ลี่หลินนอนคิดทบทวนเรื่องราวที่ได้อ่านในนิยาย จากการปะติปะต่อเรื่องราวนางจึงรู้ว่าได้เข้ามาอยู่ในร่างหญิงอัปลักษณ์ในตอนที่เนื้อเรื่องถึงจุดพีคที่สุด พอดีกับที่นางอ่านทิ้งไว้ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปหรืออะไรกันแน่ จู่ ๆ ก็ได้มาเข้าร่างของเหมยลี่อย่างงงงวย เนื้อเรื่องในนิยายยังคงดำเนินต่อไปแต่นางกลับมิรู้เลยว่าจุดจบคือแบบใดกันแน่ นางจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ให้ได้ ถึงจักล้าสมัยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกก็ตาม แต่คนเยี่ยงนางยังมีความสามารถในการหาเลี้ยงชีพได้แน่นอน ทว่าจู่ ๆ นางก็รู้สึกเหม็นจนพะอึดพะอมอย่างบอกมิถูกเมื่อฟู่ฟู่ได้นำยาต้มเข้ามาให้นางอีกหน “เจ้าเป็นอันใด” สตรีผู้น้อยเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่สาวนางจึงถาม “ข้าอยากอ้วก” “ข้าจักนำกระโถนมาให้” ฟู่ฟู่รีบวิ่งไปหยิบกระโถนมาให้ทันท่วงที แน่นอนว่าลี่หลินได้อาเจียนออกมาจนหมดไส้ นางคงมิคุ้นกลิ่นสมุนไพรสักเท่าไร “เจ้าต้มอะไรมาเหม็นเป็นบ้าเลย” ลี่หลินย่นจมูก “ยาสมุนไพรเยี่ยงไรเล่า เจ้าต้องดื่มมัน” “ข้าไม่ดื่ม เหม็นขนาดนี้ใครจะไปดื่มลง” “เจ้าจักหายได้เยี่ยงไร เห
จางเหว่ยกำลังก่อไฟเพื่อต้มยาก็พลันได้ยินเสียงร้องลั่นของภรรยา เขาจึงละจากทุกสิ่งและวิ่งไปหาด้วยความร้อนรน “เกิดอันขึ้น!” เมื่อมือเลื่อนบานประตูออกเขาก็เห็นภรรยาเอาแต่ร้องไห้อยู่ข้างหญิงผู้นี้ เขาเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าของนางที่แสนอัปลักษณ์จนชวนให้น่ากลัว “นางคือพี่สาวของข้า” ฟู่ฟู่เอ่ย นางทั้งดีใจและเสียใจในคราวเดียว “เช่นนั้นรึ” จางเหว่ยถามให้แน่ใจอีกหน ฟู่ฟู่พยักหน้าให้ “หากเป็นเช่นนั้นนับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว เช่นนั้นข้าจักรีบไปต้มยา ส่วนเจ้าก็เช็ดตัวแล้วผลัดเสื้อผ้าให้นางเถิด” “เจ้าค่ะ” ฟู่ฟู่จึงทำตามอย่างว่าง่าย นางค่อย ๆ เช็ดตัวซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยช้ำ ก่อนนำเสื้อผ้าของนางมาให้หญิงอัปลักษณ์ใส่ มินานคนที่หายไปต้มยาก็กลับมาพร้อมยาสมุนไพร จางเหว่ยรีบยื่นให้ฟู่ฟู่ป้อนให้ เพราะเขาเป็นบุรุษที่แต่งงานแล้วจักถูกเนื้อต้องตัวสตรีอื่นคงดูมิงามนัก “ข้ามิรู้ว่านางเป็นอันใดกันแน่ เนื้อตัวนางมีแผลเต็มตัวไปหมด” ฟู่ฟู่พูดด้วยแววตาเศร้า นางรู้สึกสงสารเหมยลี่จับใจ “นางจักต้องหาย ตราบใดที่ยังมีลมหาย
สายน้ำเชี่ยวไหลผ่านตลิ่งและโขดหินได้นำพาร่างหนึ่งที่เพิ่งตกลงเหวลงสู่ก้นบึ้ง เหมยลี่มิทันได้ระวังตัวเมื่อแรงกระแทกปะทะร่างกายจนจุกและเจ็บ สายน้ำโหมกระหน่ำเข้ามายังปอดจากการสำลัก พยายามสูดอากาศเข้าแล้วแต่มิอาจทำได้ นางจึงรู้ว่าคงมิอาจรอดพ้นบ่วงเคราะห์นี้ไปได้ในใจแตกสลายมิมีชิ้นดี จากความรักที่เหมยลี่คิดว่าท่านแม่ทัพจักเมตตาต่อกันบ้าง แต่หามีไม่ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงขออ้อนวอนต่อฟ้าดินขอให้นางได้รอดพ้นจากมู่หยางเสียทีมิว่าชาติภพใดก็มิขอรักบุรุษผู้นี้อีกหยดน้ำตาผสมกับสายน้ำเย็นดวงตาปิดสนิทด้วยความปลงกับชีวิต หญิงอัปลักษณ์มิขออยู่ให้อายฟ้าดินอีกต่อไป นางจึงมิไขว่คว้าและปล่อยให้ร่างไร้สติไหลไปตามกระแสน้ำดุจกลีบดอกเหมยที่ร่วงโรยผ่านไปหลายชั่วยามร่างอรชรที่เปียกปอนได้ถูดพัดมาติดที่โขดหิน ใบหน้าซีดเซียวคล้ายกับคนไร้ซึ่งดวงวิญญาณค่อยเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ และมีชีพจร ปลายนิ้วค่อย ๆ ขยับไปพร้อมกับเปลือกตาที่ปรือขึ้นคิ้วบางขมวดเข้าหากันลี่หลินจำได้ว่านางอ่านนิยายอยู่ที่หอพักมิใช่หรือเหตุใดถึงได้มาอยู่กลางป่าแสนหนาวเหน็ดยามค่ำคืนเช่นนี้“ฮัดชิ้ว!” หญิงนักศึกษาจามออกมาจนได้ นางรู้สึกชื้นปอดอย่างไร
สายตาคมโกรธเกรี้ยวมองหญิงอัปลักษณ์กับสหายอยู่บนหลังม้า มู่หยางมิคิดเลยว่าจักได้มาเห็นภาพบาดตาเยี่ยงนี้ ใจเจ็บแค้นเมื่อรู้ว่าชู้ของเหมยลี่คือเซียวจ้านคนที่เขาไว้ใจนักหนา ความโกรธเริ่มปะทุทำให้ใจแกร่งหวั่นไหว มือทั้งสองกำไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนสั่นเทาก่อนกระโดดลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม“เจ้าบังอาจเยี่ยงนัก” ท่านแม่ทัพชักดาบแหลมคมจ่อไปยังทั้งสอง“ท่านคิดจักทำอันใดมู่หยาง” เซียวจ้านรีบดึงเหมยลี่หลบไปอยู่ด้านหลัง พลันยกดาบมาสกัดขวางไว้เช่นกัน“ข้าจักฆ่าเจ้าด้วยเซียวจ้าน เจ้าบังอาจมาเป็นชู้กับหญิงของข้า” มู่หยางตัดขาดเซียวจ้านจากการเป็นสหายบัดเดี๋ยวนี้ ดวงตาจ้องเขม็งด้วยความโกรธ“ข้ามิได้เป็นชู้กับนาง สหายท่านเข้าใจผิดแล้ว” บุรุษรูปงามพูดอย่างใจเย็น“จักให้ข้าเข้าใจเป็นอื่นได้เยี่ยงไร ในเมื่อเจ้าทั้งสองทำเรื่องบัดสีที่ถ้ำแห่งนี้ เสื้อผ้าบนกายก็แต่งมิเรียบร้อย พวกเจ้าคงเริงรักกันลั่นป่าแล้วกระมัง”“ข้ามิได้ทำเรื่องเช่นนั้นนะท่านแม่ทัพ” เหมยลี่พูดสวนขึ้น ใบหน้าเปียกปอนมองสามีซึ่งกำลังเข้าใจนางผิดมหันต์“เจ้า! ข้ายังมิคิดบัญชีกับเจ้า” มู่หยางหันปลายดาบไปจ่อคอนาง“มู่หยาง!” เซียวจ้านตื่นตกใจ เข
เปลือกตาหนักอึ้งได้ขยับลืมตาตื่น มู่หยางสร่างเมาแต่ก็ยังหนักศีรษะอยู่มิหาย บุรุษแข็งแกร่งเยี่ยงเขามิเคยเมามายเฉกเช่นนี้มาก่อน พอลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงพลันนึกขึ้นได้ว่าเขามีเรื่องร้อนใจที่จำเป็นต้องไปสะสางบุรุษร่างสูงจึงลุกขึ้นแล้วเดินหาเหมยลี่อย่างมิสนสายตาผู้ใด เพราะความร้อนรุ่มในใจต้องการคำตอบให้ได้เสียเดี๋ยวนี้เมื่อเดินไปถึงยังโรงฟืนสายตาคมพลันเห็นกลุ่มคนกำลังยืนล้อมเป็นวงยิ่งชวนให้สงสัย เขาจึงย่างกรายเข้าไปเพื่อถามว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่“พวกเจ้าทำอันใดกัน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ทำให้กลุ่มคนต่างแตกตื่นรีบหันมาคำนับท่านแม่ทัพมู่หยางเห็นต้าเหนิงกับท่านแม่ยืนอยู่ตรงที่แห่งนี้ด้วยก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่“ท่านพี่” ต้าเหนิงปรี่เข้ามาหา “หญิงอัปลักษณ์หนีตามชู้รักไปแล้วเจ้าค่ะ” ต้าเหนิงแสร้งทำหน้าเศร้า“ว่าเยี่ยงไรนะ!”มู่หยางแผดเสียงด้วยความโกรธ ตัวเขาชาไปทั้งกาย มิคิดเลยว่าหญิงอัปลักษณ์จักทำเรื่องเยี่ยงนี้ได้ หากใครรู้เข้าท่านแม่ทัพเยี่ยงเขาคงได้โดนตราหน้าเป็นการใหญ่ และหากเหมยลี่คบชู้จริงศีรษะของนางคงได้หลุดออกจากบ่าแน่“งามหน้านัก นางหนีลูกไปตั้งแต่เมื่อใดมิรู้ ดูสิยังทิ้งจดหมายที่ชู้ท
บุรุษรูปงามแบกร่างอรชรวิ่งผ่านสายฝนเข้าไปหลบหนาวอยู่ในถ้ำที่อยู่ใกล้ ก่อนเหมยลี่จักป่วยกายไปมากกว่านี้ เซียวจ้านจึงรีบก่อฟืนไฟให้ในที่แห่งนี้อบอุ่นและมีแสงสว่าง เพียงแค่ขยับมือกวาดผ่านไม้แห้งที่สุมเป็นกองเปลวไฟก็พลันลุกโชนขึ้นง่ายดายสายตาเฉี่ยวมองหน้าผากที่มีบาดแผล เซียวจ้านจึงรีบหาสมุนไพรมาบดและทาให้ พร้อมดึงผ้าคาดเอวมาพันรอบศีรษะ แต่พอหลุบตามองเสื้อผ้าที่หญิงอัปลักษณ์ซึ่งในยามนี้บางและเปียกจนแนบเนื้อ ใบหน้าสะอาดพลันแดงระเรื่อเสียจนต้องรีบหันหน้าหนี“นะ...หนาว” คนสลบละเมอพูดเสียงหวานแผ่วเบาราวกระซิบ เมื่อหันกลับไปมองก็ได้เห็นเหมยลี่กำลังปากสั่นตัวสั่นเทาคล้ายกับอาการของคนจับไข้“เจ้า” เซียวจ้านนึกเป็นห่วงพลางจับต้นแขนเล็กไว้มั่น“นะ...หนาว”“ข้าจักทำเช่นไรดี หากปล่อยให้เจ้าสั่นกายอยู่เยี่ยงนี้ เจ้าคงได้สิ้นลมหายใจแน่” เซียวจ้านไม่เคยรู้สึกว่าตัวเขาจนตรอกเช่นนี้มาก่อน เขามิรู้ว่าจักต้องทำเช่นไรดีให้ร่างอรชรแสนบอบบางอบอุ่น คิดพลางเอื้อมมือหมายจักจับดึงเสื้อผ้าเปียกปอนออกแต่ก็ต้องรั้งมือไว้“มิได้ ข้าจักทำเช่นนี้มิได้” เซียวจ้านตบตีกับความคิด เขาเพียงแค่อยากนำผ้าเปียกบนกายนางมาผึ่งไฟให