จิวซินจากไปองค์ชายห้าท่าทางครุ่นคิด
“พี่ห้าเหตุใดท่าน ถึงปล่อยให้ข้าเป็นฝ่ายผิดที่ทำเหมือนขับไล่องค์ชายใหญ่ไปจากจวน”
“ก็เพื่อให้เขาพร้อมใจ จากไปด้วยความเต็มใจอย่างไรเล่าทำไมน้องข้าถึงคาดไม่ถึง”
ตบไหล่น้องชายเบาๆ ชงไฉ่ขมวดคิ้วสงสัยในอาการของพี่ห้าแต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยปากถาม
“องค์หญิง” จิวซิน ยกมือขึ้นปิดปากจิ่นฉิน ความรู้สึกซาบซ่านแล่นเข้าสู่หัวใจของจิ่นฉิน
“ใครให้เรียกข้าแบบนี้ องค์ชายต้องเรียกองค์ชาย”
จิวซินพูดจาอ้อแอ้ปล่อยตัวตามสบายหลังจากที่พยายามตั้งสติยามอยู่ต่อหน้าองค์ชายห้าและชงไฉ่ จิ่นฉินรวบร่างบางอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกเดินย่ำไปตามทางที่มืดมิดจิวซินโอบมือรอบคอ ซุกหน้าลงบนอกภาพที่เห็นคือ บุรุษร่างบึกบึนกับอุ้มชายหนุ่มร่างอ้อนแอ้นแต่ใครจะรู้เล่าภายใต้อาภรณ์ของบุรุษนั้นได้ซ่อนร่างงามระหงหากแต่คนอุ้มไม่อาจปฏิเสธได้ว่าร่างอุ่นๆ ในอ้อมแขนเป็นร่างบอบบางของหญิงสาวอย่างแท้จริง
องค์ชายห้ายืนลูบคางตัวเองไปมาทั้งๆ ที่ไม่มีเคราอย่างใช้ความคิดเมื่อทั้งหมดจากไปกันแล้วร่วมทั้งชงไฉ่ องค์ชายใหญ่จินเกอคนนั้นไม่เคยมีใครได้เคยพบหน้าค่าตา เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเล่นตลก แต่อย่างไรเสียก็ไม่น่าจะมีความกล้ามาลบลู่เบื้องสูงฮ่องเต้ของไห่ตงหยวนได้ รึจะเพราะพิษสุราทำให้เขาเข้าใจอะไรผิดไปเขาภาวนาให้เป็นอย่างหลังดีกว่าเพราะอย่างน้อยองค์ชายใหญ่ผู้นี้กับเขาก็นับว่ามีวาสนาต่อกันเขาเองก็ถูกชะตาคิดจะคบหาเป็นสหายอีกทั้งน้องสาวของเขาองค์หญิงสิบสี่เองก็ได้ข่าวว่าหลงใหลองค์ชายใหญ่ผู้นี้ไม่น้อยเพียงพบกันเพียงครั้งนางถึงกับเอ่ยปากถามบิดาถึงเรื่องการเสกสมรสหวังจะเร่งวันเร่งคืนกันเลยทีเดียวถ้าหากเป็นการย้อมแมวจริงคนที่น่าสงสารที่สุดก็คงเป็นองค์หญิงสิบสี่
ไม่ได้การแล้วเขาเองต้องพยายามสืบหาความจริงให้ได้แต่ว่าจะด้วยวิธีไหนกัน
ชงไฉ่เดินไล่หลังจิวซินและ จิ่นฉินไปในทิศทางเดียวกันเนื่องด้วย ตำหนักเขาก็อยู่ไม่ห่างออกไป มองเห็นจิวซินซบอกกว้างใช้วงแขนคล้องคอจิ่นซินก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
“ไอ้นายกับองครักษ์คนนี้ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา ใจกระหวัดคิดถึงใบหน้างามผุดผ่องของหมิงหลิน ช่างงดงามเมื่อดอกไม้ผลิบานหลังวสันต์ฤดูเขาคงต้องหาโอกาสไม่ใช่สิต้องไปเยี่ยมเยือนตำหนักบูรพาให้บ่อยเท่าที่จะทำได้ เพื่อ...นึกถึงใบหน้ายโสขององค์ชายใหญ่ผู้มีใบหน้างดงามไม่ผิดจากหญิงสาวชงไฉ่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ชาวเหอตงหยวนไฉนช่างมีใบหน้าและผิวพรรณงดงามหล่อเหลากันทุกคนไหนจะเจ้าองครักษ์จิ่นฉินนั้นอีกใบหน้าคมคาย ผิดกับบุรุษทั่วไป
“องค์ชาย เพคะเยว่ฉีรอ เสียนาน”
ภาพตรงหน้าคือหนึ่งในหญิงงามที่ครั้งหนึ่งเขาแทบจะยอมสละทุกอย่างเพื่อนางหากแต่ตอนนี้เมื่อนางเข้ามาใช้ชีวิตในวังหลวงกับไม่ต่างอะไรกับเหล่าผู้หญิงของเขาที่วันๆไม่คิดจะทำอะไรนอกจากหาทางฉุดรั้งทุกวิถีทางให้เขาอยู่กับพวกนางไม่มีทางใดที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นหรือเป็นสุขใจเมื่อต้องอยู่กับพวกนางอีกต่อไปใจกับคิดถึงใบหน้ายโสนั้นอีกครั้งหากเป็นองค์ชายใหญ่ผู้นั้นก็คงจะยินดีที่มีหญิงสาวล้อมหน้าล้อมหลังดูจากท่าทาง ที่เป็นบุรุษเจ้าสำราญนั่นอีกเล่าคงชอบที่จะอยู่กับหญิงงามเป็นอย่างยิ่ง องค์ชายสิบสองสะลัดความคิดหมกมุ่นถึงคนผู้นั้นทิ้งไปนี่เขาเป็นอะไรไปไยต้องไปสนใจคนต่ำชั้นอย่างนั้นด้วย
จิ่นฉินวางร่างบอบบางลงบนแท่นนอนหนานุ่ม จิวซินหลับตาพริ้ม คลายเสื้อออกด้วยความที่คิดว่าคนเมาต้องอึดอัดเป็นแน่ ลืมไปสนิทว่าเขาล่วงเกินนางมากเกินไปแล้ว หมิงหลินเข้าพบพอดีคว้ามือจิ่นฉินโดยเร็ว
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”
จิ่นฉินสะดุ้งเล็กน้อยนึกโมโหตัวเองที่บังอาจล่วงเกิน นายหญิงอย่างนั้น
ฮ่องเต้ นั่งเหม่อลูบคลำกระบี่ในมือที่ด้ามของกระบี่สีทองวาววับมีลวดลายมังกรสลักชื่อเหอหยวน กระบี่ที่ดื่มเลือดอีกฝ่ายเพื่อเปลี่ยนเป็นน้ำสาบานร่วมเป็นร่วมตายกันชั่วนิรันดรและสับเปลี่ยนอาวุธคู่กายของเขามอบให้เหอหยวนคือดาบไห่หยวนส่วนกระบี่เหอหยวนอยู่ที่เขาพร้อมเคล็ดวิชา ที่ต่างฝ่ายต่างเต็มใจถ่ายทอดให้กัน
ครั้งหนึ่งเขากับเหอหยวน เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบ กับแคว้นฉีจนเป็นที่ระบือนามไปไกลหากคราใดที่มีเหอหยวนร่วมรบเมื่อนั้นความสำเร็จมักจะอยู่ไม่ไกลเขาไม่เคยห่วงชีวิตตัวเองหากแต่ห่วงชีวิตของสหายเช่นเหอหยวนเลยทำให้เขาไม่ยอมตายเพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างเหอหยวนในการรบทุกครั้งไป แต่แล้วภาพของหญิงงาม ก็ผุดขึ้นมาแทนที่เหอหยวนและเขา ต่างปักใจในนางไม่แม้แต่จะปริปากบอกสักคำว่านางจะเลือกใครแต่เขากับเป็นฝ่ายได้ครอบครองนาง แม้จะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ จนทำให้เขาและเหอหยวนตัดขาดจากการเป็นสหายกันตลอดไป
จนกระทั่งตอนนี้เปรียบเหมือนศัตรูที่ต้องคอยห้ำหั่นกันอยู่ตลอดเวลา แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแคไหนก็ตามความขุ่นมัวกับทวีความรุนแรงจนถึงขั้นรบพุ่ง และก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้น เหอหยวนจะรู้ได้อย่างไรว่าเขายังไม่เคยลืมมิตรภาพที่สูญเสียไป เหอหยวนไม่อาจอภัยให้เขาได้แต่ใครจะรู้ใจเขาเล่าว่าไม่เคยลืมคำว่าสหาย วางกระบี่ลงบนหีบอย่างถะนุถนอมจะมีสิ่งใดที่เขาจะลบล้างความแค้นในใจเหอหยวนให้หมดไปได้ ภาพใบหน้าขององค์ชายใหญ่จินเกอ ใบหน้าหมดจด ท่าทางอ่อนน้อมทว่าแววตาแข็งกร้าวไม่ต่างจากเหอหยวน เขาจะทำอย่างไรที่จะชดเชย ให้กับองค์ชายผู้นี้จนเหอหยวนพอใจเขารู้ดีว่าเหอหยวนรักบุตรคนนี้ปานแก้วตา ฮ่องเต้ถอนใจยาวหวังว่าการนี้จะไม่เสียเปล่าพร้อมกับสิ่งที่เขาคิดไว้ว่าจะ ชดเชยให้เหอหยวนเรื่ององค์รัชทายาท องค์ชายสิบสอง
“ร่างราชโองการส่งไปยังแคว้น เหอตงหยวน”
เสียงสำทับบอกแก่ข้าหลวงหน้าพระพักตร์ ใบหน้าคลายกังวลลงไปไม่น้อยหวังว่าครานี้จะชดเชยให้แก่สหายเก่าจนความแค้นเคืองหมดสิ้นไป
จิวซินสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากหลับใหล หอมกรุ่นกลิ่นโจ๊กลูกบัวทำจมูกฟุดฟิดลืมกิริยาของบุรุษจนหมดสิ้น
“หมิงหลิน ข้าหิวแล้ว” แต่ฉับพลันเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เปลี่ยนเสียงพูดและกิริยาน่ารักให้หายไป กลายเป็นน้ำเสียงดุดัน
“เข้ามานี่หน่อย หมิงหลิน”
หมิงหลินอมยิ้ม เยื้องย่างเข้ามายกน้ำอุ่นเทลงอ่างอาบน้ำใบใหญ่ปิดหน้าและห้องหับเสียมิดชิดผ้าม่านถูกนำมาขึ้งกันถึงสามชั้น จิวซินเปลื้องผ้าลงไปนอนแช่น้ำอุ่นผมยาวสลวย สยายลงกลางหลังใบหน้าผุดผาดประทุมถันเต่งตึงหน้าท้องเรียบเนียนสวยไร้ที่ติ ผิวขาวอมชมพูจนหมิงหลินเป็นผู้หญิงยังถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อเผลอมองแบบตรงๆ นายหญิงของนางไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้นหากแต่ใต้หล้านี้คงจะหาใครเทียบเคียงนางไม่
