เพราะต้องชดใช้หนี้แทนพ่ออย่างไม่มีทางเลือก จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้ชะตาชีวิตต้องเข้าไปพัวพันกับนายหัวจอมโหด จนยากจะถอนตัวขึ้น
Lihat lebih banyakซ่าาาา!!
ยามค่ำคืนท่ามกลางเสียงท้องฟ้าคำราม ฝ่ามือของเด็กชายอายุราวสิบห้าปีคนหนึ่งกำลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อหาหนทางรอดจากคนบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าบิดา
ฟึ่บ! เพี้ยะ!
“...แฮ่ก ผมขอโทษ” อิฐพูดขอร้องซ้ำ ๆ เสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดจากการโดนหวดกลางหลังนับครั้งไม่ถ้วน เพียงเพราะเขาทำข้อสอบไม่ได้ดั่งที่พ่อคาดหวัง
“แกจะหนีไปไหน ห๊ะ!...ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำฉันขายหน้าเด็ดขาด แต่นี่อะไรผลสอบแทบจะรั้งท้ายอยู่แล้ว!”
อิฐนอนขดตัวอยู่บนพื้น มองผู้บังเกิดเกล้าด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า เขาไม่เข้าใจเลยว่าการทำข้อสอบไม่ได้ตามที่หวังจำเป็นต้องลงโทษกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ
!!!
“ครั้งหน้าผม…” ร่างที่ยังไม่สูงใหญ่เต็มวัยกำลังเตรียมอ้าปากพูดต่อ แต่กลับได้ยินเสียงมาจากขั้นบันได มองเห็นผู้เป็นแม่รีบสาวฝีเท้าลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับโอบกอดลูกชายไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดหวั่น
“คุณทำบ้าอะไร! นี่ลูกของคุณนะ!” เสียงของคุณหญิงวรารัตน์แหลมสูงคล้ายตะคอกขึ้นเล็กน้อยจากความเหลืออด แววตาฉายชัดด้วยทั้งจากความผิดหวังและเจ็บปวดขณะจ้องหน้าผู้เป็นสามีอย่างที่เธอเลือกมาเป็นคู่ชีวิต
ปึก!
“เอานี่ดูซะ! ว่าลูกของเธอสร้างเรื่องงามหน้าแค่ไหน!” รังสิมันต์กระชากสมุดผลสอบจากมือแล้วโยนลงตรงหน้าอย่างไม่ไยดี
มืออุ่น ๆ ของผู้เป็นแม่ข้างกายอิฐค่อย ๆ หยิบสมุดผลสอบขึ้นมาเปิดดู ใบหน้าที่เคยตึงเครียดกลับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที เธอลูบปลายแก้มของลูกชายเบา ๆ พร้อมกับยิ้มให้
“เก่งแล้ว…ลูกแม่” คำพูดอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ทำให้อิฐปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น และสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น
“มัวแต่ให้ท้ายมันถึงเป็นแบบนี้ไงล่ะ! ฉันสอนให้มันนำคนอื่น แต่กลับสอบได้รองเขามันน่านัก!” รังสิมันต์ตวาดลั่น สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจขีดสุด คุณหญิงวรารัตน์เงยหน้ามองสามี สีหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจากความผิดหวังซ้ำ ๆ เนื่องจากครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองแม่ลูกต้องมาเผชิญกับความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจแบบนี้
“ออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนนะ เดี๋ยวแม่จัดการตรงนี้เอง” วารีรัตน์เอ่ยกับลูกชายเพียงคนเดียวด้วยเสียงอ่อนโยน
“แต่ว่า…”
“ไปเถอะ เชื่อฟังแม่นะ”
“ครับ…” ดวงตาสีดำขลับน้ำตาคลอหน่วย ค่อย ๆ เดินคอตกออกจากตัวบ้านหลังใหญ่ แต่ก็ยังไม่ลืมหันกลับไปมองคนสองคนที่ทั้งรักและเกลียดออกมาห่างไกลพอสมควร ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ในใจ
อิฐวิ่งหน้าตั้งฝ่าสายฝนที่ยังคงกระหน่ำตกลงมาไม่หยุดหย่อน ก่อนพาตัวเองไปหลบอยู่ข้างโกดังไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวบ้านเท่าไหร่นัก
“ฮึก…ฮือ”
ทันทีที่เข้ามาถึง เสียงร้องประหลาดดังก็ดังแว่วราวกับอยู่ใกล้ ๆ อิฐพยายามเงี่ยหูฟังและมองหาที่มาของมัน ไม่ทันไรก็พบเด็กชายตัวเล็กกว่าเขารูปร่างอวบอ้วนกำลังนั่งขดตัวก้มหน้าร้องไห้ตัวสั่นอยู่หลังกล่องกระดาษเก่า ๆ
“เป็นอะไร ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้” เด็กชายที่กำลังก้มหน้าร้องไห้อยู่ชะงักกึก ก่อนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองดูทีละนิด เนื่องจากกลัวว่าอาจเป็นกุ๊กกู๋
“แล้วพี่ชายล่ะ เป็นอะไร” เสียงเล็ก ๆ นั่นถามย้อนเขากลับมาทั้งที่ตัวเองยังคงร้องไห้ไม่หยุด ราวกับกำลังสังเกตท่าทีอยู่เหมือนกัน
“ฉันถามนายก่อนนะ...”
“ก็แค่เจอเรื่องนิดหน่อยฮะ แต่เดี๋ยวก็ผ่านไปฮะ ถึงตาพี่ต้องเล่าให้ผมฟังแล้ว…”
“ขนาดนายยังไม่คิดบอกฉันเลย เอาเป็นว่าทุกอย่างอยู่ในบาดแผลที่นายเห็นแล้วนั่นแหละ” ทั้งคู่ต่างมานั่งอยู่ใกล้ ๆ กันราวกับกำลังปรับทุกข์ในเรื่องที่แต่ละคนพบเจอ แต่ก็ยังไม่มีใครยอมเอ่ยปัญหาที่แท้จริงออกมา เด็กชายตัวจ่ำม่ำเหลือบมองบาดแผลฉกรรจ์กลางหลังและตามตัวอีกเล็กน้อย
“เจ็บไหมฮะ” มืออวบอ้วนพยายามจิ้มเข้าไปในแผล
“ถามได้ ลองดูไหมล่ะ”
“แฮะ ขอโทษฮะ” ไม่รู้ว่าตอนไหน จู่ ๆ นัยน์ตาของอิฐเริ่มเปลี่ยนไปราวกับเอ็นดูเด็กคนนี้ขึ้นมา
“ไม่เป็นไร…”
ทันใดนั้นเด็กชายร่างอวบอ้วนก็เริ่มยุกยิก ๆ อยู่ไม่สุขเหมือนกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง ก่อนปลาสเตอร์ยาที่ดูจะผ่านสงครามมาหนักหน่วงจะถูกแกะออกมา พร้อมแปะลงบนหน้าผากเขาอย่างรวดเร็ว
“เพี้ยง! เดี๋ยวโตขึ้น ผมจะคอยอยู่ข้าง ๆ พี่เองนะ” คำพูดไร้เดียงสา แม้อิฐจะรู้ว่าไม่ควรใส่ใจ แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อประโยคดังกล่าวเปรียบเสมือนแสงสว่างสำหรับเขาไปแล้ว
“จริงนะ”
“อื้อ” อิฐยื่นปลายนิ้วนางขึ้นมาเพื่อเกี่ยวก้อยเป็นคำมั่นสัญญาเอาไว้ ก่อนเด็กชายอวบอ้วนตรงหน้าจะยิ้มแป้นพยักหน้ารับคำ
“ฝนหยุดตกแล้ว งั้นผมไปก่อนนะฮะ เดี๋ยวค่ำจะโดนดุเอา” เหมือนน้ำฝนที่ค่อย ๆ จางหายไป เมื่อช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นผ่านไปเร็วเหลือเกิน อิฐจำใจพยักหน้า มองแผ่นหลังอวบ ๆ ที่สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ดูแล้วฐานะคงไม่ดีนัก แต่กลับมีกะจิตกะใจเป็นห่วงคนอื่นอีก
“เดี๋ยว!...นายชื่ออะไรเหรอ เผื่อวันหนึ่งเจอกันจะได้เรียกถูก” คนเป็นพี่กว่าตะโกนถามลั่น
“ผมชื่อขลุ่ยฮะ!” เสียงเล็กตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใส แม้นัยน์ตาจะแลดูเศร้าไปหน่อย แต่ก็ยังคงงดงามอยู่ในความทรงจำของอิฐไม่เสื่อมคลาย
เวลาผ่านไปไม่นาน อิฐจำต้องกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ทว่าเบื้องหน้ากลับกลายเป็นภาพนองเลือดและโศกนาฏกรรมที่เปรียบเสมือนฝันร้ายที่เขาจะไม่มีวันลืม และใช่… บัดนี้เขากลายเป็นเด็กกำพร้าอย่างเต็มตัวแล้ว เหลือไว้เพียงมรดกจากสัมปทานของผู้เป็นพ่อเท่านั้น
ร่างผอมบางขดขาเกร็งอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ใบหน้าที่เคยขาวเนียนบัดนี้แลดูซูบซีดและอ่อนล้า เนื่องจากบาดแผลจากการถูกลงโทษซ้ำ ๆ อย่างสาหัสสากรรจ์ขลุ่ยประสานสองฝ่ามือบีบเอาไว้แน่น ก่อนค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดตรงนี้ลงไปบ้าง…เสียงกุกกักดังเล็ดลอดจากข้างนอก ทำให้ขลุ่ยจำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองด้วยความหวาดระแวง ก่อนรีบถอยกายห่างไปข้างหลังอัตโนมัติร่างกำยำคุ้นเคยเดินมาคนเดียว พร้อมกระเป๋าสีดำปริศนาในมือ ก่อนนั่งลงยอง ๆ พลางรวบใบหน้าที่กำลังมองเขาราวกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา“ไง อยู่ตรงนี้เหงาหรือเปล่า”“...มึงมันเหี้ย” เสียงอ่อนระโหยพูดอย่างเดือดดาล“จุ๊ ๆ จากนี้มึงคือทาสของกูเท่านั้น…”“ตอนเด็กครอบครัวของมึงไม่ได้สั่งสอนเหรอวะ! ว่าอย่าใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้!” อิฐที่กำลังรูดซิปก้มมองหาอุปกรณ์ในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกจี้จุดให้ย้อนนึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง“เรื่องของกู ไม่ต้องมาสะเออะจะดีกว่านะ…”“...สารเลว”“หึ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความรุนแรงแบบนี้ จะสั่งสอนให้มึงเชื่องได้แค่ไหน ดูจากตอนนี้ก็พอเป็นคำตอบได้แล้วนะ” มีดสั้นถูกหยิบข
…เด็กนั่นบอบบางเป็นบ้าคำจำกัดความที่อิฐมอบให้กับคนที่เพิ่งพบเจอไม่นาน หน้าตาสะสวยขนาดนั้น ผิวก็ขาวราวหยวก แถมตรอกซอยที่อยู่อาศัยก็ไม่ได้ปลอดภัยหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีนัก แต่กลับไม่เคยผ่านใครมาเสียอย่างนั้น หนำซ้ำยังอ่อนปวกเปียกอีกต่างหาก อิฐสูบม้วนบุหรี่เข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะปล่อยควันและปาลงบนผืนทรายอย่างไม่คิดใส่ใจ ร่างกำยำสวมเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงลำลองสบาย ๆ ดวงตาสีดำขลับถอดมองไปยังชายหาดที่เขาเป็นเจ้าของ พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต ใบหน้าของเด็กอวบอ้วนคนหนึ่งไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำพอ ๆ กับอดีตอันแสนเลวร้ายที่อยากจะลืมมันให้สิ้นซากผ่านไปหลายชั่วโมงพระอาทิตย์ที่เคยทอแสงสว่างเจิดจ้า บัดนี้ได้หม่นลงเพื่อเตรียมเข้าสู่ความมืดมิด ขลุ่ยที่ต้องระหกระเหินมาใช้ชีวิตในบ้านพักที่ตั้งเรียงกันอยู่ แต่ยังคงมีพื้นที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน“นี่ที่นอนของมึง ส่วนห้องน้ำอยู่ตรงนู้น” เสือที่นำทางมาส่งถึงที่พัก พลางชี้นิ้วไปยังข้างหลัง“ขอบคุณครับ” ร่างผอมบางเดินด้วยท่าทีทุลักทุเลเข้ามา ท่าทางเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ“งั้นมึงวางสัมภาระลง เดี๋ยวกูพาไปทานข้าว ไหวหรือเปล่า” “...
ขลุ่ยเดินทางมาด้วยเรือเพื่อข้ามฟากมายังอีกฝั่งของเกาะ ซึ่งอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้แห่งเดียวกัน เพียงแต่ที่ตรงนี้จะถูกตัดขาดการจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เพราะค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากแหล่งชุมชนพอสมควรนั่นก็เท่ากับว่าโทรศัพท์ก็แทบจะไร้ประโยชน์ ก่อนออกมาขลุ่ยก็ไม่ลืมเอาเงินที่ตนเองมีอยู่ทั้งหมดยกให้กับพ่อ และไม่ลืมฝากฝังป้าข้างบ้านในชุมชนเดียวกันช่วยดูแลอีกทาง“เอ๊ย! ถึงแล้ว ส่วนนี่สัญญามึง เซ็นซะ!” ขลุ่ยมองแผ่นกระดาษสีขาวที่มีตัวหนังสือเป็นข้อ ๆ ระบุอยู่ พลางกวาดตาดูรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน ก่อนจรดปลายปากกาเซ็นลงไปใบหน้าเรียวยาวได้รูปมองเรือที่จอดเทียบท่า พร้อมคนงานหน้าตาโหด ๆ ยืนอยู่เรียงราย ความรู้สึกตอนนี้แทบอยากจะกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดที่ไม่มีทางเลือกมากนักระหว่างคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าพอดี หลาย ๆ คนต่างให้ความเคารพ และคาดว่าอาจเป็นนายของที่นี่“กูชื่อเสือ เป็นลูกน้องของนายหัว เดี๋ยวกูจะพามึงไปหานาย ทำตัวให้ดี ๆ ล่ะ”“ครับ” “ส่วนพวกมึงก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ! งานไม่เสร็จไม่ต้องแดกข้าว!” เสือพูดพลางกวาดตามองดูคนงานและลูกน้องบางส
สิบปีต่อมาภายในงานวัดของจังหวัดทางภาคใต้แห่งหนึ่ง เสียงปี่กลองแหลมสูงแทรกด้วยจังหวะเร่งเร้า รัวเป็นจังหวะสลับหนักและเบากันไป ท่วงทำนองดุดันแฝงไปด้วยความขลัง ดึงดูดให้ทุกสายตาจับจ้องร่างที่กำลังร่ายรำอยู่กลางเวทีนายมโนราห์ทั้งชายและหญิงกำลังหมุนเวียนสลับกันทำหน้าที่ของตนเองเพื่อซื้อใจคนที่นั่งดูอยู่ หรือแม้กระทั่งผู้คนที่ต่างเดินผ่านไปมาทางนี้และทันทีที่เสียงดนตรีและเสียงปรบมือจบลง ทั้งนายและนางรำต่างก็เดินลงมาจากเวที พร้อมกับถอนหายใจกันอย่างโล่งอก“เหนื่อยวะ วันนี้อากาศโคตรร้อนเลย มึงไม่ร้อนหรือไงว่ะ” เป้ว่าพลางถอดเสื้อผ้าพร้อมมองออกไปยังเพื่อนอีกคน“ทำมาตั้งนานแล้ว กูชินแล้วล่ะ”“มึงชิน หรือเพราะไม่มีทางเลือกกันแน่วะ…ไอ้ขลุ่ย” คำพูดของเป้จี้ใจดำขลุ่ยเข้าอย่างจัง“ช่างมันเหอะ สักวันคงดีเองนั่นแหละ” เป้ส่ายหน้า เพราะไม่ว่ากี่ครั้งก็มักจะเห็นเพื่อนสนิทพูดแบบนี้เสมอ“งั้นมึงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูออกไปหาของหน่อย ไม่รู้ตั้งไว้ไหน”“มึงลืมอะไร เดี๋ยวกูช่วยหา”“มือถืออ่ะ แต่ไม่เป็นไร มึงรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูหาเอง แป๊บเดียว” เป้ว่าพลางเดินออกไปจากห้องแต่งตัวที่ตอนนี้
ซ่าาาา!!ยามค่ำคืนท่ามกลางเสียงท้องฟ้าคำราม ฝ่ามือของเด็กชายอายุราวสิบห้าปีคนหนึ่งกำลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อหาหนทางรอดจากคนบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าบิดาฟึ่บ! เพี้ยะ!“...แฮ่ก ผมขอโทษ” อิฐพูดขอร้องซ้ำ ๆ เสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดจากการโดนหวดกลางหลังนับครั้งไม่ถ้วน เพียงเพราะเขาทำข้อสอบไม่ได้ดั่งที่พ่อคาดหวัง“แกจะหนีไปไหน ห๊ะ!...ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำฉันขายหน้าเด็ดขาด แต่นี่อะไรผลสอบแทบจะรั้งท้ายอยู่แล้ว!”อิฐนอนขดตัวอยู่บนพื้น มองผู้บังเกิดเกล้าด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า เขาไม่เข้าใจเลยว่าการทำข้อสอบไม่ได้ตามที่หวังจำเป็นต้องลงโทษกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ!!!“ครั้งหน้าผม…” ร่างที่ยังไม่สูงใหญ่เต็มวัยกำลังเตรียมอ้าปากพูดต่อ แต่กลับได้ยินเสียงมาจากขั้นบันได มองเห็นผู้เป็นแม่รีบสาวฝีเท้าลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับโอบกอดลูกชายไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดหวั่น“คุณทำบ้าอะไร! นี่ลูกของคุณนะ!” เสียงของคุณหญิงวรารัตน์แหลมสูงคล้ายตะคอกขึ้นเล็กน้อยจากความเหลืออด แววตาฉายชัดด้วยทั้งจากความผิดหวังและเจ็บปวดขณะจ้องหน้าผู้เป็นสามีอย่างที่เธอเลือกมาเป็นคู่ชีวิตปึก!“เอานี่ดูซะ! ว่าลูกของเ
Komen