แชร์

บทที่ 6 ข้าอยากหนีไปจากท่าน

ผู้เขียน: เฟยหรง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-04 23:03:17

เสียงฝีเท้าวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ฟู่ฟู่กำลังวิ่งใปให้ถึงที่หมายซึ่งเป็นท่าเรือ นางจับย่ามไว้แน่นและวิ่งจนผ้าสะบัดพลิ้วไปตามลม สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนและผู้คนซึ่งออกมาใช้ชีวิตกันเป็นปกติ ทั้งยังมีขอทานนั่งอยู่ตามมุมไม่เว้น แต่ที่น่าหวั่นกลัวคือพวกทหารต่างหาก

หญิงวัยแรกแย้มวิ่งหลบไปตามซอกซอยแคบ ๆ เพื่อหลบให้พ้นพวกทหารที่อาจวิ่งตามมา ทางลัดที่คุ้นเคยทำให้นางมาถึงท่าเรือจนได้ ใบหน้าผินมองรถม้าที่เหมยลี่ได้กำชับไว้ เมื่อเห็นว่ามีอยู่จริงดังว่า นางจึงรีบวิ่งไปด้วยอาการหอบเล็กน้อย

“ข้าจักไปวัดหลินจิง”

“สองตำลึง” บุรุษตรงหน้าพูด เขาคือเจ้าของเกวียนรถม้านั่นเอง บุรุษโพกผ้าพันศีรษะตัวสูงอย่างชายชาตรี อายุน่าจะมากกว่าฟู่ฟู่อยู่ไม่น้อย แต่ดูไม่มากเกินไปจากหน้าตาที่ดูยังหนุ่มแน่น

คนคิดหนีไม่เกลี่ยงราคานางรีบมอบอัดให้ “นี่ข้าให้สี่ตำลึง รีบพาข้าไปที”

คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย มองนางด้วยความสงสัย จากการแต่งกายดูไม่น่าจะมีอัดมากมายขนาดนี้ แต่เขาไม่ถามไถ่เพียงแต่โยนอัดในมือเล่นพลางมองสาวงามผู้นี้อย่างไม่ลดสายตา

“ข้าจะไปส่งเจ้า เชิญเถิดแม่นาง”

ชายแปลกหน้าพูดพลางเปิดม่านบนรถเกวียนให้ ฟู่ฟู่จึงเดินขึ้นไปนั่งอย่างไม่คิดอะไร ม่านที่ถูกเปิดออกได้ปิดลงจึงทำให้ภายในเกวียนมีเพียงนางที่ไม่รับรู้ถึงโลกภายนอกใด ๆ เพียงแต่รู้สึกว่าเกวียนนี้กำลังเคลื่อนที่ไปตามทางด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติเล็กน้อย

ฟู่ฟู่รู้สึกระแวงและไม่อาจไว้ใจ นางจึงแอบแง้มม่านเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่า ชายผู้นี้จะไม่พานางออกนอกเส้นทาง

“กลัวว่าข้าจักพาเจ้าเข้าป่ารึ” พลขับที่นั่งอยู่นอกเกวียนพูดขึ้น ใบหน้าคมคายผินมามองเล็กน้อย

“ข้าแค่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงที่หมาย” ฟู่ฟู่แสร้งพูดไปเช่นนี้ ทั้งที่สายตาของนางกำลังมองไปยังสองข้างทาง ซึ่งยังคงอยู่ในเส้นทางที่นางคุ้นชิน

“อีกไม่กี่เพลาก็ถึงที่หมายวางใจเถอะแม่นาง”

ฟู่ฟู่ยอมกลับไปนั่งตามเดิม ไม่ใช่เพราะว่าเชื่อใจอีกฝ่าย แต่นางแค่มาแง้มม่านที่อยู่อีกฝ่ายต่างหาก

“ป่านนี้เจี่ยเจียจักเป็นเช่นไรบ้างนะ” พลางห่วงคิดถึงหญิงรับใช้ซึ่งไม่รู้ว่าชะตากรรมตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง

ในช่วงเวลาเดียวกันเหมยลี่ได้หนีจากท่านแม่ทัพนางจึงรีบวิ่งมาหาคุณหนูฟู่ฟู่ที่นัดแนะกันไว้ ทว่าเมื่อมาถึงนางกลับไม่เห็นอีกฝ่ายเสียแล้ว สายตากวาดมองไปรอบทิศอย่างนึกเป็นห่วง

“คุณหนูฟู่ฟู่ ข้าหวังว่าท่านจะไปถึงวัดได้อย่างปลอดภัย” เหมยลี่ยังไม่คิดจะตามไปตอนนี้ เพราะกลัวว่าจะถูกไล่ตามจนฟู่ฟู่เป็นอันตรายได้ นางจึงลงเรือเพื่อหมายหนีไปยังแคว้นอื่นแทน

เหมยลี่ย่างกรายก้าวพ้นขอบเรือพร้อมจับชายกระโปรงให้สูงขึ้นเล็กน้อย นางมองไปยังแม่น้ำเบื้องหน้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตาจึงไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีม้าเร็วกำลังควบมา และบุรุษร่างสูงกำลังวิ่งขึ้นเรือตาม ๆ กัน

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้ากระทบกับท้องเรือดังแทบประชิดกาย เหมยลี่หันไปมองตามเสียงด้วยความตกใจพลันตาเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าคนที่ขึ้นมาบนเรือไม่ใช่ฝีพายแต่เป็นแม่ทัพมู่หยาง ขณะที่เรือลำนี้ได้ออกจากท่าเป็นที่เรียบร้อย

“เจ้าจะหนีไปที่ใด” มู่หยางจับข้อมือหญิงอัปลักษณ์ไว้แน่นดั่งเขี้ยวง้อ

“โอ๊ย ท่านปล่อยข้านะ” นางร้องด้วยความเจ็บจนน้ำตาเล็ด มองชายที่มีดวงตาดุดันน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจ

“เจ้าคือสมบัติของข้าที่ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งยกให้ เจ้ามิมีสิทธิ์ทำการใดตามอำเภอใจทั้งนั้น” มู่หยางพูดพร้อมใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ ต่อให้สมบัติชิ้นนี้ไร้ค่าเหมือนเศษกระเบื้องเพียงใด เขาก็ยังต้องเก็บเศษกระเบื้องที่ได้จากองค์เหนือหัวไว้อยู่ดี

“ของไม่มีราคาเช่นข้า ท่านยังอยากเก็บไว้เป็นสมบัติอีกรึ ท่านควรปล่อยข้าไปเสียจักได้ไม่ถูกตราหน้าว่ามีภรรยาอัปลักษณ์เช่นข้า”

“ใครว่าข้าจะเอาเจ้าเป็นเมีย หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้าเป็นได้แค่ข้ารับใช้รองมือรองเท้าข้าก็เท่านั้น” มู่หยางขยะแขยงหญิงอัปลักษณ์เป็นที่สุด กล้าดีอย่างไรถึงได้คิดว่าเขาจะรับนางไว้ในฐานะภรรยา พร้อมบีบข้อมมือเล็กให้แน่นกว่าเดิมจนเหมยลี่ร้องด้วยความเจ็บ ก่อนผลักให้นางกระเด็นจนศีรษะชนกับขอบเรือ

“โอ๊ย” เหมยลี่รู้สึกเจ็บ นางยกมือไปลูกบริเวณที่ปูดนูน เมื่อรู้ว่าไม่ได้เลือดตก นางจึงคิดที่จะกระโดดลงน้ำไปตายเอาดาบหน้า

ฉึบ!

ทว่าปลายดาบยาวแหลมคมจี้คอระหงอย่างรวดเร็วจนนางตกใจกลัว

“อย่าคิดหนี ไม่อย่างนั้นข้าจะปาดคอเจ้าแล้วจับโยนลงน้ำเสีย” ใบหน้าเหี้ยมโหดหลุบตามองสตรีไม่มีทางสู้ แม่ทัพอย่างมู่หยางมีใจเด็ดเดี่ยว น้ำมือของเขาฆ่าผู้คนมานับไม่ถ้วน หากจะปลิดชีพนางไปอีกคนจึงไม่คณามือนัก

“ท่านก็ฆ่าข้าเลยสิ ท่านเกลียดข้ามากไม่ใช่” เหมยลี่หมดหนทางหนี นางร้องไห้ด้วยความเศร้าสร้อยน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาที่ต้องพบพาน

“เก็บเจ้าไว้รองรับอารมณ์ของข้ามันน่าจะดีกว่า มานี่” มู่หยางลากร่างอรชรจนตัวปลิว เข้าไปข้างในเรือซึ่งมุงหลังคาโค้งทำเป็นห้องรับรองไว้

“ปล่อยข้านะ” เหมยลี่ร้องโวยวายพลันใจสั่นกลัว นางไม่เคยต้องมือชายผู้ใดมาก่อนจึงคิดไปต่าง ๆ นานาว่าท่านแม่ทัพจักทำการที่ล่วงเกิน

“ท่านวิปลาสไปแล้วหรือถึงได้คิดจะทำเรื่องอย่างนี้กับข้า”

“เจ้าคิดว่าข้าจะทำอันใด” มู่หยางจ้องเขม็ง

“ท่านอยากให้ข้าอุ่นเตียงให้มิใช่หรือ”

“ฮ่า ๆ เจ้านี่มันไม่เจียมกะลาหัวเอาเสียเลย หน้าตาอย่างกับศพเน่าอย่างเจ้า ใครจะไปพิศวาสลงได้” มู่หยางหัวเราะ ก่อนสะบัดมือออกอย่างไม่ไยดี ก่อนยืนมองด้วยสายตาหยามเหยียด

“หรือว่าเจ้าเห็นว่าข้ารูปงามจึงกำหนัดจนกายสั่น”

“มิใช่ข้ามิเคยคิดเช่นนั้น ท่านคิดจะทำอันใดกับข้ากันแน่” หยดน้ำตาของเหมยลี่ไหลริน นางมองแม่ทัพที่มีจิตใจอำมหิตด้วยความไม่เข้าใจ และไม่คิดจะเข้าใจด้วย

“ข้าแค่เมื่อยกาย อยากให้เจ้ามานวดให้ข้าก็เท่านั้น หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าทำการอื่น”

“ไม่ ข้าจะนวดให้ท่าน เชิญท่านแม่ทัพ” เหมยลี่รวบรวมสติ พลางลุกขึ้นยืนจ้องท่านแม่ทัพด้วยดวงตาเปียกปอน

มู่หยางสะบัดชายเสื้ออย่างอารมณ์เสีย ก่อนนั่งลงบนตั่งให้หญิงอัปลักษณ์มานวดให้ด้วยใบหน้านิ่งเฉย เหมยลี่ใจกล้า ๆ กลัว ๆ เดินไปด้วยอาการสั่นเทาอย่างระแวดระวังภัย และต้องฝืนปรนนิบัติท่านแม่ทัพจนกว่าจะถึงฝั่ง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 51 กว่าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

    “ที่นี่โรงเตี๊ยมบุพผางาม” จางเหว่ยพูดขึ้น สามีของฟู่ฟู่พาหญิงอัปลักษณ์มาถึงโรงเตี๊ยมที่ว่า แม้จักดูมิใหญ่โตมากนักแต่ผู้คนก็เข้ามาไม่ขาดสาย เนื่องจากที่ตั้งแห่งนี้เป็นทางผ่านไปยังหัวเมืองต่าง ๆ จึงมิแปลกใจหากจักมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาจิบน้ำชาและหลับนอน ลี่หลินมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยฝันอยากเป็นเชฟโรงแรมระดับห้าดาว ถึงที่แห่งนี้ไม่มีดาวการันตีก็ตาม นางถือว่าที่แห่งนี้เป็นเหมือนที่ฝึกฝนจึงมิเกี่ยงเลยหากได้ทำงานในที่แห่งนี้ “เข้าไปกันเถอะ” บุรุษเดินนำเข้าไปก่อน หญิงอัปลักษณ์จึงดึงผ้าคลุมให้ปิดใบหน้าซีกหนึ่งให้มิชิด เพื่อมิให้ผู้คนในที่แห่งนี้แตกตื่นไปเสียก่อน เสียงจอแจดังจนฟังมิได้ความ กับผู้คนที่เข้ามาบ้างก็ทานอาหาร บ้างจิบน้ำชา และเมามาย ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนหอนางโลมดี ๆ นี่เอง เพราะลี่หลินเห็นนางคณิกาอรชรอ้อนแอ้นนั่งรินน้ำชาให้เหล่าบุรุษอยู่หลายนาง “จางเหว่ยท่านแน่ใจรึว่าที่นี่คือโรมเตี๊ยม” ลี่หลินจึงถามให้แน่ใจ “ใช่ที่แห่งนี้แหละ” จางเหว่ยตอบ ก่อนหันไปทักทายเจ้าของโรงเตี๊ยม

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 50 ฝีมือของลี่หลิน

    ลี่หลินตั้งใจปักเย็บผ้าห่มผืนหนามาหลายชั่วยามจนเหมื่อยกาย มือของนางถูกเข็มทิ่มซ้ำอยู่หลายหน แต่นั่นก็มิทำให้ความตั้งใจลดน้อยลงไป ขณะเดี๋ยวกันฟู่ฟู่เห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่จางเหว่ยจักกลับมาจากหาของป่าเสียแล้ว นางจึงต้องรีบละจากกองผ้าเพื่อไปเตรียมทำอาหารในครัว “เจ้าจะไปไหน?” หญิงในร่างอัปลักษณ์เอ่ยถาม “ข้าจักไปเตรียมทำอาหารให้ท่านพี่กับท่านแม่” “ท่านแม่?” ลี่หลินขมวดคิ้ว นางลืมไปเสียสนิทว่าบ้านหลังนี้มีหญิงชราอาศัยอยู่ด้วยมิใช่ เหตุใดนางจึงมิเห็น “ใช่ท่านแม่ของสามีข้า นางมิค่อยสบายจึงพักผ่อนอยู่อีกห้องหนึ่ง” ลี่หลินครุ่นคิด คนบ้านนี้ชั่งมีน้ำใจเสียจริง ทั้งที่แม่ผู้แก่ชราล้มป่วยยังมาดูแลนางขนาดนี้ ลี่หลินต้องตอบแทนผู้มีน้ำใจบ้างแล้ว “ให้ข้าทำกับข้าวแทนเจ้าได้ไหม” ลี่หลินพูด นางเรียนมาทางด้านนี้และคิดว่าทำได้ดีจึงอยากแสดงฝีมือ “ได้สิ งั้นให้ข้าเป็นลูกมือเจียเจี่ยนะ” ฟู่ฟู่ยิ้ม นางอยากชิมฝีมือพี่สาวเช่นกัน ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในครัว ซึ่งเป็นเตาที่ถูกก่อด้วยดินเผาโดยใช้ความร้อนจากฟืน นั่นมิใช่อุปสรรคในการ

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 49 การเริ่มต้นใหม่ของลี่หลิน

    ด้วยความร้อนใจฮูหยินชิงชิงจึงหวนกลับไปที่เดิม นางเข้ามาหาท่านซินแสที่นางเคยมาอ้อนวอนขอบุตรให้แก่ตระกูลกู้ หญิงชราเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเป็นกังวล นางพบท่านซินแสกำลังนั่งสมาธิอยู่ในศาลาอันเก่าและทรุดโทรม รอบกายรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณซึ่งดูรกตาเป็นอย่างมาก ทว่าร่างกายของผู้มีพลังเหนือสรรพสิ่งดันดูผ่องใสจนน่าศรัทธา “ท่านซินแส” ฮุหยินชิงชิงรีบคำนับ เปลือกตาของท่านซินแสค่อยลืมขึ้นอย่างมิทุกข์ร้อนใด ๆ เขาหยั่งรู้ในทุกสิ่ง เพียงแค่เห็นหน้าผู้มาเยือนก็รู้แล้วว่าสตรีสูงวัยผู้นี้รีบร้อนมาหากันด้วยเหตุอันใด “กลับไปเสียข้าช่วยเจ้ามิได้” แม้ซินแสจักหยั่งรู้ แต่ก็มิอาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตไปได้เสียทุกอย่าง เรื่องเวรกรรมที่มู่หยางต้องได้รับเคราะห์หนักมันเป็นเรื่องที่ซินแสเยี่ยงเขาเข้าไปยุ่งมิได้ “ท่านซินแส ได้โปรดช่วยบุตรชายข้า” ฮูหยินชิงชิงยอมคุกเข่าอ้อนวอน “ใจที่ผูกติดต่อให้ใช้ดาบแหลมคมตัดก็มิอาจตัดขาดไปได้ เคราะห์ของใครก็ต้องให้ผู้นั้นเป็นคนแก้ หากเจ้าไปฝืนชะตาก็คงต้องเป็นเจ้าเองที่จะต้องวอดวาย” “ข้ายอม ข้ายอมทุกอย่าง ขอเพียงแค่ให

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 48 สิ่งที่เพิ่งรู้

    ลี่หลินนอนคิดทบทวนเรื่องราวที่ได้อ่านในนิยาย จากการปะติปะต่อเรื่องราวนางจึงรู้ว่าได้เข้ามาอยู่ในร่างหญิงอัปลักษณ์ในตอนที่เนื้อเรื่องถึงจุดพีคที่สุด พอดีกับที่นางอ่านทิ้งไว้ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปหรืออะไรกันแน่ จู่ ๆ ก็ได้มาเข้าร่างของเหมยลี่อย่างงงงวย เนื้อเรื่องในนิยายยังคงดำเนินต่อไปแต่นางกลับมิรู้เลยว่าจุดจบคือแบบใดกันแน่ นางจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ให้ได้ ถึงจักล้าสมัยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกก็ตาม แต่คนเยี่ยงนางยังมีความสามารถในการหาเลี้ยงชีพได้แน่นอน ทว่าจู่ ๆ นางก็รู้สึกเหม็นจนพะอึดพะอมอย่างบอกมิถูกเมื่อฟู่ฟู่ได้นำยาต้มเข้ามาให้นางอีกหน “เจ้าเป็นอันใด” สตรีผู้น้อยเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่สาวนางจึงถาม “ข้าอยากอ้วก” “ข้าจักนำกระโถนมาให้” ฟู่ฟู่รีบวิ่งไปหยิบกระโถนมาให้ทันท่วงที แน่นอนว่าลี่หลินได้อาเจียนออกมาจนหมดไส้ นางคงมิคุ้นกลิ่นสมุนไพรสักเท่าไร “เจ้าต้มอะไรมาเหม็นเป็นบ้าเลย” ลี่หลินย่นจมูก “ยาสมุนไพรเยี่ยงไรเล่า เจ้าต้องดื่มมัน” “ข้าไม่ดื่ม เหม็นขนาดนี้ใครจะไปดื่มลง” “เจ้าจักหายได้เยี่ยงไร เหต

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 47 เกิดอะไรขึ้น

    จางเหว่ยกำลังก่อไฟเพื่อต้มยาก็พลันได้ยินเสียงร้องลั่นของภรรยา เขาจึงละจากทุกสิ่งและวิ่งไปหาด้วยความร้อนรน “เกิดอันขึ้น!” เมื่อมือเลื่อนบานประตูออกเขาก็เห็นภรรยาเอาแต่ร้องไห้อยู่ข้างหญิงผู้นี้ เขาเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าของนางที่แสนอัปลักษณ์จนชวนให้น่ากลัว “นางคือพี่สาวของข้า” ฟู่ฟู่เอ่ย นางทั้งดีใจและเสียใจในคราวเดียว “เช่นนั้นรึ” จางเหว่ยถามให้แน่ใจอีกหน ฟู่ฟู่พยักหน้าให้ “หากเป็นเช่นนั้นนับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว เช่นนั้นข้าจักรีบไปต้มยา ส่วนเจ้าก็เช็ดตัวแล้วผลัดเสื้อผ้าให้นางเถิด” “เจ้าค่ะ” ฟู่ฟู่จึงทำตามอย่างว่าง่าย นางค่อย ๆ เช็ดตัวซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยช้ำ ก่อนนำเสื้อผ้าของนางมาให้หญิงอัปลักษณ์ใส่ มินานคนที่หายไปต้มยาก็กลับมาพร้อมยาสมุนไพร จางเหว่ยรีบยื่นให้ฟู่ฟู่ป้อนให้ เพราะเขาเป็นบุรุษที่แต่งงานแล้วจักถูกเนื้อต้องตัวสตรีอื่นคงดูมิงามนัก “ข้ามิรู้ว่านางเป็นอันใดกันแน่ เนื้อตัวนางมีแผลเต็มตัวไปหมด” ฟู่ฟู่พูดด้วยแววตาเศร้า นางรู้สึกสงสารเหมยลี่จับใจ “นางจักต้องหาย ตราบใดที่ยังมีลมหาย

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 46 ลี่หลิน

    สายน้ำเชี่ยวไหลผ่านตลิ่งและโขดหินได้นำพาร่างหนึ่งที่เพิ่งตกลงเหวลงสู่ก้นบึ้ง เหมยลี่มิทันได้ระวังตัวเมื่อแรงกระแทกปะทะร่างกายจนจุกและเจ็บ สายน้ำโหมกระหน่ำเข้ามายังปอดจากการสำลัก พยายามสูดอากาศเข้าแล้วแต่มิอาจทำได้ นางจึงรู้ว่าคงมิอาจรอดพ้นบ่วงเคราะห์นี้ไปได้ในใจแตกสลายมิมีชิ้นดี จากความรักที่เหมยลี่คิดว่าท่านแม่ทัพจักเมตตาต่อกันบ้าง แต่หามีไม่ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงขออ้อนวอนต่อฟ้าดินขอให้นางได้รอดพ้นจากมู่หยางเสียทีมิว่าชาติภพใดก็มิขอรักบุรุษผู้นี้อีกหยดน้ำตาผสมกับสายน้ำเย็นดวงตาปิดสนิทด้วยความปลงกับชีวิต หญิงอัปลักษณ์มิขออยู่ให้อายฟ้าดินอีกต่อไป นางจึงมิไขว่คว้าและปล่อยให้ร่างไร้สติไหลไปตามกระแสน้ำดุจกลีบดอกเหมยที่ร่วงโรยผ่านไปหลายชั่วยามร่างอรชรที่เปียกปอนได้ถูดพัดมาติดที่โขดหิน ใบหน้าซีดเซียวคล้ายกับคนไร้ซึ่งดวงวิญญาณค่อยเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ และมีชีพจร ปลายนิ้วค่อย ๆ ขยับไปพร้อมกับเปลือกตาที่ปรือขึ้นคิ้วบางขมวดเข้าหากันลี่หลินจำได้ว่านางอ่านนิยายอยู่ที่หอพักมิใช่หรือเหตุใดถึงได้มาอยู่กลางป่าแสนหนาวเหน็ดยามค่ำคืนเช่นนี้“ฮัดชิ้ว!” หญิงนักศึกษาจามออกมาจนได้ นางรู้สึกชื้นปอดอย่างไร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status