“ลูกธนูกำลังจะฝังเข้าไปอยู่ในกายแล้ว ท่านคิดว่าข้าควรกลัวหรือไม่” สี่หนิงเหอถามอย่างเกรี้ยวกราด เสียดาย...เขามันพวกไม่เกิดเรื่องก็ไม่มีสมองคิด มาตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะสายไปสักหน่อยที่จะเรียนวรยุทธ์ แต่ไม่เป็นไร มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดสายเกินการปรับตัวเรียนรู้ ให้เขารอดพ้นจากการร้ายคราวนี้เถอะ อะไรหรือสิ่งใดที่ควรจะต้องทำและที่เขาทำได้ เขาจะทำมันให้ทุกอย่างเลย
“แต่เจ้าก็ยังปากดี”
“หวังว่าคงจะไม่มีดีเพียงแค่ปาก”
มันเหมือนกับเขาโดนตบปาก เพราะตอนนี้ตัวเขามิได้มีดีอันใดเลยจริง ๆ สี่หนิงเหอก็เลยได้แต่เจ็บใจ
“ถึงข้าจะปากเสีย แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ใจดำเหมือนพวกท่าน คิดหรือว่าข้าไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่ บอกว่ามาเป็นองครักษ์ปกป้องคุ้มครองข้า แต่ความจริงแล้วพวกท่านใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อพวกนั้นต่างหากเล่า”
ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากใครบางคน ก็ทำให้สี่หนิงเหอยิ่งเจ็บใจและมีโทสะมากขึ้น คอยดูนะ เขาจะต้องเอาคืนคนพวกนี้ให้จงได้!
“แล้วถ้าหากพวกข้าทำอย่างที่ท่านกล่าวมาจริง...ท่านจะทำอันใดพวกข้าหรือหนิงเกอ”
“ข้าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องนายพวกเจ้า”
เจ้าองครักษ์ที่เป็นหัวหน้าหลุดเสียงหัวเราะออกมา “ท่านคิดว่า ระหว่างพวกข้าที่อยู่กับนายท่านมานาน กับท่านที่เป็นเพียงแค่อนุภรรยาผู้ต่ำต้อย ผู้ซึ่งนายท่านของข้ามิได้ปรารถนาจะเข้าพิธีมงคลด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วนายท่านควรจะเป็นผู้มารับท่านด้วยตนเอง แต่นายท่านของข้ายังคงให้พวกข้าซึ่งเป็นเพียงแค่ลูกน้องชั้นปลายแถวมารับด้วยซ้ำ นายท่านของข้าจะเชื่อใครกัน”
สี่หนิงเหอได้แต่ข่มกัดฟันกับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้! โว้ย! เจ็บใจจริง
“ข้ารู้ว่าข้าประเมินฐานะของตัวเองสูงไปเสียจริง ๆ นั่นแหละ” สี่หนิงเหอพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด เพราะถ้าบุรุษผู้นั้นไม่สนใจเขาจริง หลังจากที่เขาเข้าไปอยู่ที่นั้นแล้ว เขาจะทำอันใดก็ล้วนแล้วแต่รอดหูรอดตาบุรุษผู้นั้นไปได้ จวบจนเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการพร้อมพรัน เขาก็จะได้ตีปีกบินเช่นนกน้อยที่หลุดออกจากกรงทอง ได้ท่องเที่ยวไปอย่างอิสรเสรีดั่งใจต้องการ เพียงแค่คิดก็มีความสุขแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็หวังว่านายท่านของพวกท่านจะไม่สนใจข้าให้ตลอดรอดฝั่งนะ”
ระหว่างที่สี่หนิงเหอโต้ตอบกับเจ้าองครักษ์ที่เป็นหัวหน้า ดูเหมือนว่าองครักษ์สองคนที่หายไปกลับมาแล้ว พวกเขามองหน้ากัน...สื่อกันด้วยสายตา ก่อนที่ความเคร่งเครียดที่มีจะจางหายไป พวกเขาก็ไปนั่งล้อมวงเพื่อทานไก่ย่างและปลาย่างเช่นเดิม ปล่อยให้เขายืนงงอยู่เพียงลำพัง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อตอนที่เสี่ยวฝานจับมือและยื่นกล่องไม้ที่หลุดไปจากตัวเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ได้มาให้
“ท่านเป็นเช่นใดบ้างขอรับหนิงเกอ”
“ข้ามิเป็นอันใด แล้วเจ้าล่ะเสี่ยวฝาน บาดเจ็บหรือไม่”
“ข้าก็มิเป็นอันใดขอรับหนิงเกอ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” สี่หนิงเหอตบบ่าเสี่ยวฝานเบา ๆ “เราไปนั่งใกล้กับกองไฟกันดีกว่า” ถึงจะมิอยากร่วมวงเสวนากับพวกคนใจร้ายใจดำเหล่านี้ แต่ให้ตัวเองปลอดภัยไว้ก่อนย่อมเป็นการดี ถ้าหากเกิดอันใดขึ้นอีกครั้ง จะได้มีคนเอาตัวเองมารับคมหอกคมดาบแทน เพราะสี่หนิงเหอเชื่อว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก ครั้งเดียวแน่นอน
ในเมื่อคิดจะใช้เขาเป็นเหยื่อ มันก็ต้องคอยดูแลเขาเป็นอย่างดีหน่อย ใช่ไหมล่ะ!
เมื่อยังมิกล้านอนหลับ ด้วยกลัวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้าจะเกิดขึ้นอีกครั้ง สี่หนิงเหอก็เลยหยิบกล่องสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้มาดูอย่างค่อนข้างแปลกใจ...
เหมือนว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกไป สี่หนิงเหอเลยลองส่องกับแสงจากกองไฟ เงาที่สะท้อนออกมาคล้ายกับเป็นรูปอะไรสักอย่างที่เหมือนจะคุ้นเคย เหมือนกับเคยเห็นมาก่อน หากเมื่อพยายามขบคิด กลับรู้สึกปวดร้าวไปหมดทั้งตัว โดยเฉพาะศีรษะที่เหมือนกับถูกความเจ็บปวดอย่างแรงตอกย้ำ เจ็บจนน้ำตาหยดไหลออกมา มือเขาก็สั่นจนเกือบจะปล่อยกล่องให้หล่นลงไปในกองไฟ เขาเลยต้องหยุดคิดด้วยความหงุดหงิดใจ
“ทำไมถึงยังไม่นอน ไม่เหนื่อย”
คนที่สี่หนิงเหอรับรู้ว่าแอบมองอยู่หลายครั้งเอ่ยถามขึ้น
“ไม่คุ้นชิน...ไม่สบาย เลยนอนไม่หลับ”
อ้าว...ประชดเขาอีก สี่หนิงเหอเลยอย่างที่คิดว่ามันหวานที่สุดให้กับคนตรงหน้า
“เปล่าหรอกขอรับท่านหัวหน้าองครักษ์ เป็นเพราะข้ากลัวว่าหากนอนหลับไปแล้วจะไม่ได้ตื่นมาสนทนาอย่างสนุกสนานกับท่านนะขอรับ”
คนตรงหน้าสี่หนิงเหอเงียบไปครู่ใหญ่เชียวล่ะ เหมือนกับว่า...ตกใจกับอะไรบางอย่าง ก่อนจะหลุดพูดออกมาอย่างเผลอไผล
“เรียกข้าว่าซานเกอ”
สี่หนิงเหอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะส่ายศีรษะปฏิเสธ “คงต้องขออภัยท่านหัวหน้าองครักษ์ด้วยนะขอรับ ตัวข้าเป็นผู้น้อยต้อยต่ำ ถึงจะมีตำแหน่งเป็นว่าที่อนุภรรยาของท่านอ๋อง แต่ท่านก็เป็นคนกล่าวกับข้าเองว่าท่านอ๋องมิปรารถนาจะได้ตัวข้าน้อยไปเป็นอนุภรรยา ข้าจึงมิบังอาจนับเรียกท่านเป็นพี่ชายได้หรอกขอรับ”
“ซานเกอ”
“ท่านหัวหน้าองครักษ์”
“ซาน...เกอ...”
ข้าไม่เรียก! แต่ก็ถูกสายตาที่เข้มดุและแข็งกร้าวกดดัน ชิ...ทำไมต้องมาบังคับกันด้วย “ถ้าข้าเรียกอย่างที่ท่านต้องการแล้ว เช่นนั้นแล้วข้าก็หวังว่าซานเกอจะคอยดูแลข้าและน้องชายเป็นอย่างดี มิให้ผู้ใดมาทำร้ายทำอันตรายได้ อ๋อ...ต้องให้กินอิ่มด้วยนะขอรับ” ตกเอาไว้ก่อนก็ดีเหมือนกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะเอาซานเกอนี่แหละ...เป็นไม้กันสุนัข!
“ได้ข่าว เจ้าป่วย”
“ข้าก็ป่วยเป็นปกติอยู่แล้วนั่นแหละ” สี่หนิงเหอตอบอย่างขอไปที ถึงจะไม่ชอบในสิ่งที่คนเรือนนั้นทำกับตนเอง แต่อย่างน้อยคนที่เรือนตระกูลสี่ก็เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ ให้ข้าวให้น้ำแก่เขา มิสมควรที่เขาจะกระทำเนรคุณต่อคนที่เรือนตระกูลสี่มากจนเกินไปนัก ทำเพียงแค่ไม่ให้พวกนั้นสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาบ้างก็พอแล้วล่ะ
“ข้ามิได้อยากจะละลาบละล้วง แต่ในเมื่อมันเกี่ยวเนื่องกับข้า ท่านช่วยบอกได้หรือไม่ซานเกอ คนที่ลอบทำร้ายข้าเมื่อครู่เป็นผู้ใด” ความในเรือนตระกูลสี่จะดีร้ายเพียงใด เขาก็มิสมควรนำออกมาเอ่ยให้ผู้ใดนอกเรือนฟัง
สี่หนิงเหอรอฟังคำตอบ หากสิ่งที่ได้รับกลับเป็นความเงียบงันเสียนี่ “ข้าควรรู้ไว้บ้างหรือไม่ หากเกิดอันใดขึ้น ข้าจะได้ระวังตัวมิให้ตกเป็นเหยื่อ ทำให้พวกท่านลำบาก” หรือว่าเขาจะเข้าใจผิดอันใดไป ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ เหล่าคนพวกนี้ก็มิคิดจะสนใจ หวังเพียงแค่จับผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นใจวนและ…คนที่คงจะเกี่ยวเนื่องกับการตายของสี่หนิงเหอในครั้งนั้นด้วยสินะ
อา...รู้เช่นนี้แล้วช่างเจ็บปวดใจดีจัง!
แต่เอาเถอะ...รู้เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้สงบปากสงบคำและจะเจียมตัวด้วย…ถ้าหากว่าเขาทำได้นะ
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว