เมื่อเห็นว่าสี่ซูเจียวไม่อาจจะโต้ตอบกลับมาได้และฮูหยินก็เพียงแค่มองมาอย่างไม่สนใจหากแต่ก็รับฟัง มันก็ทำให้เขากล้าที่จะเอ่ยในเรื่องต่อไป
“ตัวข้าเพิ่งฟื้นจากไข้ ควรจะต้องได้รับอาหารที่ดีและมีประโยชน์กับร่างกายบ้าง”
“เจ้าจะหาว่าท่านแม่ดูแลเจ้าไม่ดี ไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนั้นหรือ”
เสียงของสี่ซูเจียวทำให้เขาปวดศีรษะยิ่งนัก น่าจะมีใครสักคนหาอะไรมาอุดปากนางเอาไว้บ้างนะ หากเขาก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น
“ปะ...เปล่าขอรับคุณหนูใหญ่ ท่านตีความในคำพูดของข้าน้อยผิดไปเสียแล้วขอรับ...คุณหนูใหญ่ดูข้าสิขอรับ” เขายื่นมือที่เล็กราวกับเด็กอมโรคไปให้กับคุณหนูใหญ่ดู
“ที่นี่ทุกคนล้วนแล้วแต่มีงานต้องทำ ไม่มีใครสนใจใคร แต่หากไปที่นั่น...คนที่นั่นเห็นข้าเป็นแบบนี้ก็คงจะตกใจเป็นยิ่งนัก อาจคิดไปได้ว่าเราเล่นตลกหลอกลวง จะกล่าวอ้างว่าไม่สบาย เพิ่งฟื้นจากป่วยไข้ก็ฟังดูจะไร้เหตุผล ไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี ถ้าหากทางนั้นคิดว่าทางเราส่งใครก็ไม่รู้ ไม่ได้เป็นอะไรกับท่านฮูหยินและนายท่านเหวินหม่าไป...หรือไม่ขอรับ” เขารู้ว่าฮูหยินเป็นคนฉลาด ย่อมฟังความต้องการของเขาออก แต่แล้วอย่างไรเล่า สิ่งที่เขาได้กล่าวออกไป มิมีสิ่งใดมิถูกต้องเลยสักนิด สิ่งที่เขากล่าวออกไปล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น
“อีกเรื่องที่ข้าน้อยเห็นทีจะต้องขอความกรุณาจากฮูหยิน...อาภรณ์ที่สวมใส่และของใช้สอย”
“ที่พูดมาทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า...”
“ซูเจียว”
“แต่ท่านแม่...ท่านดูที่มันพูดออกมาสิ แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่ามักใหญ่ใฝ่สูงแค่ไหน มันกำลังจะทำตัวเทียบเทียมข้าและเจ้ารองอยู่นะท่านแม่”
สี่ซูเจียวออกอาการฮึดงัดไม่พอใจอย่างยิ่ง พลางชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้ผู้เป็นมารดาเชื่อและหาทางลงโทษเขา ทว่าคราวนี้คำพูดของเขาล้วนแล้วแต่ถูกกลั่นกรองมาอย่างดีแล้วและมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่าหวังดีต่อตระกูลสี่จริง ๆ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดาไม่คิดจะใส่ใจคำที่นางพูด สี่ซูเจียวจึงหันมาถลึงตาใส่เขา ในสมองอันด้อยปัญญาของนางคงกำลังคิดว่าจะเล่นงานเขาอย่างไรดี แต่ฮึ! คราวนี้เห็นทีจะมิได้แล้วล่ะ เขามิไม่ยอมให้นางสมหวังเสียแล้วล่ะ
“คุณหนูอย่าตีความหมายที่ข้าพูดไปผิดเลยนะขอรับ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของข้า ข้า...ข้าย่อมไม่ต้องการให้ใครได้รับความเดือดร้อน” เขาพูดเสียงเบาและเศร้า แต่ในใจนั้นกลับคิดไปคนละทาง ใครจะเป็นเช่นไรก็ช่าง เขาไม่สนใจเลยสักนิด เขายังต้องการให้คนที่นี่หายไปให้หมดเสียด้วยซ้ำ
“เจ้า!”
“แม้ท่านพ่อจะไม่รักข้า แต่ที่ท่านทำเช่นนี้ก็ย่อมจะต้องมีเหตุผล หรือไม่ท่านก็คงคิดหวังให้ข้าช่วยท่านในภายภาคหน้า ถ้าหากข้าพอมีความรู้ติดตัวไปบ้าง รูปร่างก็ไม่ได้ผ่ายผอมอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่สวมใส่ก็ดูดีกว่านี้สักเล็กน้อย ย่อมเป็นการเปิดทางให้ท่านพ่อได้ทำตามที่หวัง...ใช่หรือไม่ขอรับท่านฮูหยิน”
ไม่ใช่ความหวังของบุรุษผู้นั้นหรอก หากเป็นตัวฮูหยินสี่อิงเหม่ยเองต่างหากเล่าที่ต้องการเปิดเส้นทางการค้าใหม่ การส่งเขาไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษผู้นั้นเป็นเพียงแค่การเปิดประตูเท่านั้น ที่นางหวังจริง ๆ นั้นคือการส่งบุตรีไปเป็นภรรยาของเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจมากพอและหวังให้บุตรชายคนใดคนหนึ่งรับราชการ เพื่อเชิดหน้าชูตาและเป็นขุมอำนาจไว้ต่อรองต่างหากเล่า
“อย่าไปเชื่อมันนะเจ้าค่ะท่านแม่ มันกำลังใช้เรื่องนั้นมาข่มขู่ คิดจะทำตัวเสมอลูก น้องรองและน้องสาม”
“แต่ถ้าฮูหยินคิดว่าสิ่งที่ข้าได้กล่าวไปนั้นเป็นเช่นดังที่คุณหนูใหญ่ได้กล่าว ข้าก็ต้องขออภัยด้วย ข้ารบกวนฮูหยินนานแล้ว คงจะต้องขอตัวก่อนขอรับ”
ต้องการสิ่งใดอย่ารุกไล่ให้มากจนเกินไป เดี๋ยวจะถูกจับพิรุธได้ แต่เขาเชื่อว่าคนฉลาดเช่นฮูหยินสี่อิงเหม่ยที่สามารถทำให้สามีที่ไม่เอาไหนกลายเป็นพ่อค้าที่มีชื่อ และยังสามารถครองตำแหน่งฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของสี่เหวินหม่าได้โดยไม่สั่นคลอน ยกเว้นมารดาของเขานะ เพราะนั่นนะ...มันเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นจริง ๆ นางยังสามารถควบคุมคนในเรือนให้เชื่อฟัง...คนเช่นนี้ไม่เพียงแค่ฉลาดแต่ยังเก่งคิดและมองการณ์ไกลด้วย ซึ่งเขาไม่ควรประมาทมองข้ามไปโดยเด็ดขาด
“ข้าจะสั่งให้พ่อบ้านฉางจัดการให้ เจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็บอกไป”
“ท่านแม่!” สี่ซูเจียวกระทืบเท้าด้วยความขัดอกขัดใจ
“หวังว่าสิ่งที่ข้าทำลงไป คงจะไม่เสียเปล่า”
นั่นไง เป็นอย่างที่เขาว่าใช่ไหมล่ะ สี่อิงเหม่ย...นางไม่ยอมทำอะไรให้ใครโดยไม่หวังผลตอบแทนจริง ๆ นั่นแหละ
“ข้าจะมิทำให้ให้ฮูหยินผิดหวังขอรับ” ได้...เขาจะจดจำไว้ มีโอกาสเขาจะตอบแทนพระคุณ...อย่างดีเชียวล่ะ!
แม้สี่หนิงเหอจะเดินจากมาไกลมิใช่น้อยแล้ว หากหูก็ได้ยินสี่ซูเจียวโวยวายพลางตัดพ้อผู้เป็นมารดาของตนเองที่ยอมทำตามคำขอของเขา
ฮึ! นางช่างเป็นผู้หญิงที่มีแต่รูปร่างที่สวยงามชวนมอง หากสมองกลับเล็กน้อย คงมีไว้คั่นใบหูเท่านั้น...ละมั่ง!
“คุณชาย!”
เพียงแค่เห็นหน้าเขาเท่านั้น บ่าวรับใช้ผู้แสนดีและแสนจะซื่อสัตย์ก็ร้องเรียกและรีบวิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว ใบหน้านั้นตื่นตระหนกและหวาดกลัวระคนห่วงใยในตัวเขาเป็นยิ่งนัก มันทำให้สี่หนิงเหอรู้ว่าคิดไม่ผิดเลยที่กระทำสิ่งนี้ลงไปในครั้งนี้
สี่หนิงเหอส่งยิ้มให้กับเสี่ยวฝาน “กลับเรือนของเรากันเถอะ” เขาบอกและเดินนำไปอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างคนที่อารมณ์ดีมากด้วย
“แล้ว...” เสี่ยวฝานหันรีหันขวาง ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตามมาอย่างรวดเร็ว
“นางเป็นคนฉลาด สิ่งที่ข้าไปบอกกล่าว นางได้ประโยชน์มากกว่าใคร แล้วทำไมนางถึงไม่ทำเล่า” สี่หนิงเหอบอกกล่าวกับเสี่ยวฝานที่ยังคงมีความกังวลใจอยู่
“จากนี้ไปพวกเรามีเรื่องต้องทำมากมาย เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมนะเสี่ยวฝาน” โอกาสที่ได้รับมามีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทำพลาดไป เขาไม่กลัว เพราะถือว่าได้ทำแล้วและผลก็ย่อมต่างจากที่เคยเป็นมา หากไม่ทำต่างหากเล่า นั่นคือความน่าเสียดายและเสียใจ เพราะจุดจบของเขาก็จะยังคงเป็นเช่นเดิม
“ขอรับคุณชาย”
“อย่างแรก ข้าจำได้ว่าเจ้าสามารถออกนอกเรือนไปได้โดยไม่มีใครสงสัยใช่หรือไม่” หลังจากฟื้น ความทรงจำที่เขามี...มันเลือนรางเป็นเสมือนม่านหมอกที่ปกคลุมไปเสียจนหมดสิ้น แต่ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องราว บางครั้งเขาก็มีความรู้สึกสะท้อนก้องอยู่ในหัว มันจะมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่เมื่อเพ่งพิศคิดและมอง กลับปวดจนศีรษะแทบจะแตก เขาจึงทำได้เพียงแค่เตรียมตัวรับมือเท่านั้น แต่ความทรงจำหนึ่งที่เหลืออยู่และฝังแน่นในดวงจิต นั่นคือ...เขาต้องรอด!
“ขอรับ คุณชายจะให้ข้าทำอันใดก็บอกมาเลยขอรับ”
สี่หนิงเหอรู้ว่ามีงานให้เสี่ยวฝานทำ หากในหัวกลับว่างเปล่า คิดมิออกเลยว่าจะต้องทำสิ่งใด
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว