใช่ตัวตลกของพวกท่านนะ”
สี่หนิงเหอโมโห ใบหน้าใสบึ้งตึงพลางทำเสียงขลุกขลักอยู่ในลำคอ “ข้ากล่าวเช่นนั้นเมื่อใดกัน เจ้านี่ชอบตีความวาจาของพวกข้าผิดไปเสียจริง”
“ฮึ! วาจาพวกท่านนั่นแหละที่กลับกลอกกลิ้งได้ ตัวข้าผู้มีความรู้น้อยต้อยต่ำ มีหรือจะแตกฉานในการแปลความ”
“ว่าแต่...เจ้ามิคิดจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายกับข้าจริงหรือ”
“ไม่!”
“ข้ากำลังคิดจะชักชวนเจ้าออกไปชมเมืองในราตรีนี้อยู่เลย แต่ถ้าหากจะให้พาเจ้าที่เหม็นเน่าเช่นนี้ไป ข้าคงมิกล้า” เขาว่าแล้ว สี่หนิงเหอจะต้องสนใจ ดูใบหน้าที่คลี่ยิ้มจนกว้างและดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับคู่นี้สิ
“รู้สึกว่าข้าจะได้ยินเสี่ยวเอ้อร์กล่าวว่าที่นี่จัดงานขอบคุณเทพเจ้าที่มอบข้าวปลาอาหารอันอุดมสมบูรณ์ให้ หน้าที่ศาลาว่าการท่านเจ้าเมืองจะมีนางรำมาร่ายรำให้กับชาวบ้านได้ดู มีการละเล่นอีกหลายชนิด รวมถึงมีขนมมากมายมาจำหน่ายตลอดเส้นทางด้วยนะ”
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็รีบจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยสิ ข้าจะได้จัดการกับตัวเองบ้าง...ข้าก็เหม็นตัวเองจนจะทนไม่ไหวแล้ว และ...ห้ามชักชวนข้าร่วมชำระล้างร่างกายกับท่านเลยนะขอรับ อย่างไรเสีย ข้าก็ยังได้ชื่อว่าเป็นว่าที่อนุภรรยาของท่านอ๋อง มิควรเปิดเผยร่างกายนี้ให้ผู้ใดได้เห็นนะขอรับ”
กล่าวจบสี่หนิงเหอก็รีบลุกจากเตียงเดินออกนอกห้องพัก
“นั่นเจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปหาเสี่ยวฝาน ท่านมีอันใดหรือขอรับ”
“อ๋อ...มิมีสิ่งใด ข้าเพียงแค่นึกว่าเจ้าจะออกไปนอกโรงเตี้ยมที่พักนะ”
“ข้ารู้หรอกน่าซานเกอ ตัวข้านั้นเป็นที่หมายจะถูกปลิดศีรษะให้หลุดจากบ่าอยู่ ข้ามิกล้าออกจากที่พำนักโดยพลการหรอกขอรับ ข้ายังรักตัวกลัวตาย ยังปรารถนาที่จะได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสทั่วแคว้นดินแดนอยู่นะขอรับ”
ดูท่า...ท่านอ๋องคงมิให้เจ้าทำเช่นนั้นได้หรอกหนิงเหอ อย่างดีที่สุด ถ้าหากไม่พาเจ้าไปพานพบด้วยตัวเอง แต่ข้อนี้มันยากยิ่งนัก เพราะการงานของท่านอ๋องมันมากมายจนแทบจะมิได้นอนหลับพักผ่อนอยู่เลย ก็คงจะมีพ่อครัวแม่ครัวจากหลายถิ่นที่มาทำให้เจ้าทานถึงจวนแล้วล่ะ
“อย่างไรเจ้าก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน เราไว้วางใจใครมิได้”
“ข้ารับทราบขอรับซานเกอ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะขอรับ”
“ฮื่อ” ซานเกอพยักหน้ารับ ขณะมองคนตัวเล็กเดินออกจากห้องไป จากนั้นก็รีบส่งสัญญาณบอกให้คนที่ซ่อนกายอยู่รับรู้ เข้ามาหาเพื่อจะได้สั่งความสำคัญ!
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว