เขาเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเหลือบมองไปแล้วเห็นใบหน้าสี่ฮูหยินเกือบจะเป็นสีเขียวสีเหลืองด้วยโมโหที่เขาตัดทางของนาง ก็แหม...จะเหตุผลอันใดก็ตามที่ทำให้สี่หนิงเหอผู้นี้ต้องไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษผู้นั้น เขามิสนใจและคิดหาคำตอบได้ แต่ผลประโยชน์อันมหาศาลก็ตกอยู่ที่ตระกูลสี่ ตัวนางและบุตรของนางนี่น่า ซึ่งเขา...มิยอมหรอก ส่งไปตายครั้งหนึ่งแล้วยังจะคิดหาผลประโยชน์จากเขาอีกนะเหรอ อันนี้ยอมมิได้นะ อยากได้ก็จงหาทางเอาเองเถอะ!
หือ...ทำไมเขาถึงคิดว่า...ได้ยินเสียงหัวเราะรู้เท่าทันจากบุรุษผู้นั้น...ที่มีหน้ากากเงินปกปิดใบหน้าอยู่นะ สี่หนิงเหอเลิกคิ้วขึ้นมอง อยากจะถาม ท่านชื่อเรียงเสียงใดแล้วหัวเราะอันใด แต่...ไม่ล่ะ เขาขี้เกียจรู้และอยากรีบเดินทางออกจากที่นี่ด้วย บอกตามตรงว่าเขาตื่นเต้นจะแย่แล้ว อยากรีบออกไปจากเรือนนี้ อยากเร่งทำสินค้า อยากเร่งทำมาค้าขายให้เร็วที่สุด
“ถ้าเช่นนั้นก็ออกเดินทางได้แล้ว”
อา...ใช่ สี่หนิงเหอแอบอมยิ้ม ด้วยเขาคาดเดาไม่ผิดจริง ๆ นั่นแหละ ท่านผู้นั้นเป็นหัวหน้าจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่อะไร ที่เขาสังเกต เพราะถ้าหากระหว่างการเดินทางเกิดอันใดขึ้น เขาจะได้เข้าหาคนที่ควรจะต้องเก่งที่สุด เพื่อจะได้ปกป้องตนเองมิให้ได้รับอันตรายไง...เขาคิดถูกใช่ไหมล่ะ
สี่หนิงเหอรู้ว่าเสี่ยวฝานมิใช่คนไม่รับผิดชอบ หากแต่มันมีคนคอยกลั่นแกล้งไง ของมักหายไปอย่างไร้ร่องรอยและหาคนทำมิได้ เขาเลยรีบเดินไปหาเสี่ยวฝานเพื่อไต่ถาม หากก็ยังไม่ทันจะได้ทำก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะท่านหัวหน้าองครักษ์จับแขนเขาแล้วลาก...ใช่แล้วล่ะ ลากให้เดินตามไปโดยไม่สนใจเลยว่าเขาจะเดินตามมิทัน
“เดี๋ยวสิท่าน” สี่หนิงเหอประท้วง แต่ท่านหัวหน้าองครักษ์ก็ยังคงมิฟัง ยังคงลากให้เขาเดินตามไปอย่างรวดเร็วโดยมิสนใจว่าเขาจะเดินตามไปทันหรือไม่
“สายแล้ว เราต้องรีบเดินทาง”
“ก็ใช่ไง ข้ารู้ แต่ข้า...” สี่หนิงเหอยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดก็ต้องหยุดยืนตัวแข็งทื่อ เพราะเมื่อผ่านประตูเข้าเรือนออกไปก็ได้เห็นว่าตรงหน้ามีม้าสีดำตัวใหญ่ที่เมื่อนับรวมก็เท่ากับคนในชุดสีดำพอดี
แปลกจัง! เท่าที่เขาจดจำได้ เขาต้องเดินทางด้วยรถม้าขนาดสามคนนั่ง แต่เหลียวมองไปจนทั่วแล้วก็มิเห็นเลย
ไหนรถม้าที่มารับเขาล่ะ?
อยากบอกนะว่าจะให้เขาขี่ม้าไป...ก็เขาเคยขี่ม้าเสียที่ไหนกันเล่า หากสี่หนิงเหอก็ยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด สองเอวก็ถูกท่านหัวหน้าองครักษ์ที่เขามิคิดจะถามชื่อแซ่จับเอาไว้แล้วยกขึ้นไปนั่งและท่านหัวหน้าองครักษ์ก็รีบกระโดดตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เสี่ยวฝานเองก็นั่งตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างอยู่กับหนึ่งในองครักษ์เช่นกัน
“ท่าน!” สี่หนิงเหอได้แต่หลับตาปี๋ ส่งเสียงดังลั่นด้วยความหวาดกลัวขณะจับแผงคอม้าเอาไว้แน่นเพราะกลัวจะตกลงไป
“ข้าวของที่สี่ฮูหยินเตรียมไว้ให้เจ้า ข้าให้คนขนล่วงหน้าไปก่อนแล้ว...ไป!”
‘ท่านพูดอันใดข้ามิรู้ความ...ข้าแค่อยากจะบอกท่านเพียงแค่ว่า ข้ากลัว!!!’
หากสิ่งที่สี่หนิงเหอทำได้ก็คือ...กอดแผงคอม้าเอาไว้แน่น หลังตาเพราะมิกล้าที่จะมองสิ่งใด หากหูก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวที่ดังมา
ฮื่อ...เขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่!
นับตั้งแต่ย้อนกลับมาเพื่อแก้ไขจุดจบของตัวเอง! เขาก็ไม่ควรสงสัยแล้วว่าทำไมหลายเรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาคุ้นเคยมันถึงได้เปลี่ยนแปลงไป ก็คิดได้ว่าการที่เขาย้อนกลับมาก็ย่อมทำให้เรื่องราวมันเปลี่ยนแปลงไปมิน้อย แต่เขาก็รู้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่มันยังคงดำเดินไปเฉกเช่นเดิม ซึ่งมันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและเตรียมพร้อมรับมืออย่างมีสติ
รอดตายแล้วเรา! สี่หนิงเหอหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้สึกว่ารอบกายเงียบสนิท ไร้การเคลื่อนไหว เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่าตอนนี้อยู่ในป่ากว้าง ส่วนผู้ที่จับตัวเขาขึ้นม้าโดยมิให้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนเดินไปสั่งความบางอย่างกับลูกน้องอยู่
ทำไมถึงไม่ยอมบอกและพาเขาลงจากม้าด้วย...
“คุณชายหิวไหมขอรับ” เสี่ยวฝานรีบเดินมาทรุดตัวลงนั่งใกล้เขาที่นั่งหมดแรงเองหลังอิงกับต้นไม้ใหญ่
“บ่าวได้เนื้อแห้งกับหมั่นโถวมาเล็กน้อย”
เสี่ยวฝานยื่นของที่บอกมาตรงหน้าเขาและเขาก็รีบรับมันไว้ แต่ถึงจะหิวมากเพียงใด เขากลับทานอะไรไม่ลง เพราะการขี่ม้าทำให้เหนื่อย ล้าและเจ็บเสียจนแทบจะไม่มีแรงจะทำสิ่งใดแล้ว หากสี่หนิงเหอรู้ว่าจะทำตัวเป็นคนอ่อนแอมิได้ เขาต้องมีแรงและตื่นตัวอยู่เสมอ ต้องทานอะไรให้ร่างกายมีแรง เพราะหากคืนนี้เกิดสิ่งใดขึ้น จะได้พาเสี่ยวฝานหนีได้ทัน ทำไมถึงได้คิดเยี่ยงนี้นะรึ...ก็นี่เป็นป่าไงล่ะ ป่าย่อมไม่ปลอดภัย ยิ่งป่าที่ไร้เสียงสัตว์ร้องก็จะยิ่งไม่ปลอดภัยนะสิ!
“เจ้าก็ทานด้วยนะเสี่ยวฝาน เราต้องอิ่ม จะได้มีแรง” หากเกิดสิ่งใดขึ้นเราจะได้รีบหนีกันได้ทัน
“ขอรับคุณชาย”
“ต่อไปเจ้ามิต้องเรียกข้าว่าคุณชายแล้วนะเสี่ยวฝาน ให้เรียกข้าว่าหนิงเกอ”
“คะ...คุณชาย” เสี่ยวฝานร้องอย่างตกใจและมองหน้าเขาอย่างตะลึงงัน
“มารดาข้าก็ด่วนจากไป มีบิดาก็เหมือนไม่มี ปีทั้งปีแทบมิเคยเห็นหน้า ถึงตอนนี้ข้าจำมิได้เลยว่าท่านพ่อหน้าตาเป็นอย่างไร เดินทางในครั้งนี้ข้าก็มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่ยินดีมา ทั้งที่ไม่รู้ว่าเบื้องหน้าจะดีร้ายเพียงใด ข้ามิอยากอยู่อย่างเงียบเหงาเพียงลำพัง...หรือเจ้ามิยินดีที่จะรับข้าเป็นหนิงเกอ” สี่หนิงเหอรีบไถ่ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ
“มิใช่ขอรับ...มิได้เป็นเช่นนั้น เอ้ย! หนิงเกอ ข้า...ข้าดีใจขอรับ มิคิดว่าจะได้รับความรักและเอ็นดูจากหนิงเกอเช่นนี้”
เสี่ยวฝานเอ่ยไปพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่รินไหลไปพลาง ใบหน้านั้นแม้จะมอมแมมหากมีรอยยิ้มด้วยความยินดีปรีดามันทำให้เขาอิ่มใจจนเผลอยิ้มตาม
อดีตที่เขาจำได้อย่างชัดเจนคือตอนที่เขากำลังจะหมดลมหายใจ ร่างเล็กผอมบางนอนอยู่บนเตียงแสนเก่าที่ทรุดโทรมอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่ในวันนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เขามีน้องชายแล้วและที่สำคัญคือ...เขาจะไม่ตายด้วย!
“จริงสิเสี่ยวฝาน ของที่เราจัดเตรียมกันไว้ เจ้าได้เอามาหรือเปล่า”
“ข้า...ข้าขอโทษขอรับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานบอกเสี่ยงสั่น “ข้าพยายามแล้ว แต่คนพวกนั้น...”
“ไม่ต้องโทษตัวเองนะเสี่ยวฝาน เจ้าทำดีที่สุดแล้ว เป็นความผิดของคนพวกนั้นที่คอยแต่จะทำร้ายข้ากับเจ้า” สี่หนิงเหอตบบ่าเสี่ยวฝานเบา ๆ ด้วยคิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ คงมิมีสิ่งใดง่ายดายเป็นแน่ แต่ได้ยินเช่นนี้มันก็...อดที่จะโมโหมิได้ ตอนแรกเขาคิดไว้ว่าจะหาซื้อข้าวของที่จำเป็นระหว่างการเดินทาง แต่เมื่อเหตุการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ย่อมเป็นไปมิได้ เขาควรที่จะต้องคิดหาหนทางอื่น
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว