เสียงเหยียบกิ่งไม้ดังตามจังหวะที่เท้าของทั้งสองนางกำลังพากันวิ่งไปยังกำแพงสูงอีกด้าน วงแขนของเหมยลี่ยกขึ้นป้องกิ่งไม้ออกไปให้พ้นทาง พร้อมทั้งเปิดเส้นทางเท้าให้คุณหนูแห่งแคว้นอันวิ่งตามได้อย่างสะดวก จนเมื่อมาถึงเสียงหอบได้ดังมาก่อนเสียงพูดราวกระซิบเสียด้วยซ้ำ
“รีบปีนไปเร็วคุณหนู เหยียบบนหลังข้า” เหมยลี่ก้มหลังให้
“เร็วเถิดคุณหนู หากผู้ใดไหวตัวทัน หนทางหนีคงไม่มีอีกหนแล้ว”
เมื่อถูกรบเร้าสตรีผู้น้อยจึงยอมเหยียบหลัง มือพยายามเอื้อมไปจับกำแพงสูง และปีนป่าย ขณะที่เหมยลี่ได้ช่วยดันตัวสตรีผู้น้อยอีกแรง
“ปะ...ปีนได้แล้ว” ด้วยความตัวบางฟู่ฟู่จึงสามารถขึ้นไปอยู่บนสันกำแพงได้อย่างง่ายดาย พลางยื่นมือให้สาวรับใช้จับ
“ขึ้นมาสิ”
“นั่นใครน่ะ!”
แต่ยังไม่ทันที่เหมยลี่จะได้ปีนกำแพงก็มีเสียงของทหารดังมา สองนางตาเบิกโพลงหันมองกันด้วยความตกใจ หญิงอัปลักษณ์ใช้คิดเพีนงครู่เดียว ก่อนรีบปีนหนี
“ลงไปก่อนคุณหนู ท่านวิ่งแยกไปที่ท่าน้ำ ตรงนั้นมีเกวียนที่พาไปวัดได้ ส่วนข้าจะล่อคนพวกนั้นให้ไปอีกทางเอง” เหมยลี่พูดอย่างจริงจัง
“แล้วเจี่ยเจียจะไม่เป็นอะไรหรือ”
“ชีวิตข้าไร้ค่ายิ่งนัก โปรดรักษาตัวด้วย” สาวรับใช้ก้มโค้งให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนผลักอีกฝ่ายให้แยกทาง
“เจี่ยเจีย”
ฟู่ฟู่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมหยดน้ำตา พลางวิ่งหนีจากเหมยลี่ซึ่งหนทางนั้นกำลังมีทหารปีนกำแพงและวิ่งตาม
สองเท้าเร่งวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปตามถนนที่มีผู้คนเดินกันให้ควัก เหมยลี่เลือกวิ่งเข้ามาในตลาดเพื่อให้พวกทหารวิ่งตามไม่ทัน พร้อมจับผ้าคลุมศีรษะไว้แน่น
“อย่าคิดหนีนะ” ทหารชายฉกรรจ์วิ่งตามจนแทบประชิดตัว กำลังของสตรีจะไปสู้อะไรได้
ทว่าเหมยลี่ยังมิอาจยอมแท้ต่อชะตาชีวิต นางอยากต่อเวลาอีกสักหน่อย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้คุณหนูฟู่ฟู่ได้มีเวลาหนี นางวิ่งพร้อมปัดข้าวของข้างทางมาขวางกั้นทหารพวกนั้น
“หยุดนะ”
เหมยลี่ไม่ฟัง นางวิ่งจนขาอ่อนแรงและหยุดยืนอยู่กลางทางซึ่งกำลังมีม้าเร็ววิ่งเข้ามาใกล้ หญิงอัปลักษณ์ไม่มีทางหนี หากถอยหลังพลันมีเหล่าทหารมาตามจับ สู้ทิ้งชีวิตไว้ที่ตรงนี้ไม่ดีกว่าหรือ นางจึงหลับตาเสียสนิท หากโดนม้าชนเข้าก็คงสลบไปสักวันหรือสองวัน
ฮี่....
เสียงม้าสีหมอกดังขึ้นพร้อมยกขาหน้าทั้งสอง จากการดึงเชือกของคนขึ้นขี่อยู่หลังม้า มู่หยางเห็นสตรีวิ่งพรวดมายืนขวางเส้นทางจึงต้องรีบหยุดไว้จนเท้าของม้าเสียดสีกับพื้นจนเกิดเสียง
บุรุษอยู่หลังม้าสวมใส่ชุดแม่ทัพกำลังหลุบตามองสตรีนางนี้ที่บ้าระห่ำเกินงาม เหล่าทหารหลวงที่กรูกันเข้ามาล้อมวงเมื่อเห็นท่านแม่ทัพจึงรีบยืนตรงพร้อมคำนับ
“ท่านแม่ทัพมู่หยาง”
“เกิดเห็นอันใดขึ้น”
“บุตรสาวของฟู่เฟิงหนีออกมานอกเรือน พวกข้าจึงรีบวิ่งมา”
“สตรีนางนี้หรือ” มู่หยางมองหน้านางผู้นี้ซึ่งกำลังค่อย ๆ ลืมตา
เหมยลี่ถูกเข้าใจผิดว่านางคือคุณหนูฟู่ฟู่ นางค่อย ๆ ลืมตามองเมื่อไม่รู้สึกถึงอันตรายทั้งปวง ทว่าเมื่อสบต้องนัยน์ตาสีนิลของท่านแม่ทัพเบื้องหน้า นางพลันรู้สึกถึงอันตรายซึ่งกำลังแผ่ซ่านเข้ามา
บุรุษในชุดแม่ทัพมีร่างกายบึกบึนและสูงใหญ่ ทั้งยังน่าเกรงขรามจนเหมยลี่ประหวั่นพรั่นพรึง นางยืนขาแข็งไม่กล้าขยับเท้าหนี เมื่อดวงตาคู่คมหรี่มองอย่างหยามเหยียด
มู่หยางไม่คิดว่าจะมาเจอบุตรสาวแห่งแคว้นอันในเวลานี้ เขาไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย คนอยู่บนหลังม้าพลันสะบัดชายเสื้อแล้วลงมา ก่อนย่างกรายเดินสามขุมเข้าไปใกล้นางผู้นี้ที่จะเข้ามาเป็นภรรยาใต้อาณัติ
“เจ้าชื่ออันใด” เมื่อยืนประจันหน้ามู่หยางจึงไม่เสียเวลา
“เหมยลี่” หญิงสาวหลุบตามองพื้นอย่างไม่กล้าสู้หน้า ทว่าต้องตกใจกลัวเมื่อถูกดึงผ้าปิดบังใบหน้าออกจากฝีมือของท่านแม่ทัพ
“ท่านคิดทำการอันใด” เหมยลี่ยกมือป้องใบหน้าซีดขวาของนาง ใบหน้าอัปลักษณ์ผิดแผลกจากผู้คนจึงทำให้มีเสียงอื้ออึงดังเข้าหู
“หน้าตาเจ้าอัปลักษณ์ยิ่งนัก” มู่หยางพูดทันควันเมื่อได้เห็น ไม่ต่างอะไรกับผู้คนที่ยืนมุมดูอยู่ห่าง ๆ
“ดูหญิงอัปลักษณ์นางนั้นสิ กล้าออกมาจากเรือนได้ยังไง”
“อย่าไปมอง เดี๋ยวได้เกิดอาเพศกันพอดี”
“จะปล่อยให้นางปีศาจผู้นี้อยู่ในแคว้นเราอย่างนั้นรึ ออกไป ออกไป”
เสียงโห่ไล่พร้อมข้าวของปาใส่อย่างไม่ขาดสาย เหมยลี่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับนางอีก เธอทั้งหวาดกลัวและกลัวจนสั่นเทา
“เอาผ้าคลุมของข้ามา ท่านแม่ทัพรู้เช่นนี้แล้ว ท่านควรกลับไปเสีย ข้ามิเหมาะกับการเป็นภรรยาของท่าน” เหมยลี่คว้าผ้ามาคลุมไว้ดังเดิม ก่อนวิ่งหนีออกไปจากที่แห่งนี้ด้วยหยดน้ำตา
“นางหนีไปแล้ว!” ทหารนางหนึ่งพูด
“ช้าก่อน มิต้องตามไป ข้าจัดการเอง”
มู่หยางตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นหน้าของหญิงอัปลักษณ์ พลันยิ่งโกรธแค้นเข้าไปใหญ่ แต่เขาไม่อาจขัดบัญชาจึงได้กัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิดปนขยะแขยง
“สตรีผู้นี้ใครจะเอาไปทำเมีย” พร้อมบ่นพึมพำกับตัวเอง ราวกับโดนสวรรค์กลั่นแกล้งให้มีชีวิตแสนอัปยศเช่นนี้
“ที่นี่โรงเตี๊ยมบุพผางาม” จางเหว่ยพูดขึ้น สามีของฟู่ฟู่พาหญิงอัปลักษณ์มาถึงโรงเตี๊ยมที่ว่า แม้จักดูมิใหญ่โตมากนักแต่ผู้คนก็เข้ามาไม่ขาดสาย เนื่องจากที่ตั้งแห่งนี้เป็นทางผ่านไปยังหัวเมืองต่าง ๆ จึงมิแปลกใจหากจักมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาจิบน้ำชาและหลับนอน ลี่หลินมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยฝันอยากเป็นเชฟโรงแรมระดับห้าดาว ถึงที่แห่งนี้ไม่มีดาวการันตีก็ตาม นางถือว่าที่แห่งนี้เป็นเหมือนที่ฝึกฝนจึงมิเกี่ยงเลยหากได้ทำงานในที่แห่งนี้ “เข้าไปกันเถอะ” บุรุษเดินนำเข้าไปก่อน หญิงอัปลักษณ์จึงดึงผ้าคลุมให้ปิดใบหน้าซีกหนึ่งให้มิชิด เพื่อมิให้ผู้คนในที่แห่งนี้แตกตื่นไปเสียก่อน เสียงจอแจดังจนฟังมิได้ความ กับผู้คนที่เข้ามาบ้างก็ทานอาหาร บ้างจิบน้ำชา และเมามาย ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนหอนางโลมดี ๆ นี่เอง เพราะลี่หลินเห็นนางคณิกาอรชรอ้อนแอ้นนั่งรินน้ำชาให้เหล่าบุรุษอยู่หลายนาง “จางเหว่ยท่านแน่ใจรึว่าที่นี่คือโรมเตี๊ยม” ลี่หลินจึงถามให้แน่ใจ “ใช่ที่แห่งนี้แหละ” จางเหว่ยตอบ ก่อนหันไปทักทายเจ้าของโรงเตี๊ยม
ลี่หลินตั้งใจปักเย็บผ้าห่มผืนหนามาหลายชั่วยามจนเหมื่อยกาย มือของนางถูกเข็มทิ่มซ้ำอยู่หลายหน แต่นั่นก็มิทำให้ความตั้งใจลดน้อยลงไป ขณะเดี๋ยวกันฟู่ฟู่เห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่จางเหว่ยจักกลับมาจากหาของป่าเสียแล้ว นางจึงต้องรีบละจากกองผ้าเพื่อไปเตรียมทำอาหารในครัว “เจ้าจะไปไหน?” หญิงในร่างอัปลักษณ์เอ่ยถาม “ข้าจักไปเตรียมทำอาหารให้ท่านพี่กับท่านแม่” “ท่านแม่?” ลี่หลินขมวดคิ้ว นางลืมไปเสียสนิทว่าบ้านหลังนี้มีหญิงชราอาศัยอยู่ด้วยมิใช่ เหตุใดนางจึงมิเห็น “ใช่ท่านแม่ของสามีข้า นางมิค่อยสบายจึงพักผ่อนอยู่อีกห้องหนึ่ง” ลี่หลินครุ่นคิด คนบ้านนี้ชั่งมีน้ำใจเสียจริง ทั้งที่แม่ผู้แก่ชราล้มป่วยยังมาดูแลนางขนาดนี้ ลี่หลินต้องตอบแทนผู้มีน้ำใจบ้างแล้ว “ให้ข้าทำกับข้าวแทนเจ้าได้ไหม” ลี่หลินพูด นางเรียนมาทางด้านนี้และคิดว่าทำได้ดีจึงอยากแสดงฝีมือ “ได้สิ งั้นให้ข้าเป็นลูกมือเจียเจี่ยนะ” ฟู่ฟู่ยิ้ม นางอยากชิมฝีมือพี่สาวเช่นกัน ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในครัว ซึ่งเป็นเตาที่ถูกก่อด้วยดินเผาโดยใช้ความร้อนจากฟืน นั่นมิใช่อุปสรรคในการ
ด้วยความร้อนใจฮูหยินชิงชิงจึงหวนกลับไปที่เดิม นางเข้ามาหาท่านซินแสที่นางเคยมาอ้อนวอนขอบุตรให้แก่ตระกูลกู้ หญิงชราเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเป็นกังวล นางพบท่านซินแสกำลังนั่งสมาธิอยู่ในศาลาอันเก่าและทรุดโทรม รอบกายรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณซึ่งดูรกตาเป็นอย่างมาก ทว่าร่างกายของผู้มีพลังเหนือสรรพสิ่งดันดูผ่องใสจนน่าศรัทธา “ท่านซินแส” ฮุหยินชิงชิงรีบคำนับ เปลือกตาของท่านซินแสค่อยลืมขึ้นอย่างมิทุกข์ร้อนใด ๆ เขาหยั่งรู้ในทุกสิ่ง เพียงแค่เห็นหน้าผู้มาเยือนก็รู้แล้วว่าสตรีสูงวัยผู้นี้รีบร้อนมาหากันด้วยเหตุอันใด “กลับไปเสียข้าช่วยเจ้ามิได้” แม้ซินแสจักหยั่งรู้ แต่ก็มิอาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตไปได้เสียทุกอย่าง เรื่องเวรกรรมที่มู่หยางต้องได้รับเคราะห์หนักมันเป็นเรื่องที่ซินแสเยี่ยงเขาเข้าไปยุ่งมิได้ “ท่านซินแส ได้โปรดช่วยบุตรชายข้า” ฮูหยินชิงชิงยอมคุกเข่าอ้อนวอน “ใจที่ผูกติดต่อให้ใช้ดาบแหลมคมตัดก็มิอาจตัดขาดไปได้ เคราะห์ของใครก็ต้องให้ผู้นั้นเป็นคนแก้ หากเจ้าไปฝืนชะตาก็คงต้องเป็นเจ้าเองที่จะต้องวอดวาย” “ข้ายอม ข้ายอมทุกอย่าง ขอเพียงแค่ให
ลี่หลินนอนคิดทบทวนเรื่องราวที่ได้อ่านในนิยาย จากการปะติปะต่อเรื่องราวนางจึงรู้ว่าได้เข้ามาอยู่ในร่างหญิงอัปลักษณ์ในตอนที่เนื้อเรื่องถึงจุดพีคที่สุด พอดีกับที่นางอ่านทิ้งไว้ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปหรืออะไรกันแน่ จู่ ๆ ก็ได้มาเข้าร่างของเหมยลี่อย่างงงงวย เนื้อเรื่องในนิยายยังคงดำเนินต่อไปแต่นางกลับมิรู้เลยว่าจุดจบคือแบบใดกันแน่ นางจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ให้ได้ ถึงจักล้าสมัยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกก็ตาม แต่คนเยี่ยงนางยังมีความสามารถในการหาเลี้ยงชีพได้แน่นอน ทว่าจู่ ๆ นางก็รู้สึกเหม็นจนพะอึดพะอมอย่างบอกมิถูกเมื่อฟู่ฟู่ได้นำยาต้มเข้ามาให้นางอีกหน “เจ้าเป็นอันใด” สตรีผู้น้อยเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่สาวนางจึงถาม “ข้าอยากอ้วก” “ข้าจักนำกระโถนมาให้” ฟู่ฟู่รีบวิ่งไปหยิบกระโถนมาให้ทันท่วงที แน่นอนว่าลี่หลินได้อาเจียนออกมาจนหมดไส้ นางคงมิคุ้นกลิ่นสมุนไพรสักเท่าไร “เจ้าต้มอะไรมาเหม็นเป็นบ้าเลย” ลี่หลินย่นจมูก “ยาสมุนไพรเยี่ยงไรเล่า เจ้าต้องดื่มมัน” “ข้าไม่ดื่ม เหม็นขนาดนี้ใครจะไปดื่มลง” “เจ้าจักหายได้เยี่ยงไร เหต
จางเหว่ยกำลังก่อไฟเพื่อต้มยาก็พลันได้ยินเสียงร้องลั่นของภรรยา เขาจึงละจากทุกสิ่งและวิ่งไปหาด้วยความร้อนรน “เกิดอันขึ้น!” เมื่อมือเลื่อนบานประตูออกเขาก็เห็นภรรยาเอาแต่ร้องไห้อยู่ข้างหญิงผู้นี้ เขาเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าของนางที่แสนอัปลักษณ์จนชวนให้น่ากลัว “นางคือพี่สาวของข้า” ฟู่ฟู่เอ่ย นางทั้งดีใจและเสียใจในคราวเดียว “เช่นนั้นรึ” จางเหว่ยถามให้แน่ใจอีกหน ฟู่ฟู่พยักหน้าให้ “หากเป็นเช่นนั้นนับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว เช่นนั้นข้าจักรีบไปต้มยา ส่วนเจ้าก็เช็ดตัวแล้วผลัดเสื้อผ้าให้นางเถิด” “เจ้าค่ะ” ฟู่ฟู่จึงทำตามอย่างว่าง่าย นางค่อย ๆ เช็ดตัวซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยช้ำ ก่อนนำเสื้อผ้าของนางมาให้หญิงอัปลักษณ์ใส่ มินานคนที่หายไปต้มยาก็กลับมาพร้อมยาสมุนไพร จางเหว่ยรีบยื่นให้ฟู่ฟู่ป้อนให้ เพราะเขาเป็นบุรุษที่แต่งงานแล้วจักถูกเนื้อต้องตัวสตรีอื่นคงดูมิงามนัก “ข้ามิรู้ว่านางเป็นอันใดกันแน่ เนื้อตัวนางมีแผลเต็มตัวไปหมด” ฟู่ฟู่พูดด้วยแววตาเศร้า นางรู้สึกสงสารเหมยลี่จับใจ “นางจักต้องหาย ตราบใดที่ยังมีลมหาย
สายน้ำเชี่ยวไหลผ่านตลิ่งและโขดหินได้นำพาร่างหนึ่งที่เพิ่งตกลงเหวลงสู่ก้นบึ้ง เหมยลี่มิทันได้ระวังตัวเมื่อแรงกระแทกปะทะร่างกายจนจุกและเจ็บ สายน้ำโหมกระหน่ำเข้ามายังปอดจากการสำลัก พยายามสูดอากาศเข้าแล้วแต่มิอาจทำได้ นางจึงรู้ว่าคงมิอาจรอดพ้นบ่วงเคราะห์นี้ไปได้ในใจแตกสลายมิมีชิ้นดี จากความรักที่เหมยลี่คิดว่าท่านแม่ทัพจักเมตตาต่อกันบ้าง แต่หามีไม่ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงขออ้อนวอนต่อฟ้าดินขอให้นางได้รอดพ้นจากมู่หยางเสียทีมิว่าชาติภพใดก็มิขอรักบุรุษผู้นี้อีกหยดน้ำตาผสมกับสายน้ำเย็นดวงตาปิดสนิทด้วยความปลงกับชีวิต หญิงอัปลักษณ์มิขออยู่ให้อายฟ้าดินอีกต่อไป นางจึงมิไขว่คว้าและปล่อยให้ร่างไร้สติไหลไปตามกระแสน้ำดุจกลีบดอกเหมยที่ร่วงโรยผ่านไปหลายชั่วยามร่างอรชรที่เปียกปอนได้ถูดพัดมาติดที่โขดหิน ใบหน้าซีดเซียวคล้ายกับคนไร้ซึ่งดวงวิญญาณค่อยเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ และมีชีพจร ปลายนิ้วค่อย ๆ ขยับไปพร้อมกับเปลือกตาที่ปรือขึ้นคิ้วบางขมวดเข้าหากันลี่หลินจำได้ว่านางอ่านนิยายอยู่ที่หอพักมิใช่หรือเหตุใดถึงได้มาอยู่กลางป่าแสนหนาวเหน็ดยามค่ำคืนเช่นนี้“ฮัดชิ้ว!” หญิงนักศึกษาจามออกมาจนได้ นางรู้สึกชื้นปอดอย่างไร