จิวซิน เปลื้องผ้าลงไปนอนแช่น้ำอุ่นผมยาวสลวย สยายลงกลางหลังใบหน้าผุดผาดประทุมถันเต่งตึงหน้าท้องเรียบเนียนสวยไร้ที่ติ ผิวขาวอมชมพูจนหมิงหลินเป็นผู้หญิงยังถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อเผลอมองแบบตรงๆ นายหญิงของนางไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้นหากแต่ใต้หล้านี้คงจะหาใครเทียบเคียงนางไม่“พอแล้วหมิงหลินเจ้าออกไปเถอะข้าเพียงต้องการ แช่น้ำอุ่นเพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น”หมิงหลินขยับตัวคารวะก่อนจะถอยห่างออกไปด้านนอกจิวซินครุ่นคิดถึงแผนการที่นางวางขึ้นอย่างแสนจะเร่งรีบนั้นแม้จะไม่รัดกุมหากแต่ก็ยากที่ใครจะพบจุดบกพร่อง ตอนนี้จินเกอองค์ชายใหญ่หายตัวไปลึกลับ ตัวจิวซินเองก็มีหลายคนที่รู้แต่เพียงว่านางป่วยด้วยโรคประหลาดใบหน้าเสียโฉมจนต้องปิดบังใบหน้าไว้บัดนี้นางยังเก็บตัวเงียบอยู่ที่เหอตงหยวนไม่พบปะผู้ใดหลับตาลงช้าๆ เอนหลังพิงขอบถังไม้ใบใหญ่ต่อแต่นี้ต้องเริ่ม แผนการขั้นต่อไป ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ของสองแคว้นแล้วยิ่งหากองค์ชายใหญ่ปฏิเสธองค์หญิง14อีกยิ่งกลับทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปกว่าเดิมหลับตานิ่งหายทางหนีทีไล่คิดว่าอีกไม่กี่มากน้อยไห่ตงหยวนต้องจับได้ถึงสิ่งที่จิวซินทำอยู่ตอนนี้เมื่อนั้นทุกอย่างยิ่งต้องเลวร้ายกว่าเดิม
จิวซินเร้นกายเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าคราวนี้ม่านถูกนำมากลางกั้นรอบทิศทางฮุ่ยโม๋เดินมือไพล่หลังด้วยท่าทีเรียบเฉยปราศจากพิรุธ แต่ทว่าใบหน้า และแววตาตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด“ข้าบังเอิญผ่านมา ได้ยินเสียงเอะอะ” ตีสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างประหลาด จิ่นฉินเหลือบตามองมีดสั้นที่ด้ามโผล่พ้นชายเสื้อของฮุ่ยโม๋อย่างที่ฮุ่ยโม๋ไม่ทันได้ระมัดระวังตัว“มีคนร้าย ...ผู้บุกรุกขณะที่องค์ชายของเรากำลังแช่น้ำ” องค์ชายห้ากระตุกยิ้มที่ริมฝีปาก หมิงหลินเอ่ยคำสายตาคมดุจพญาเหยี่ยวเหลือบตามองหมิงหลินเพียงครู่ความคิดว่องไวปานสายฟ้า หญิงรับใช้คนนี้ ใบหน้าหมดจดงดงาม คงเป็นสาวใช้ที่ถูกกล่าวถึงเป็นแน่ องค์ชายสิบสองนิยมหญิงงาม“องค์ชายใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ชงไฉ่จับน้ำเสียงได้ถนัดชัดเจนพี่ห้าไม่เคยสนใจผู้ใดมาก่อน วันๆเอาแต่ฝึกวิทยายุทธจนซ่ำซองหากแต่วันนี้กับมีความห่วงใยออกมาให้เห็น“พี่ห้า ใจตรงกันท่านเพียงแค่ผ่านมาหรือว่าจงใจกันแน่” จิ่นฉินรู้สึกว่าคำถามที่เขาอยากถามโดนชงไฉ่เอ่ยไปก่อน“ข้าเพียงแค่ลัดเลาะเรื่อยเปื่อยบังเอิญนึกขึ้นได้ว่าองค์ชายใหญ่เมาหนักตั้งแต่เมื่อคืนป่านนี้จะสร่างหรือยัง”
“ข้ากับท่านถือว่าเสมอกันคราวนี้ข้ายอมให้ท่านเนื่องด้วยคราวก่อนกระบวนท่าเหนือกว่าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้คราวนี้แม้เป็นการต่อสู้เพื่อความบันเทิงหากแต่ข้าก็ถือว่าข้าเพลี่ยงพล้ำหากฝึกฝนให้มากกว่านี้ท่านก็คงนำหน้าข้าไปอยู่ดีหากท่านฝึกฝนเคี่ยวกรำเหมือนกัน”“นับว่าเป็นความพยายามที่น่าชื่นชมน้องสิบสองเจ้าต้องจำคำขององค์ชายใหญ่ไว้ผู้ที่อยู่เหนือกว่าหากฝึกฝนย่อมเหนือกว่า” จิวซินยิ้มละลายความขุ่นเคืองไปสิ้นทุกอย่างที่ทำเพื่อไห่ตงหยวนหาใช่ตัวเองไม่ราชโองการถูกส่งยังเหอตงหยวนอย่างเร่งด่วนอาชาทะยานป่านลูกธนูเข้าสู่เป้าหมายเหอหยวนกำมัดทุบลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่นเมื่อขันทีอ่านราชโองการจบลง“ไห่หยวนเจ้าไม่เหลือทางเลือกใดให้ข้าแม้สักเพียงนิด องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง” ถามไถ่ถึงจิวซิน“องค์หญิงยังพำนักอยู่ในตำหนักด้วยอาการป่วยด้วยโรคประหลาดฝ่าบาท” เหอหยวนถอดหายใจก่อนจะส่งเสียงไอออกมาสองสามทีด้วยอาการป่วย เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าจิวซิน ไม่ได้อยู่ที่นี่นางอาสาจากไปพร้อมกับแบกรับความทุกข์ระทมของเขาไว้ ราชโองการของไห่หยวน กดดันเหอหยวนยิ่งนักคนผู้นี้ไม่อาจจะนับเป็นสหายหรือเยื่อใยที่มีต่อกันจะคงอยู่อีกต่อไปจิ่น
จิวซินยิ้มกว้างแสดงความจริงใจ เลียนแบบฮุ่ยเจินองค์ชายสิบสามกับรู้สึกว่าใจไหววูบกับยิ้มกว้างเปิดเผยหมดจดนั้นสร้างมิตรดีกว่าผลิตศัตรูองค์ชายห้ากับองค์รัชทายาทและองค์หญิงสิบสี่ เดินมาถึงพร้อมกัน“ไยยิ้มกว้างเช่นนั้นเจ้าสิบสาม” ชงไฉ่เอ่ยปาก“หากพบสหายรู้ใจมีอุดมการณ์เดียวกัน (อุดมการณ์ต่อต้านบุรุษกล้าแกร่งผู้ที่เก่งกล้าทั้งบุ้นและบู๋) ข้ายอมยิ้มได้กว้าง” องค์ชายสิบสามต่อคำองค์หญิงสิบสี่เดินเข้าไปเกาะแขนจิวซินแน่น“องค์ชายใหญ่ข้าแวะมาชวนท่านออกไปเที่ยวย่านค้าขายนอกวัง” จิวซินตบมือบางขององค์หญิงเบาๆ ยิ้มหวานดวงตาเป็นประกายตามแบบที่ฝึกฝนมา องค์ชายห้าฮุ่ยโม๋กับองค์รัชทายาท มองท่าทางกรุ้มกริ่มของจิวซินอย่างขัดตา“องค์ชายใหญ่ไม่ต้องตามใจนางให้มาก” องค์ชายสิบสามเหน็บแนมเพราะรู้นิสัยเจียวซือดีหากได้ก็ต้องได้ยิ่งๆขึ้นไป องค์หญิงสิบสี่แลบลิ้นให้องค์ชายสิบสาม“เจ้าก็เอาแต่ใจจนเคยตัวข้ากำลังจะชวนองค์ชายใหญ่ยังลานธนูเสด็จพ่อประทับรอที่นั่นเพื่อชมการยิ่งธนูขององค์ชายใหญ่ ข้าเชิญท่านที่ลานธนู” องค์ชายสิบสามหันมายกมือประสานกันตรงหน้าจิวซิน องค์หญิงสิบสี่ทำเสียงจิจ๊ะขัดใจ“เช่นนั้นข้าขอตัวคารวะฮ่องเต้
“ฝ่าบาททรงไตร่ตรอง ข้าจิ่นเกอ แม้จะเก่งกล้าเพียงใดก็แค่เพียงธนูแต่ฝีมือกระบี่กลับไม่สามารถเอาชนะองค์รัชทายาทได้เป็นฝ่ายที่ต้องเพลี่ยงพล้ำ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ชงไฉ่เหลือบตามองจิวซิน นึกชื่นชมที่กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ยกตนข่มท่าน“คราวก่อนที่ข้าเห็น เจ้าสิบสองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำมิใช่หรือ”“อาจเป็นเพราะน้องสิบสองตั้งใจฝึกฝน จึงสามารถเอาชนะองค์ชายใหญ่ที่เยี่ยมยุทธ์ได้” ฮ่องเต้ยิ้มพึงใจกับคำกล่าวนั้น“เจ้าสิบสองมิเสียแรง บัดนี้องค์ชายใหญ่ มาอยู่ที่นี่ในฐานะราชบุตรเขย ทำให้ข้ารู้สึกสำราญใจ หนำซ้ำยังสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่พวกเจ้าเหล่าองค์ชายองค์หญิงในทางที่ดีเช่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในไม่ช้าเมื่อเจ้าขึ้นนั่งบัลลังก์ ข้าได้มีบัญชาถึงเหอตงหยวนเรื่องการทาบทามองค์หญิง..จิวซิน...ธิดาคนเล็กมา รั้งตำแหน่งฮองเฮาแก่เจ้าเพื่อสานสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าคิดอ่านเช่นใด ชงไฉ่” ชงไฉ่อ้าปากค้าง องคืชายสิบสามรีบสะกิดเพื่อให้ชงไฉ่ไม่เผลอทำตามใจจนไห่หยวนไม่พอใจ“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุด หากสิ่งใดที่เสด็จพ่อเห็นสมควรลูกมิขัดข้อง” ”ชงไฉ่พูดไปตามสิ่งที่ควรพูดจิวซินรู้สึกหูอื้อตาลายเกือบจะเผลอตัว
จิวซินเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองพลาดเสียแล้วด้วยมารดาของจิ่นเกอจริงๆ นั้นไม่ชอบการรบพุ่งนางเป็นหญิงงามที่เพียบพร้อมและอ่อนหวานผิดกับมารดาของจิวซินที่เป็นหญิงชาวบ้าน ถนัดการท่องเที่ยวล่าสัตว์บนหลังม้าด้วยธนู“ข้าฮุ่ยโม๋อยากเห็น มารดาขององค์ชายใหญ่ยิ่งนัก นางคงทั้งงดงามอ่อนหวานและองอาจในเวลาเดียวกันไม่ต่างจากองค์ชายใหญ่” คำชมที่เผลอไผลออกไป ซึ่งตรงกับใจของชงไฉ่ที่คิดว่ามารดาขององค์ชายใหญ่จิ่นเกอผู้นี้คงเป็นหญิงงามอย่างที่สุดด้วยใบหน้าหวานดั่งหญิงสาวขององค์ชายใหญ่ทำให้ไม่อาจคิดเป็นอื่น“พี่ห้ากับเสด็จพ่อลูกขอตัวองค์ชายใหญ่ของลูก เพื่อพาลูกไปเดินเที่ยวนอกวังกันองค์ชายใหญ่จะได้เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง” เจียวซือคล้องแขนจิวซินแน่น ฮ่องเต้พยักหน้าตามใจบุตรสาว จิวซินเชื้อเชิญให้เจียวซือนำหน้าไปก่อนชงไฉ่ ฮุ่ยโม๋และฮุ่ยเจินขยับตัวออกเดินตามไป“ลูกลาท่านพ่อ เราทั้งสามจะตามน้องสิบสี่และองค์ชายใหญ่ยังนอกวัง” องค์ชายห้าเป็นตัวแทนกล่าวคำลา ฮ่องเต้มองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาประหลาดนานครั้งที่เขาจะเห็นว่าเหล่าองค์ชายและองค์หญิงจะพร้อมใจกันทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นี่หมายความว่าเป็นนิมิตหมายอันดี หากองค์ชายใหญ่สามารถใช้
“ไยต้องกลั่นแกล้งกันถึงเพียงนี้”“เพียงเพื่อเจ้าต้องการเหยียบย่ำใครให้จมพื้นธรณีจึงมีเพียงหนทางบีบบังคับให้จนตรอกอยู่ไม่สู้ตายเท่านั้นที่เขาเร่งกระทำเพื่อความสาใจ”“เช่นนั้นท่านพ่อจึงให้ลูกไปเถิดเมื่อความจริงปรากฏว่าองค์หญิงแห่งไห่ตงหยวนต้องแต่งงานกับลูกซึ่งเป็นหญิง ความอับอายมิอาจปิดบังได้เมื่อนั้นท่านพ่อก็จะเป็นฝ่ายสาใจไม่แพ้กัน” เหอหยวนครุ่นคิด“ตั้งใจแต่งองค์ชายใหญ่ไปเป็นราชบุตรเขยเพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวเรื่องในราชสำนักและการปกครองตั้งใจรวบรวมสองแคว้นรุ้ทั้งรุ้ว่าข้ามีองคืชายใหญ่เพียงคนเดียวที่จะสืบทอดบัลลังก์เหอตงหยวน”“ให้ลูกไปเพื่อไห่ตงหยวนจะได้อับอาย”ความสำพันธ์ของเขาและไห่หยวนขาดสะบั้นนานแล้วเฝ้าห้ำหั่นกันมานานปีจนบัดนี้พ่ายแพ้แต่ความแค้นเคืองยังคงอยู่“เช่นนั้นเราจะถูกครหาว่าหลอกลวง”“การให้ได้มาซึ่งความสาใจมิใช่จะกระทำสิ่งใดก็ได้ไม่มีกฎเกณฑ์ลูกแบกรับคำครหาไว้เพียงผู้เดียวคราวใดที่ถูกจับได้ลูกพร้อมยอมตายเพื่อให้ความผิดยังอยู่กับลูกตลอดไป” เหอหยวนรู้สึกใจหายกับคำกล่าวของจิวซิน ถึงจะรู้สึกว่านางเป็นลูกสาวซึ่งไม่สมควรจะได้รับความรักเท่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอหากแต่ ความรู้สึกผูกพันย
เจียวซือรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยในอ้อมแขนของบุรุษผู้นี้จิวซินเหลือบตามองจนทั่วศัตรูมากหน้ารายล้อมปลายกระบี่ชี้ลงเบื้องล่างเพียงพริบตากลับตวัดขึ้นฟาดฟันบุรุษไร้ยางอายที่รุมล้อมแกเช่นฝูงหมาป่ากระหายเลือดที่จ้องฉวยโอกาสเมื่อพลาดพลั้ง จะเป็นใครไม่สำคัญเมื่อชักกระบี่ใส่แล้วมันก็คือคู่ต่อสู้ น้ำน้อยไม่อาจเอาชนะไฟได้เช่นไรจิวซินก็ไม่อาจอยู่เหนือฝูงหมาป่ากระหายเลือดได้ร่างบางแม้เพียงขยับก็ถูกคมกระบี่เชือดเฉือน แม้มิใช่จุดสำคัญแต่ความเจ็บปวดทวีคูณ สุดจะทานทน ร่างบางเกือบจะทรุดลงกับพื้น ชิงซายังไม่ส่งสัญญาณให้หยุด ด้วยอคติส่วนตัวชิงซากลับคิดว่าปล่อยให้จิวซินได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเสียบ้าง รอยยิ้มเยาะหยันที่ริมฝีปากเหยียดหยันน่ารังเกียจ ดวงตาพร่ามัวเนื่องจากเลือดในกายไหลนองสติเกือบจะดับวูบ ร่างหนึ่งทะยานดังมังกร กระบี่ในมือกางกั้นปกป้องฟาดฟันเหล่าบุรุษรายล้อม ชิงซาตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือ องค์ชายสิบสองหอบร่างบางทะยานหนี แต่กลับถูกไล่ตาม ชิงซาไม่ทันส่งสัญญาณให้ยุติการทำร้ายพวกมันหาได้สนใจว่าเป็นผู้ใดยังคงไล่ตามไม่ลดละชงไฉ่ พาจิวซินที่บอบซ้ำหลบหลีกพัลวัน ไม่รู้แน่ช
“ข้ามาลาท่านทั้งสอง บัดนี้ทุกอย่างสงบเรียบร้อยกงกง ถูกตัดสินโทษประหาร ขุนนางทั้งหลายสวามิภักดิ์กับฝ่าบาทอย่างจริงใจ ขุนนางนอกลู่นอกทางถูกกำจัด ฮุยเจินไม่ใช่พี่ห้าฮุยโม๋ที่จากไปไร้คำล่ำลา” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากบาง“น้องสิบสามเจ้าช่างเหน็บพี่ห้าหากเขายังอยู่ที่นี่ไม่สู้เจ้าต้องโดนฝ่ามือซัดเข้าเป็นแน่”“ฝ่าบาท และฮองเฮา ฮุยเจินขอให้ท่านทั้งสองครองคู่กันตราบนิรันดร์มีองค์ชายน้อยเมื่อไหร่ส่งข่าวให้ ข้าทราบด้วย” ชงไฉ่ประคอง จิวซินให้หันหน้าไปทางฮุยเจิน“เจ้าสิบสามเจ้าดูสะใภ้ เจ้าสิ เอาแต่เมินเฉยไม่สดใสเช่นนี้นางจะมีแก่ใจมีประสูติกาลองค์ชายน้อยให้ข้าหรือ”“ฮุยเจินเชื่อว่าท่านทั้งสองเพียงแค่ใกล้ชิดกันอีกไม่นานเหกินรอ จริงไหมพี่สะใภ้”จิวซินยิ้ม“ข้าขอเวลาลืมเรื่องเจ็บช้ำทั้งหมดที่ไม่อาจปล่อยวางรวมทั้งเรื่องของเสด็จพ่อ และเหอตงหยวน”“หลายอย่างแม้จะขุ่นเคืองแม้จะยังไม่เข้าใจแต่อีกไม่นาน ข้าเชื่อว่าด้วยความจริงใจและความรักที่ฝ่าบาทมีต่อพี่สะใภ้จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย”“ข้าต่อแต่นี้สัญญาว่าจะดูแลและรักเจ้า เพื่อชดเชยสิ่งที่เจ้าเสียไป” สบตาจิวซินนิ่งไม่สนใจว่าฮุยเจินอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งฮุยเจ
กงกงเฒ่าแสยะยิ้มน่าเกลียด“ดีดีฝ่าบาท พระทัยกว้างดั่งแม่น้ำ เช่นนั้นแล้วข้ากงกงคงไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกแล้ว” กระชากผมของจิวซินให้ลุกขึ้นจิวซินกัดฟันแน่นแม้จะรู้สึกเจ็บปวด จินฉิ่นและชงไฉ่สะอึกเข้าใส่“ไม่มีเหตุผลใด ที่ข้าจะปล่อยนางไปรวมทั้งฝ่าบาทและเจ้า” ชี้มือไปที่จินฉิ่น“เจ้าคนทรยศ” มีดสั้นถูกจ่อที่คอหอยของจิวซิน“กงกงท่านปล่อยนางเสีย ข้าพร้อมแล้ว” จินฉิ่นปาดกระบี่คมกริบลงบนคอของตัวเองอย่างไม่รอช้า ชงไฉ่ถลาเข้าแย่งกระบี่เสียงอึกอักแววตาเศร้าสร้อยเหลือบมองจิวซินชึ่งบัดนี้ดิ้นรนสะบัดตัวพร้อมกับเสียงร้องห้ามไม่ให้จินฉิ่นทำเรื่องที่คาดไม่ถึง” กงกงปล่อยจิวซินลงไปกองกับพื้นจิวซินทรุดตัวลงข้างจินฉิ่นที่นอนนิ่งส่งเสียงอึกอักฟังไม่ได้ศัพท์ น้ำตาร่วงรินจากดวงตาของจิวซินเป็นสายจินฉิ่นฝืนยิ้ม“องค์หญิงจินฉิ่นผิดจนไม่อาจอภัย อยุ่ข้างกายท่านเพื่อคอยส่งข่าวคราวให้กับกงกงความผิดนี้มีเพียงโทษตายเท่านั้น”“ไม่ไม่ไม่ ข้าแทบไม่เหลือใครแล้วท่านยังทิ้งข้าได้ลงคอ”“องค์หญิงมีฝ่าบาทมี จิ่นเกอพี่ใหญ่ของท่าน ฮุยโม๋และฮุยเจินที่รักหวังดีกับท่านความเจ็บปวดและแค้นเคืองใดใดขององค์หญิงของให้ตายไปกับจินฉิ่น ข้ารู้ด
“ท่านประเมินเราต่ำไปหรือเปล่า” กงกงเฒ่าขมวดคิ้วองครักษ์ที่เคยภักดีบัดนี้กลับแปรพักตร์ ล้อมกรอบใกล้ชงเข้ามาเรื่อยๆ บุรุษร่างกายกำยำกระชากลากถูร่างหนึ่ง เข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้าชงไฉ่ เขม่นมอง จิวซินอ้าปากค้างนึกสงสารเยว่ฉีขึ้นมาทันใด เยว่ฉีที่ถูกปิดปากสนิทไม่ให้ส่งเสียงกงกงเฒ่าแสยะยิ้มกระชากผม เยว่ฉีให้เงยหน้า“ฝ่าบาท พระชายาที่ฝ่าบาทลืมเลือนที่ฝ่าบาทไม่ต้องการข้ากงกงอาสาจัดการนางให้แล้วขอเพียงฝ่าบาท มอบบัลลังก์สูงส่งของไห่ตงหยวนแก่ข้า” เยว่ฉีน้ำตาไหลพราก มองชงไฉ่ด้วยความรู้สึกเจ็บซ้ำ“เจ้าก็รู้ว่าข้าชงไฉ่ไม่เคยมีใจให้นางมาก่อน” ขอเพียงถ่วงเวลาไว้ก่อนแม้ไม่มีใจก็ใช่เขาต้องการให้นางตายแต่ช้าไปเสียแล้วมีดสั้นคมกริบในมือตวัดเพียงสายลมผ่าน เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาจากลำคองามระหงไร้การร่ำลาใดใดจากเยว์ฉี ชงไฉ่เบิกตาโพลงคาดไม่ถึงว่ากงกงเฒ่าจะกล้าลงมือทั้งๆ ที่เลี้ยงดูเยว่ฉีมาแต่เล็ก เยว่ฉีทรุดกายลงพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ยังไหลรินชงไฉ่ซ้อนร่างของเยว่ฉีไว้ จิวซินเผลอตัวลุกขึ้นผลักกงกงเฒ่าเต็มแรงจนเซทรุดลงไป ดีที่องครักษ์ชั่วหลายคนรับไว้ทันมือสั่นเทาด้วยความโกรธชี้หน้าจิวซิน“จับนางไว้ ข้าจะให้นางไ
สวมกอดอีกครั้งทว่าครั้งนี้หยาดน้ำตานองหน้าคราวนี้ชงไฉ่ไม่แกะมือออก“เจ้าไม่คู่ควรกับหัวใจรักของข้าในเมื่อทุกสิ่งที่เจ้าทำล้วนทำไปด้วยความริษยาและเห็นแก่ตัว”“ฝ่าบาทยังไม่ตอบหากเยว่ฉี....หายไป”“หากเจ้าหายไป ในหัวใจข้าไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเอง ข้า...ไม่เคยรู้สึกอะไร” เยว่ฉีหยุดสะอื้นไห้ประเมินคำตอบที่ได้รับผิดไป ผู้คนบางคนเขาดีกับเราเพียงแค่ เขาเป็นคนดีหาใช่เขารู้สึกดีกับเราไม่“ปล่อยข้าเถิดเยว่ฉี ในเมื่อข้าไม่มีใจให้เจ้าเหตุใดต้องเหนี่ยวรั้งข้าให้หัวใจเจ้าเจ็บปวด” คราวนี้เยว่ฉีกับสะอื้นหนักกว่าเดิมชงไฉ่ยกมือขึ้นโอบไหล่เยว่ฉี“ข้าไม่กล่าวโทษไม่ตำหนิไม่ลงโทษเพียงแค่เจ้า หยุดคาดหวังในตัวข้า...หยุดรอ...หยุดทำทุกอย่างเพื่อให้ข้าไม่พอใจมากไปกว่านี้เรื่องราวที่ผ่านมาข้าจะปล่อยมันไปกับความทรงจำที่หายไป” จิวซินเดินเลาะเลีบยออกมาข้างนอกมือข้างหนึ่งชูขึ้นรองรับเกล็ดหิมะบางเบามือบางสีแดงระเรื่อด้วยความหนาวเย็น เสื้อคลุมสีงาช้างงดงามขับผิวนวล บรรยากาศรอบตัวแม้ชวนให้ล่องลอยทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าชงไฉ่โอบกอดเยว่ฉีที่สะอื้นไห้กับทำให้จิตใจห่อเหี่ยว ไม่มีวาจาใดใดหลุดออกมามีเพียงการหันหลังเดินกลับไปยังท
"ไม่ช้าเจ้าก็จะได้รู้ว่าทุกอย่างที่ข้าทำ หาใช่การจงใจไม่แต่เป็นเพียงความโง่งมที่ไร้ซึ่งเจ้าคอยบงการ"ชงไฉ่ไม่อาจหลีกหนีคำว่า ผิดต่อจิวซินไปได้ก็ในเมื่อเขาเองที่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในวังวนของความทุกข์จนเปิดโอกาสให้เยว่ฉีสามารถทำให้เขาตกเป็นทาสของพิษลืมเลือนได้อย่างไม่ยากอาภรณ์บุรุษของจิวซินที่เขาเก็บไว้อย่างดีถูกเยว่ฉีนำไปเผาทำลายความคับแค้นใจนี้ชงไฉ่ไม่อาจให้อภัยเป็นสามีภรรยยากันเจ็ดชาติต้องรอถึงอีกร้อยปีกว่าจะได้เป็นภรรยากันอีกครั้งชงไฉ่คิดว่าเขากับเยว่ฉีหมดวาสนาต่อกันแล้ว คงต้องรออีกร้อยปีถึงจะกลับมาเป็นสามีภรรยากันอีกครั้งเรียกว่าสิ้นรักหรือไร? ....หรือว่าเขาไม่เคยรักนางความรักกับหลงต่างกันอย่างไรความหลงอยากครอบครองยึดเหนี่ยวเป็นเจ้าของ ไม่สนใจคำห้ามปรามหรือทัดทานหากความรักคือการ ยอมทุกอย่างเพื่อให้เขาเป็นสุขและอยากเห็นรอยยิ้มของคนที่รัก รอยยิ้มนั้นย่อมทำให้เขามีความสุขความรักคือการ ทนรอคอยแม้เขาไม่แยแส ความรักทำให้โลกที่หม่นเศร้าสดใส ความรักทำให้ใบหน้าอมทุกข์กลับกลายเปี่ยมสุขในชั่วพริบตาความรักไม่อาจบรรยายได้ภายในเวลาอันสั้นหากแต่เขารับรู้ว่ามันมากมายจนคณานับได้ท่วมท้นอยู
“ไม่ไม่ไม่..ไม่ ข้าคือเลี่ยงเฟิ่งที่สามารถทำทุกอย่างตามใจตัวเอง....ไม่ใช่จิวซิน” ลืมตาตื่นเวลาดึกสงัดชงไฉ่ฟุบหน้าข้างๆ แท่นนอนกุมมือของจิวซินไว้แน่น อากาศข้างนอกหนาวเหน็บชงไฉ่ขยับตัวกอดอกด้วยความหนาวลืมตามองจิวซิน“เจ้าได้สติแล้ว” ชงไฉ่ลนลานรินชาใส่ถ้วย พยุงจิวซินลุกขึ้น จ่อถ้วยชาที่ริมฝีปากจิวซินเหลือบตามองก่อนจะจิบชาช้าๆ ชงไฉ่ยิ้มใช้มือปัดเส้นผมที่ลงมาละใบหน้างาม“นอนไปเสียนานจนข้าใจหายว่าเจ้าจะไม่ฟื้น จิวซินยังคงนิ่ง“เจ้ารู้ไหม ฟู่โม๋ติดตามมาที่นี่เพื่อ มาหาเจ้าโดยเฉพาะ” แววตาเป็นประกายตื่นเต้นชงไฉ่หลุบตามองพื้นรู้สึกน้อยใจ“ฟู่โม๋อยู่ที่ไหน ฟู่โม๋แต่เดิมเป็นคนของไห่ตงหยวนบัดนี้เมื่อเจ้าไม่สบายเขากำลังต้มยาให้เจ้าอยู่” จิวซินพยักหน้าชงไฉ่คิดถึงคำพูดของฮุยโม๋ที่ให้เขาปิดบังตัวตนของฮุยโม๋เพื่อว่าจะได้ขุดรากถอนโคนขันทีเฒ่าที่มีอำนาจล้นมือในตอนนี้และค่อยๆ พยายามฟื้นความทรงจำของจิวซินไปพร้อมกับยาของฮุ่ยโม๋“ฟู่โม๋ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา จะคิดค้นยาถอนพิษชนิดต่างๆ โดยที่ฮุยเจินคอยสนับสนุน เราอยู่ที่เหอตงหยวนแม้จะไม่สบายนักแต่ว่าก็มีสุขไม่น้อยสหายแสนดีอย่างฮุยเจิน คอยสนับสนุนเราสองคนทุกอ
“ฝ่าบาทหยู่เยียนอยู่ที่นี่แล้ว” ชงไฉ่ลืมตาขึ้นขึ้นช้าๆ จ้องมองหยู่เยียน ก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งดึงมือออกจาการเกาะกุม หยู่เยียนตกใจ“เจ้าเป็นใครชิงซา นำนางออกไป” เสียงประตูเปิดออกตามแรงตวาดของชงไฉ่ที่บงบอกอารมณ์ว่าโมโห ชิงซาลนลานเข้ามาข้างในเมื่อเห็นว่าหยู่เยียนอยู่ตรงนั้นก็คุกเข่าลงทันที“ฝ่าบาทข้าน้อยสมควรตาย”“นำนางออกไปเดี๋ยวนี้”“นางผิดอะไรอย่างรังแกนางอีกเลย” เลี่ยงเฟิ่งปกป้องหยู่เยียนซึ่งบัดนี้มองมาที่เลี่ยงเฟิ่งเพื่อขอให้ช่วยชงไฉ่หันหน้ามองไปที่เลี่ยงเฟิ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไป ชงไฉ่ถลาเข้าไปโอบกอดเลี่ยงเฟิ่งด้วยความรู้สึกรักและถวิลหา“จิวซินเจ้าอยู่นี่แล้ว เจ้ายังไม่ตายข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน” เลี่ยงเฟิ่งตัวแข็งทื่อ ยังงงงันกับคำกล่าวของชงไฉ่“ใครกันจิวซิน” แววตาขมขื่น“จิวซินก็คือเลี่ยงเฟิ่ง เจ้าคือจิวซินของข้า” เลี่ยงเฟิ่งถอยห่างออกมาช้าๆชงไฉ่ยังคงกอดเลียงเฟิ่งไม่ยอมปล่อย“เจ้าลืมเลือนข้าไปเสียสิ้นแล้ว บอกข้าทีว่าเจ้าคือจิวซินคนเดิม ของข้า”“ข้าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเลี่ยงเฟิ่งที่ถูกฝ่าบาทหลอกลวง หาใช่แม่นางจิวซินที่แม้แต่ยามไม่ได้สติฝ่าบาทยังพร่ำเพ้อถึงนางคนนั้นไม่”“ไย
เยว่ฉีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโมโหสุดขีดทว่าไร้การโต้ตอบ ชิงซาเสียอีกกลับสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ แววตาดั่งเปลวไฟของเยว่ฉีไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลี่ยงเฟิ่งเข้าไปข้างใน ฟู่โม๋ใช้ผ้าปิดหน้าไม่ให้เห็นใบหน้าส่วนล่างมีเพียงตาคมกริบที่ให้เห็น แสดงอาการดีใจที่เห็นเลี่ยงเฟิ่ง แต่เลี่ยงเฟิ่งหาสนใจเขาไม่ถลายังแท่นนอนซึ่งบัดนี้ชงไฉ่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น ใจของฟู่โม๋ไหววูบ เลี่ยงเฟิ่งไม่แม้แต่ชายตามองเขา“ฝ่าบาท ท่านเป็นอะไร” ประโยคคำถามที่ไม่ได้คำตอบ ฟู่โม๋ขยับตัวจะตอบแต่ทว่าบางอย่างบอกเขาให้เงียบเดินหลบออกมาช้าๆ ดวงตาเศร้าหมอง ชิงซามองด้วยสายตาที่เข้าใจบางอย่างแจ่มแจ้ง หากจะเห็นใจใครสักคนคนนั้นควรจะเป็น ฝ่าบาท หรือว่าเขาควรจะเห็นใจทุกผู้ทุกคนรอบกายชิงซาถอนใจเบาๆเลี่ยงเฟิ่งกุมมือ ชงไฉ่แน่นน้ำตาร่วงกราว ชงไฉ่หลับตาสนิทไม่มีทีท่าจะได้สติกลับมา“แม่นางเลี่ยงเฟิ่งฝ่าบาททรงพระประชวรด้วยฤทธิ์ยาถอนพิษร้ายในตัวฝ่าบาท ที่สะสมมานาน”“พิษอะไร”“พิษชนิดนี้เราเรียกมันว่าพิษลืมเลือนทำให้ผู้ที่ถูกพิษไม่สามารถจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตได้ หากไม่ได้รับยาถอนพิษแต่พิษชนิดนี้อยู่ในร่างกายฝ่าบาทมานานการถอนพิษจึง
หันมองชิงซาที่พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของฮุยโม๋“ข้ากลัวเหลือเกิน ว่าจะลืมเลือนใครบางคน” ชิงซายิ้มอ่อนโยน“ฝ่าบาทเชื่อใจพี่ห้าของพระองค์เถิด ครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องจบลงโดยดี”“ทุกอย่างที่ทำเพราะพี่ห้าหวังดีฝ่าบาทโปรดวางพระทัยและเชื่อใจในพี่ห้าคนเดิมของฝ่าบาทด้วย”ชงไฉ่กรอกยาลงไปในลำคออย่างรวดเร็วเหมือนกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ ต่อจากนั้นบังเกิดความปั่นป่วนจนแทบทนไม่ไหว สมองเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ใช้มือกุมศีรษะจนล้มลงทั้งยืนความทรงจำเก่าใหม่วิ่งแล่นอยู่ในหัว ฮุยโม๋สกัดจุดให้ชงไฉ่คลายความเจ็บปวดทรมาน ชิงซาช่วยพยุงตัวชงไฉ่ยังแท่นบรรทม“ตามหมอหลวงชิงซา ปกปิดการกลับมาของข้าเสียด้วย ต่อแต่นี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าฟู่โม๋จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย บอกกล่าวแก่ทุกคนแค่เพียงฝ่าบาทร่างกายอ่อนเพลียต้องการพักผ่อนและยาบำรุง” ชิงซารับคำโดยดี รีบรุดออกไปตามหมอหลวง“พระชายาฝ่าบาททรงพระประชวร”“ดีอย่างน้อยตอนนี้เราก็ยังมีเวลาจัดการกับนางงูพิษ หยู่เยียน ก่อนที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งให้นางเป็นสนม”“พระชายา ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทรงไป ดูแลฝ่าบาท” หยู่เยียน เดินนวยนาดใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า