INICIAR SESIÓNเซี่ยเหยียนอวี่ถูกใส่ร้ายจนโดนองค์ชายจวิ้นอี่เนรเทศ เขาตรอมใจตาย แต่ความแค้นสุดท้ายก่อนวิญญาณดับสิ้นพาเขาย้อนเวลากลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเพื่อแก้ไขมัน
Ver másสายฝนกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งราวกับฟากฟ้ากำลังพิโรธ เสียงฟ้าร้องคำรามกึกก้องกลบเสียงสะอื้นไห้ของแมลงรัตติกาลที่หลบซ่อนอยู่ตามซอกหลืบ ภายในอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของวังหลวงที่ใครต่างยกย่องว่าเป็นแดนสวรรค์บนดิน กลับมีมุมหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างและหนาวเหน็บยิ่งกว่าขุมนรก
ตำหนักจันทราอัสดง
สถานที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยงดงามสมชื่อ เป็นที่พำนักสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง หากแต่บัดนี้... มันกลับกลายเป็นเพียงซากปรักหักพังที่ถูกลืมเลือน ฝุ่นผงจับหนาเตอะ หยากไย่เกาะเต็มเพดาน และกลิ่นอับชื้นของเชื้อราคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ผสมปนเปกับกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ
บนพื้นไม้เก่าคร่ำคร่าที่แทบจะผุพัง ร่างของบุรุษผู้หนึ่งนอนขดตัวด้วยความทรมาน เซี่ยเหยียนอวี่ อดีตพระชายาผู้เป็นที่โปรดปราน บัดนี้เหลือเพียงร่างกายที่ซูบผอมจนหนังหุ้มกระดูก เส้นผมยาวสลวยที่เคยเงางามดุจแพรไหม บัดนี้แห้งกรังและยุ่งเหยิง ใบหน้าที่เคยงดงามราวหยกสลักซีดเผือดไร้สีเลือด ริมฝีปากแห้งแตกเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดงฉานที่เขากระอักออกมา
"อึก... แค่กๆ..."
เหยียนอวี่ไอโขลก ร่างกายสั่นสะท้านจากความหนาวเย็นที่กัดกินไปถึงกระดูกดำ พิษร้าย 'เงี่ยงหงส์' ที่แล่นพล่านอยู่ในกระแสเลือดกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ มันค่อยๆ กัดกร่อนอวัยวะภายในของเขาอย่างช้าๆ มอบความเจ็บปวดที่เหมือนมีเข็มพันเล่มทิ่มแทงทั่วสรรพางค์กาย
ทว่าความเจ็บปวดทางกายนั้น เทียบไม่ได้เลยกับความรวดร้าวในดวงใจ
มือผอมแห้งข้างหนึ่งยกขึ้นมากุมหน้าท้องที่แบนราบ... ว่างเปล่า... และเย็นเฉียบ
"ลูกจ๋า..." เสียงของเขาแหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วไหลรินออกมาอีกครั้ง "ขอโทษ... ที่ปกป้องเจ้าไม่ได้..."
ในครรภ์ของเขา เคยมีชีวิตน้อยๆ ก่อกำเนิดขึ้น เป็นพยานรักระหว่างเขากับบุรุษผู้สูงศักดิ์ผู้นั้น แต่บัดนี้... มันกลับกลายเป็นเพียงหลุมศพที่ไร้ป้ายวิญญาณ พิษร้ายไม่เพียงคร่าชีวิตเขา แต่มันยังพรากเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาไปก่อนที่ทารกน้อยจะได้ลืมตาดูโลก
ภาพความทรงจำในท้องพระโรงเมื่อหนึ่งเดือนก่อนยังฉายชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“เซี่ยเหยียนอวี่ สมคบคิดกับกบฏ วางยาพิษฮองเฮา จิตใจอำมหิตผิดมนุษย์! ข้าสั่งปลดเจ้าออกจากตำแหน่ง เนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น และมอบสุราพิษให้ดื่มเพื่อชดใช้กรรม!”
สุรเสียงอันทรงอำนาจของ ท่านอ๋องจวิ้นอี่ ชายผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของเขา ชายผู้เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะปกป้องเขาด้วยชีวิต บัดนี้กลับกลายเป็นผู้พิพากษาที่มอบความตายให้เขาด้วยความเย็นชาที่สุด ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความลังเลในแววตาคู่นั้น มีเพียงความรังเกียจเดียดฉันท์ที่มองมา
"ทำไม..." เหยียนอวี่พึมพำ สายตาพร่ามัวมองไปยังประตูไม้ผุพังที่ถูกปิดตาย "ทำไมท่านถึงไม่เชื่อข้า... จวิ้นอี่... ท่านเคยรักข้าบ้างไหม..."
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากภายนอก แข่งกับเสียงสายฝน ก่อนที่ประตูตำหนักจะถูกถีบเปิดออกอย่างแรง
ปัง!
ลมกรรโชกแรงพัดพาละอองฝนสาดซัดเข้ามาในห้อง ร่างสูงสง่าในชุดขุนนางสีม่วงเข้มปักลายนกยูงทองคำก้าวเข้ามา รองเท้าผ้าไหมราคาแพงเหยียบย่ำลงบนพื้นไม้สกปรกอย่างไม่แยแส
ฉินลี่หรง
ขุนนางหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ แต่สำหรับเหยียนอวี่ รอยยิ้มนั้นคือหน้ากากของปีศาจร้ายที่พรากทุกอย่างไปจากเขา
"ยังไม่ตายอีกหรือ? นายน้อยเซี่ย... อ้อ ไม่สิ นักโทษเดนตายเซี่ย" ฉินลี่หรงเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ราวกับกำลังมาเยี่ยมสหายเก่า แววตาของเขาฉายแววเย้ยหยันอย่างปิดไม่มิด
"เจ้า..." เหยียนอวี่พยายามยันกายลุกขึ้น แต่เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดกลับทรยศ เขาทำได้เพียงนอนมองศัตรูด้วยสายตาที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงแค้น "เจ้ามาทำไม... มาดูผลงานของเจ้าหรือ..."
ฉินลี่หรงหัวเราะเบาๆ เขาเดินเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าเหยียนอวี่ โดยระวังไม่ให้ชายเสื้อคลุมเปื้อนเลือดที่นองอยู่บนพื้น
"ข้ามาส่งเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย อย่างไรเสียเราก็เคยเป็นสหายร่วมเรียนกันมาก่อน" ฉินลี่หรงแสยะยิ้ม นิ้วเรียวยาวเชยคางมนของเหยียนอวี่ขึ้น บังคับให้สบตา "และข้าก็มีเรื่องอยากจะบอกเจ้า... เรื่องที่เจ้าควรจะได้รู้ก่อนตาย จะได้ไม่ต้องตายตาไม่หลับ"
เหยียนอวี่สะบัดหน้าหนี แต่ฉินลี่หรงกลับบีบแก้มเขาแน่นขึ้นจนเจ็บร้าว
"เรื่องกบฏ... ข้าเป็นคนทำเอง"
ดวงตาของเหยียนอวี่เบิกกว้าง แม้จะรู้อยู่เต็มอก แต่การได้ยินจากปากของมันก็ยังสร้างความเจ็บปวดรวดร้าว
"ยาพิษที่ฮองเฮาเสวย... ข้าก็เป็นคนวาง" ฉินลี่หรงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ "และจดหมายลับที่พบในห้องของเจ้า... ข้าก็เป็นคนปลอมแปลงลายมือเจ้าเอง ฝีมือข้าแนบเนียนใช่ไหมล่ะ? แม้แต่ท่านอ๋องจวิ้นอี่ผู้ปรีชาสามารถ ก็ยังดูไม่ออก... หรืออาจจะดูออก แต่เลือกที่จะไม่เชื่อเจ้า เพราะเขารักอำนาจมากกว่ารักเจ้าอย่างไรล่ะ"
"สารเลว!" เหยียนอวี่รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายถ่มน้ำลายใส่หน้าอีกฝ่าย
ฉินลี่หรงไม่โกรธ เขาเพียงแค่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ทอจากไหมอย่างดีออกมาเช็ดใบหน้าอย่างใจเย็น ก่อนจะโยนผ้าทิ้งไป
"ด่าไปเถอะ ข้าไม่ถือสาคนใกล้ตาย" เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบวัตถุบางอย่างออกมา
แสงสีเขียวมรกตส่องสว่างวาบขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัว มันคือ หยกลิขิต เครื่องรางโบราณรูปร่างแปลกตา สลักลวดลายอักขระที่ซับซ้อนและดูขลัง แสงของมันเต้นระริกราวกับมีชีวิต
"เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่?" ฉินลี่หรงชูหยกขึ้นตรงหน้า "นี่คือสมบัติลับของราชวงศ์ที่หายสาบสูญ มันถูกกล่าวขานว่ามีอำนาจในการบิดเบือนกาลเวลา ย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ หากรู้วิธีใช้และ... มีเครื่องสังเวยที่เหมาะสม"
เหยียนอวี่จ้องมองหยกนั้น ความรู้สึกหนาวเหน็บแล่นปราดไปทั่วไขสันหลัง ไม่ใช่เพราะความเย็นของอากาศ แต่เพราะรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวฉินลี่หรง
"ข้าทำผิดพลาดไปเล็กน้อยในการวางหมากกระดานนี้" ฉินลี่หรงพึมพำ ราวกับพูดกับตัวเอง "แม้ข้าจะกำจัดเจ้าได้ แต่ท่านอ๋องจวิ้นอี่เริ่มระแคะระคาย เขาฉลาดเกินไป... หากปล่อยไว้ เขาอาจจะสืบสาวราวเรื่องจนถึงตัวข้า ดังนั้น ข้าจึงต้องย้อนกลับไป... กลับไปแก้ไขจุดเริ่มต้น ให้แน่ใจว่าข้าจะครองบัลลังก์ได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งกว่านี้"
"เจ้า... เจ้าจะทำอะไร?" เหยียนอวี่ถามเสียงสั่น
"ข้าจะใช้ชีวิตของเจ้า... และความแค้นของเจ้า เป็นเชื้อเพลิง" ฉินลี่หรงแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม "ตำราโบราณกล่าวว่า หยกลิขิตต้องการเลือดของผู้ที่มีชะตาสูงส่งแต่ต้องตายด้วยความอยุติธรรม เพื่อเปิดประตูแห่งกาลเวลา... และเจ้า เซี่ยเหยียนอวี่ เจ้าคือเครื่องสังเวยที่สมบูรณ์แบบที่สุด"
พูดจบ ฉินลี่หรงก็ชักมีดสั้นเล่มเล็กออกมาจากฝัก แสงโลหะวาววับสะท้อนแสงตะเกียง
"ลาก่อน สหายรัก"
ฉึก!
คมมีดกรีดลงบนข้อมือขาวซีดของเหยียนอวี่อย่างแม่นยำ เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมา เหยียนอวี่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่เสียงของเขากลับแหบแห้งจนแทบไม่มีเสียง
ฉินลี่หรงรีบนำหยกลิขิตมารองรับเลือดที่ไหลรินลงมา
ทันทีที่โลหิตสัมผัสกับผิวหยก อักขระโบราณก็ส่องแสงเจิดจ้าขึ้น สีเขียวมรกตเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย ลมพายุภายนอกตำหนักกรรโชกแรงขึ้นจนหน้าต่างกระแทกปังๆ ราวกับวิญญาณร้ายกำลังกรีดร้อง
เหยียนอวี่มองดูเลือดของตัวเองที่ถูกหยกดูดกลืนเข้าไป ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะเข้าจู่โจม สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนราง แต่ท่ามกลางความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา ไฟแห่งความแค้นในใจกลับลุกโชนขึ้นอย่างรุนแรง
ความเจ็บปวดจากการถูกทรยศ ความเศร้าโศกที่เสียลูก ความเกลียดชังต่อคนตรงหน้า... ทุกอย่างหลอมรวมกันเป็นจิตปณิธานอันแรงกล้า
ข้าจะไม่ยอมตายไปเฉยๆ... ข้าจะไม่ยอมให้มันสมหวัง!
เหยียนอวี่กัดฟันกรอด รวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย พุ่งตัวเข้าหาฉินลี่หรง
"ถ้าข้าต้องตาย... ข้าก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วย!"
"เฮ้ย! ปล่อยนะ!" ฉินลี่หรงตกใจ ไม่คิดว่าคนที่ใกล้ตายจะมีแรงฮึดสู้ เขาพยายามผลักเหยียนอวี่ออก แต่สองมือที่เปื้อนเลือดของเหยียนอวี่กลับคว้าหมับเข้าที่หยกลิขิตแน่น
"ปล่อย! เจ้าบ้า! พิธีกรรมกำลังจะเริ่ม!" ฉินลี่หรงตะโกนด้วยความตื่นตระหนก พยายามแกะมือของเหยียนอวี่ออก แต่เลือดของเหยียนอวี่ไหลอาบลงบนหยกมากขึ้นเรื่อยๆ จนหยกทั้งชิ้นกลายเป็นสีเลือด
เปรี้ยะ!
เสียงร้าวฉานดังขึ้นจากตัวหยก รอยร้าวเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนผิวเรียบเนียน แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นจนแสบตา
"ไม่! ไม่นะ!" ฉินลี่หรงกรีดร้อง "เจ้าทำลายมัน! เจ้าทำลายแผนของข้า!"
เหยียนอวี่ไม่สนใจเสียงกรีดร้องนั้น เขาจ้องมองเข้าไปในแสงสว่างจ้า รู้สึกได้ว่าวิญญาณของเขากำลังถูกดึงดูดเข้าไปในกระแสธารที่บ้าคลั่ง
สวรรค์... หากท่านมีจริง... หากท่านยังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่...
ได้โปรด... ให้โอกาสข้าอีกครั้ง...
หากชาติหน้ามีจริง... ข้าจะไม่ขอเกิดมาเพื่อรักใครอีกแล้ว...
แต่ข้าจะกลับมาเพื่อทวงคืน!
ฉินลี่หรง... จวิ้นอี่... พวกเจ้าทุกคนจะต้องชดใช้!
ตูม!!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วตำหนักจันทราอัสดง แสงสีแดงระเบิดออกครอบคลุมทุกสิ่ง กลืนกินร่างของทั้งสองหายวับไปในพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและสายฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาชะล้างคราบเลือดบนพื้น... ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้
กาลเวลาเปรียบเสมือนสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ... มันพัดพาเอาความหนุ่มสาว ความพลุ่งพล่าน และความทะเยอทะยานให้เลือนหายไปตามกระแสธาร แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ตกตะกอนสิ่งที่เรียกว่าความผูกพันให้เด่นชัดและงดงามยิ่งขึ้นสิบห้าปีต่อมา ณ จวนคีรีรมย์สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านหุบเขา ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีส้มและแดงร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ปกคลุมทางเดินหินอ่อนราวกับพรมธรรมชาติที่ศาลาริมสระบัวอันคุ้นเคย ชายชราสองคนนั่งเคียงคู่กันบนตั่งไม้ไผ่ ชมพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าเซี่ยเหยียนอวี่ในวัยสี่สิบกว่าปียังคงเค้าโครงความงดงามในอดีตไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีริ้วรอยแห่งวัยปรากฏขึ้นที่หางตา และเส้นผมสีดำขลับเริ่มมีสีดอกเลาแซมบ้างประปราย แต่แววตาคู่สวยนั้นกลับดูสงบนิ่งและอ่อนโยนยิ่งกว่าในวัยเยาว์เขากำลังนั่งปอกผลส้มอย่างใจเย็น วางชิ้นส้มที่แกะเม็ดออกแล้วลงบนจานกระเบื้อง ข้างๆ กันนั้นคือจวิ้นอี่อดีตองค์ชายผู้เกรียงไกรที่บัดนี้วางดาบลงและหันมาจับพู่กันวาดภาพทิวทัศน์แทน ร่างกายที่เคยกำยำเริ่มผ่ายผอมลงตามกาลเวลา แต่แผ่นหลังยังคงเหยียดตรงอย่างสง่างาม"เจ้าปอกช้าลงนะ เหยียนอวี่" จวิ้นอี่เอ่ยเย้า วางพู่กันลงแล้วหันมายิ
แสงเทียนในห้องทรงอักษรวูบไหวตามแรงลมที่ลอดผ่านช่องหน้าต่าง ฮ่องเต้หลงอวี่ในวัยยี่สิบต้นๆ วางพู่กันลงบนแท่นฝนหมึกด้วยความเหนื่อยล้า พระหัตถ์หนายกขึ้นนวดขมับเพื่อคลายความตึงเครียดบนโต๊ะทรงงาน เต็มไปด้วยฎีกากองพะเนินที่รอการตัดสินใจ ปัญหาภัยแล้งทางทิศใต้ ปัญหาโจรป่าทางทิศตะวันตก และแรงกดดันจากเหล่าขุนนางเฒ่าที่เร่งรัดให้พระองค์รับสนมเพิ่มเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์"เป็นฮ่องเต้... มันช่างโดดเดี่ยวเสียจริง"หลงอวี่พึมพำกับตัวเอง สายตาเหม่อมองไปยังเก้าอี้ไม้จันทน์ตัวเก่าที่ตั้งอยู่มุมห้อง เก้าอี้ตัวนั้นว่างเปล่ามานานหลายปีแล้ว เก้าอี้ที่เสด็จอาจวิ้น อี่เคยประทับนั่งคอยสอนงานราชการให้เขาเสียงกระซิบกระซาบของขุนนางในท้องพระโรงเมื่อเช้ายังคงดังก้องในหู'น่าเสียดายความปรีชาของอดีตองค์ชายจวิ้นอี่... หากพระองค์ไม่ลุ่มหลงในรักจนยอมทิ้งบัลลังก์ ป่านนี้แผ่นดินคงขยายไปไกลกว่านี้''นั่นสิ... การเลือกบุรุษเพียงคนเดียวแทนที่จะเลือกแผ่นดิน ช่างเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลา' หลงอวี่กำหมัดแน่น ทุบลงบนโต๊ะเบาๆ"คนพวกนั้นไม่รู้อะไรเลย..."พวกเขาไม่รู้ว่าความสงบสุขที่พวกเขากำลังเสวยสุขอยู่ในตอนนี้ แลกมาด้วยหยาดเ
ยามเช้าอันสดใส ณ จวนคีรีรมย์เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังประสานกับเสียงธารน้ำไหล บรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การจิบชาชมไม้ หากไม่มีเสียงตะโกนที่ดังลั่นจนนกบินหนีแตกกระเจิง"หายไปไหน!?"หลิวจื้อเฉินยืนเท้าเอวอยู่หน้าเรือนพัก ใบหน้าคมคายฉายแววงุนงงปนหงุดหงิด เขาก้มมองเท้าของตัวเองที่มีแต่ถุงเท้าสีขาว ส่วนรองเท้าบูทหนังคู่เก่งที่ขัดเงาวับเมื่อคืนอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย"โวยวายอะไรแต่เช้า จื้อเฉิน?" ไป๋เหวินเจี๋ยเดินงัวเงียออกมาจากห้อง ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย "เจ้าทำเสียงดังจนสมุนไพรข้าสะดุ้งตื่นหมดแล้ว""รองเท้าข้าหาย!" จื้อเฉินฟ้องเสียงอ่อย "ข้าถอดไว้หน้าห้องเมื่อคืน เช้านี้เหลือแต่ความว่างเปล่า... ท่านหมอ เจ้าแอบเอารองเท้าข้าไปต้มยาแก้โรคเท้าเหม็นหรือเปล่า?""บ้าสิ!" ไป๋เหวินเจี๋ยค้อนขวับ "ยาท่านหมออย่างข้ามีค่ามากกว่ารองเท้าเน่าๆ ของเจ้าตั้งเยอะ... เอ๊ะ?"หมอหนุ่มชะงักเมื่อกวาดสายตาไปที่ระเบียงตากยาสมุนไพร ตะกร้าที่เคยใส่รากโสมพันปีที่อุตส่าห์ไปขุดมาจากยอดเขา ตอนนี้ว่างเปล่า เหลือทิ้งไว้เพียงหัวผักกาดขาวเหี่ยวๆ หัวหนึ่งวางแทนที่อย่างเย้ยหยัน"โสมข้า!" ไป๋เหวินเจี๋ยร้องเสียงหลง "ใครมันกล้
สายลมยามค่ำคืนพัดพากลิ่นหอมของดินและหญ้าสดชื่นลอยมาตามลม ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านเล็กๆ ใกล้จวนคีรีรมย์ปลอดโปร่งจนเห็นดวงดาวระยิบระยับนับล้านดวงทว่า... ความสงบสุขของไป๋เหวินเจี๋ยกำลังถูกรบกวน"ท่านหมอ! เสร็จหรือยัง? เร็วเข้าสิ เดี๋ยวตลาดวายหมด!"เสียงเร่งเร้าที่คุ้นหูดังมาจากหน้าเรือนพัก ไป๋เหวินเจี๋ยถอนหายใจเบาๆ วางมือจากการคัดแยกสมุนไพรตากแห้ง แล้วหันไปมองต้นเสียงที่ยืนเกาะขอบประตูทำหน้าตาตื่นเต้นเหมือนเด็กๆหลิวจื้อเฉินในชุดลำลองสีน้ำเงินเข้มดูทะมัดทะแมง ผมยาวถูกมัดรวบสูงเผยให้เห็นใบหน้าคมคายที่เปื้อนรอยยิ้มกว้างจนตาหยี"เจ้าจะรีบไปไหนนักหนา จื้อเฉิน?" ไป๋เหวินเจี๋ยบ่นอุบอิบขณะเช็ดมือกับผ้าสะอาด "งานเทศกาลมีทั้งคืนไม่ใช่หรือ?""ก็ข้าอยากพาเจ้าไปเดินเล่นก่อนคนจะเยอะนี่นา" จื้อเฉินเดินเข้ามาดึงแขนหมอหนุ่ม "อีกอย่าง... ข้ามีของดีจะให้เจ้าดูด้วย รับรองว่าเจ้าต้องชอบแน่ๆ""ของดี?" ไป๋เหวินเจี๋ยเลิกคิ้ว "หวังว่าคงไม่ใช่กบภูเขาหรืองูหายากที่เจ้าไปจับมาอีกนะ คราวที่แล้วทำเอาห้องยาข้าเละเทะไปหมด""โธ่... อันนั้นมันอุบัติเหตุ!" จื้อเฉินหัวเราะแก้เก้อ "แต่วันนี้รับประกันความปลอดภัย ไปกันเถอะน่า ข