สายฝนโปรยปรายผสมกับเสียงฟ้าร้องปนเปในยามราตรี พร้อมเสียงเกือกม้าดังเป็นจังหวะ หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษอยู่ในเกวียนกำลังนั่งตัวโยนเล็กน้อยที่เกิดจากถนนหนทางที่เต็มไปด้วยดินโคลน อากาศซึ่งมีเม็ดฝนจึงนำพาลมหนาวพัดลอดช่องผ้าม่านเข้ามาด้านใน ความมืดที่เห็นเพียงเงาเลือนรางของคนข้างกายทำให้สตรีร่างอรชรรู้สึกหวั่นกลัวอยู่ไม่น้อย
เหมยลี่นั่งเกาะขอบไม้ไว้แน่น แต่ถึงอย่างนั้นฟ้าดินก็ไม่อาจเป็นใจ เมื่อล้อลากเกวียนดันตกหลุมลูกใหญ่จนกายนางต้องถลาไหลไปกองรวมอีกฝั่งซึ่งมีท่านแม่ทัพนั่งอยู่
สัมผัสแข็งแรงจากกายบุรุษและจากมือใหญ่กำลังโอบรัดเอวกิ่วของนางไว้ หญิงไม่เคยถูกชายใดแตะต้องรู้สึกประหม่าเขินอายอยู่ในที ใบหน้าอัปลักษณ์ในความมืดสลัวกลับแดงระเรื่อและร้อนผ่าว นางไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนถึงมีอาการเช่นนี้ ยิ่งกลิ่นกายบุรุษบึกบึนอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก เลือดลมพลันโลดแล่นไปทั่วร่างราวกับถูกพลังลมปราณเข้าเล่นงาน
“ข้าล่วงเกินท่านแล้ว” เหมยลี่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หัวใจของนางเต้นโครมครามยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องลั่นบนนภาในยามนี้
“พอเจ้าอยู่ในความมืดเช่นนี้ค่อยน่ามองหน่อย” มู่หยางพูดอย่างใจคิด พลางมองใบหน้าของหญิงอัปลักษณ์เมื่ออยู่ในความมืดมิต่างจากสตรีนางอื่น ร่างอรชรเอวบางจนแทบรวบได้ด้วยมือเดียว กลิ่นกายยังหอมดั่งนางในโคมเขียว คนมากรักอย่างเขาจึงแสดงออกมาเช่นนี้อย่างไม่ปิดกลั้นความถวิลหาของบุรุษที่มีอยู่มากล้น
เหมยลี่เมื่อได้ฟังไม่อาจฉุกคิด นางคิดว่าท่านแม่ทัพกำลังเอ่ยเชยชม คนไม่เคยถูกชื่นชมจึงได้ยกยิ้มด้วยความเขินอายจักบอกว่าบรรยากาศภายนอกเป็นใจก็ย่อมได้ เมื่อหนึ่งบุรุษกับหนึ่งสตรีอยู่ด้วยกันในพื้นที่แคบ ๆ ย่อมมีความรู้สึกหวั่นไหวเป็นธรรมดา
“ท่านจักทำอันใดข้า อื้อ” ริมฝีปากบางอมชมพูขยับเพียงเล็กน้อย แต่ยังมิทันได้ไถ่ถามเหมยลี่ดันถูกมือใหญ่แข็งแรงรวบคอระหงเข้าไปใกล้เงาทมิฬ ก่อนถูกทาบทับด้วยริมฝีปากหยาบโลนไร้ซึ่งความเมตตาปราณีจากท่านแม่ทัพ ซึ่งยามนี้กำลังบดขยี้คล้ายกับกำลังหาศัตรูศึกในโพรงปาก
สตรีไม่เคยถูกล่วงเกินมาก่อน พลันใจกระตุกด้วยความหวาดกลัว นางไม่อาจขยับและขัดขืนได้ จึงได้แต่หลับตาปี๋รับสัมผัสจากบุรุษรูปงามที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีที่เกิดจากการสมอ้างของนาง เหมยลี่รู้สึกจั๊กจี้แลกรับสัมผัสเปียกแฉะจากเรียวลิ้นพลันได้ยินเสียงสอดประสาน และพรั่นพรึงเกรงว่าคนควบคุมเกวียนจักแหวกม่านเข้ามาเห็น
มือเรียวอ่อนเรี่ยวแรงพยายามผลักและดันกายแกร่งออก ท่านแม่ทัพส่งเสียงอื้ออึงอยู่ในลำคอคล้ายกำลังหงุดหงิดที่ถูกขัดใจอยู่ไม่น้อย ก่อนยอมปล่อยหญิงอัปลักษณ์ให้เป็นอิสระเพียงริมฝีปากที่ตอนนี้เจ่อบวมอยู่ไม่น้อย
“ท่านแม่ทัพ” ร่างอรชรหอบเล็กน้อย กายของนางอ่อนเหลวจนแทบไหลกองพื้น ดีที่ยังถูกรั้งด้วยวงแขนแกร่งซึ่งกำลังช้อนร่างของนางไว้ เหมยลี่ผินหน้าไปทางอื่นด้วยความเหนียมอายอย่างหาที่สุดมิได้
“จักกะมิดกระเมี้ยนไปไย เจ้าคือสมบัติของค่า ข้าจักทำอะไรกับเจ้าก็ย่อมได้”
เสียงทุ้มปนดุเอ่ยขึ้น พอได้สัมผัสความหวานจากเหมยลี่ ท่านแม่ทัพพลันปวดกำหนัดจนอยากหาที่ระบายความใคร่เป็นอาจิณ เขาออกรบอยู่นานแรมเดือนจึงไม่ได้มีเวลาได้สำราญ จักให้ภรรยาทั้งสามมาปรนนิบัติพลันต้องมารับตัวหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ เหตุนั้นทำให้มู่หยางนึกอยากกลั่นแกล้งให้นางอยู่ใต้อาณัติ
“ทะ...ท่านแม่ทัพ”
เสียงหวานปนหอบเอ่ยออกมาอย่างติดขัด ดวงตากลมโตสีนิลพยามมองใบหน้ามืดดุจเงาเพื่ออ้อนวอนให้โปรดเมตตา ทว่ากลับต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหยาบจับแต่ดาบ กำลังแหวกผ้าแต่ละชั้นเข้ามาหากลีบดอกเหมยซึ่งหลบซ่อนเป็นสิ่งสงวนของสาวสะพรั่ง
“อยากให้พลขับรู้อย่างนั้นรึว่าเจ้ากับข้ากำลังทำอันใด”
ท่านแม่ทัพพูดอย่างกระหายอยาก เมื่อสัมผัสรูปร่างอรชรที่มีทรวดทรงซ่อนรูปใต้เนื้อผ้า ทำให้มู่หยางลืมเลือนว่านางมีใบหน้าอัปลักษณ์ไปเกือบสิ้น แต่เพื่อความอภิรมย์ เขาจึงปิดผ้าคลุมหน้าให้เหมยลี่ไว้ตามเดิม
ก้านนิ้วยาวทั้งห้าแหวกผ้าจนสัมผัสถึงดอกไม้ตุมที่หลบซ่อน ด้วยความชำนิชำนาญจึงสัมผัสกลีบดอกไม้ได้อย่างง่ายดาย
ร่างอรชรสะดุ้งเฮือกราวกับถูกจดจุดฝังเข็ม สัมผัสหยาบโลนกำลังล่วงล้ำคลึงกรีบดอกเหมยให้ช้ำทั้งที่ยังไม่ผลิบาน กายสั่นระริกอย่างน่าอายกำลังขยับดิ้นพล่านซ่านกายราวกับเป็นมัจฉาขาดน้ำ แต่ยังมิน่าแทรกแผ่นดินหนีเท่าเหมยลี่กำลังส่งเสียงครวญครางออกมาท่ามกลางความมืดในคืนฝนตกกระหน่ำ
“เบาเสียงของเจ้าลงเถิด ฟังเสียงฝนด้านนอกอย่างเดียวเสีย” ท่านแม่ทัพยิ้มเยาะ เขาสัมผัสถึงน้ำหวานของดอกเหมยที่ยามนี้ชโลมจนชุ่มก้านนิ้วยาวของเขา จึงหยอกล้อเกสรดอกไม้ที่ชูชันสู้มือให้ร่างอรชรดิ้นทุรนทุรายหนักกว่าเดิม
“อ๊า อะ อิ อ๊า ท่านจะให้ข้าทำเช่นนั้นได้เช่นไร หยุดมือท่านเสียท่านแม่ทัพ” แม้จักกัดชายผ้าไว้จนน้ำตาเล็ดนางก็มิอาจขจัดความพลุ่นพล่านออกไปได้
“หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้าควรดีใจเสียที่ข้าอุตส่าห์ลดตัวมาใช้เจ้าเพื่อสนองกำหนัดข้า”
“ไหนท่านบอกว่าจักไม่...”
“แค่เครื่องบรรเทากำหนัด อย่าได้นึกพองขนว่าข้าจักยกเจ้าเป็นภรรยารองคนที่สี่” ท่านแม่ทัพพูดอย่างหนักแน่น
สายตาเฉี่ยวมองประตูอยู่หน้าโรงเตี๊ยม บุรุษรูปงามยังคงรอคอยให้เหมยลี่เดินออกมา แม้อากาศภายนอกจักหนาวเหน็บจนมีหิมะโปรยปรายก็มิอาจหวั่น เขาทำเพื่อสิ่งที่ใจปรารถนาได้อยู่แล้วผู้คนเดินเข้าออกกันอย่างมิขาดสาย นั่นมิอาจทำให้บุรุษชุดดำขยับกายไปไหน จนผ่านไปนานพอสมควรจากท้องฟ้าสีสว่างได้กลายเป็นมืดค่ำ โคมไฟที่ประดับอยู่ทุกบ้านพลันสว่างไสวขึ้นเช่นกันและแล้วใบหน้าก็พลันยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสตรีที่รอคอย เขาเห็นเธอเดินออกมาด้วยท่าทีที่แสนเมื่อยล้า จึงต้องรีบเดินไปหา"แม่นางเหมยลี่”ลี่หลินสะดุ้งเล็กน้อย นางกำลังเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมพร้อมบีบนวดเอวไปด้วย พอยืนทำงานหลังขดหลังแข็งนาน ๆ ร่างกายที่มีครรภ์ก็ยิ่งปวดเมื่อยจนเธออยากนวดให้คลายเส้น“ท่านมีอันใดรึ?” ลี่หลินถามด้วยความสงสัย เหตุใดเซียวจ้านถึงได้ยืนอยู่ตรงนี้“ข้า...” เซียวจ้านแค่อยากเห็นหน้าให้ชื่นใจ แต่หากตอบเช่นนี้ไปก็คงถูกไล่ตะเพิดแน่ “ข้ามาคุยเรื่องเปิดร้านกับเจ้า” เขาจึงต้องหาข้ออ้างไปเช่นนั้น“ข้าเมื่อยจะแย่แล้ว เอาไว้คุยกันวันหน้าเถิดท่าน” ลี่หลินทั้งเหนื่อยทั้งง่วง นางจึงเดินหนีคนตรงหน้า ก่อนหาวออกมาฟอดใหญ่“เจ้าเหนื่อยถึงเพียงนี้ เหตุ
บุรุษชุดดำเดินออกจากโรงเตี๊ยม ทั้งที่ใจจริงอยากนั่งรอหญิงอัปลักษณ์ไปจนถึงเวลาเลิกงาน แต่เขามีธุระที่ต้องไปจัดการเสียหน่อยจึงต้องรีบไปในป่าที่เงียบสงบมีบ้านไม้หลังเล็กเป็นที่พักพิงของเซียวจ้านเพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจากเขาฟื้นจากความตายในครั้งนั้นได้ฝึกวิทยายุทธทางสายดำจนทำให้ร่างกายภายในเปลี่ยนแปลงไปเซียวจ้านมิคิดว่ามันจักเสียหายอะไรในเมื่อเขาสามารถกลับมาได้ และนำพาให้เหมยลี่กลับคืนมาพบเจอเขาอีกหน มิว่าจักต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ยอมแต่ถึงอย่างนั้นอุปสรรคชิ้นใหญ่ก็ยังหนีมิพ้นมู่หยางที่เขาต้องรีบจำกัดออกไปเสีย เขาจึงหยิบกระดาษและพู่กันออกมาก่อนขีดเขียนถ้อยคำบางอย่างออกไปเพื่อแจ้งข่าวเซียวจ้านผิวปากเรียกนกพิราบสื่อสารทันทีเมื่อวางพู่กันลง มินานนกตัวเล็กสีเทาอมฟ้าได้บินโฉบมาเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างสายตาเฉี่ยวมองนกตัวน้อยพลางผูกกระดาษไว้ที่ขาของมัน“ไปที่เรือนตระกูลกู้” เขาบอกเพียงเท่านั้น ก่อนปล่อยให้นกตัวน้อยบินทะยานขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้งทางด้านตระกูลกู้ที่แสนวุ่นวายเพราะเสียงโวยวายของต้าเหนิง หลังจากที่สามีหนีหน้านางก็มีความเกรี้ยวกราดขึ้น ท้องของนางก็ใกล้คลอดอยู่รอมร่อมู่หยางก็ยังมิส่งข่า
“น่าอับอายนัก”ลี่หลินบ่นพึมพำพลางเช็ดปากตัวเอง สัมผัสของมู่หยางยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก นางมิอยากจดจำและมิอาจยอมรับจูบที่ไม่มีอารยธรรมเลยสักนิดสองเท้าก้าวเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นบุรุษชุดดำผู้หนึ่งกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่โต๊ะด้านใน“ท่านเซียวจ้านรึ”ลี่หลินขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเองอีกหน ในครั้งนี้อีกฝ่ายได้ถอดหมวกออกแล้ว นางที่ยังมิเคยเห็นหน้าเซียวจ้านชัด ๆ จึงเดินเข้าไปหาดวงตาจ้องมองบุรุษผู้นั้นอย่างมิคลาดไปไหน ผ้าม่านและเสาต้นใหญ่ค่อย ๆ หลบทางให้จากที่เห็นใบหน้าเพียงเล็กน้อยพลันได้เห็นเต็มตาจากที่ไกล ๆดวงตาคู่เฉี่ยวจ้องตอบทำให้นางหยุดชะงักเล็กน้อย แต่ยังเดินเข้าไปหาพระรองผู้นี้มีใบหน้าที่หล่อเหลาสมคำเปรียบเทียบโดยแท้ นางตกหลุมรักใบหน้านี้หลายคราจนยากจักถอนหัวใจเต้นโครมครามกึกก้องยิ่งกว่าเครื่องดนตรีที่คอยบรรเลงเสียอีก หากเซียวจ้านรู้ว่าลี่หลินคนนี้หลงรักเขาถึงเพียงนี้แล้ว จักยังเชื่ออยู่อีกหรือไม่ว่านางมิใช่เหมยลี่“ท่าน” ลี่หลินเอ่ยทักทายเซียวจ้านมองเสื้อกันหนาวบนตัวนางที่สวมใส่ พลางยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนช้อนตาขึ้นมองใบหน้าที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าเสี้ยวหนึ่ง“ท่า
ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ ลี่หลินลืมตาตื่นขึ้นมาโดยผินหน้าไปทางหน้าต่าง ก่อนหลุบตามองเสื้อกันหนาวของเซียวจ้านที่ถูกพับไว้อย่างดี นางเหม่อลอยเล็กน้อยพลางครุ่นคิดถึงความทรงจำเมื่อคืน คนมีใจรักให้พระรองรู้สึกเสียดายยิ่งนักที่ความรักนี้อาจไม่สมหวังหญิงอัปลักษณ์มิทนให้ใจสับสนได้นาน นางมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตจึงต้องลุกจากที่นอนไปทำงานในโรงเตี๊ยมเหมือนอย่างเคย“เจียเจี่ยท่านจักไปแล้วรึ” ฟูฟูเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่สาวเดินออกมาจากห้อง”“อืม ข้าต้องรีบไปแล้ว”“อากาศด้านนอกหนาวยิ่งนักท่านอย่าลืมสวมเสื้อให้อุ่นกาย ให้ข้าเตรียมถุงร้อนให้รึไม่”“มิเป็นไร” ลี่หลินไม่อยากรบกวนน้องสาวจนเกินไป นางจึงเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวของเซียวจ้านมาคลุมไว้แทน“เสื้อตัวนี้ ข้ามิเห็นคุ้นตา” ฟู่ฟู่ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย“ข้า...ข้าได้มาจากเถ้าแก่เนี้ย” ลี่หลินพลันหน้าแดงรีบโกหกไป ก่อนเดินหนี“เดินระวังด้วยเจียเจี่ย” ฟู่ฟู่ตะโกนตามหลัง นางเป็นห่วงสตรีมีครรภ์เหลือเกินอีกไม่นานหลานตัวน้อยก็ได้ลืมตาดูโลกแล้วลี่หลินเดินไปตามทางที่ขาวโพลน เมื่อคืนหิมะตกหนักมากเสียจนปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ นางจึงเดินไปโรงเตี๊ยมอย่างร
เสียงผู้คนจอแจบนถนนยามราตรีที่ประดับด้วยโคมไฟสีแดงไปตลอดทางเดิน หลายคนมาชมการแสดงร่ายรำและปล่อยโคมลอยกันเนืองแน่นลี่หลินเพิ่งจักได้สัมผัสบรรยากาศของประเพณีแบบดั้งเดิมเป็นคราแรกนางจึงตื่นตาตื่นใจยิ่งนักแต่น่าแปลกโดยแท้เมื่อหันไปมองเซียวจ้านในตอนนี้เขายังคงสวมหมวกปิดบังใบหน้าไว้“เหตุใดท่านถึงปิดบังใบหน้า” ด้วยความสงสัยหญิงอัปลักษณ์จึงเอ่ยถาม บุรุษรูปงามไยต้องปกปิดใบหน้านี้ไว้ เขามิใช่เฉกเช่นนางสักหน่อย“แม่นางอยากมองหน้าข้างั้นรึ” เซียวจ้านเอ่ย“มิใช่สักหน่อย ข้าแค่สงสัยบุรุษที่มีใบหน้าดั่งเทพเยี่ยงท่านไยจึงต้องปกปิดมันเอาไว้”“แม่นางชมข้าเกินไปแล้ว” ใบหน้าที่ถูกซ่อนใต้ม่านยกยิ้ม“ข้ามิได้ชมท่านสักหน่อย” ลี่หลินเคอะเขินรีบเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า“เจ้าระวังตัวด้วย” มือใหญ่รีบคว้าหญิงอัปลักษณ์ไว้ เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนวิ่งผ่านมาเกือบชนนางเข้า“ขอบน้ำใจท่าน”ลี่หลินพลันตกใจเล็กน้อย ก่อนยืนตัวตรง ใจของนางเต้นตึกตักอย่างบอกมิถูก หญิงที่แสนอัปลักษณ์แถมยังมีบุตรอยู่ในครรภ์เกิดอาการหวั่นไหวกับบุรุษผู้มิคู่ควรได้เยี่ยงไรนางครุ่นคิดด้วยความหนักใจพลางมองเหม่อลอยไปยังโคมที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าสี
ลี่หลินทำงานอยู่ในครัวอย่างเหน็บเหนื่อยจนยามโหย่วนางก็ได้ละมือจากงาน นางยังจำคำของเซียวจ้านได้ว่าเขาจักรอนางเพื่อไปเที่ยวงานลอยโคมด้วยกันลี่หลินในร่างอัปลักษณ์ยังคงลังเลใจ นางมิกล้าเดินออกไปหน้าโรงเตี๊ยมทั้งที่ตอนนี้นางควรกลับบ้านได้แล้ว“เจ้ายืนอยู่ที่นี่อีกทำไม” เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถามเมื่อเดินมาเห็นนางยังยืนอยู่ในโถง“ขะ...ข้า” ลี่หลินมิสามารถพูดได้เต็มปาก นางจึงละคำไว้เพียงเท่านั้นเถ้าแก่เนี้ยหรี่ตาอย่างสงสัย “มีอันใดงั้นรึ”หญิงอัปลักษณ์ส่ายหน้าเล็กน้อย “มิมีอันใด ข้าขอกลับก่อน” ลี่หลินเอ่ยลาแล้วเลือกเดินออกไปใบหน้าก้มลงพื้นพร้อมจับผ้าคลุมไว้เพื่อมิให้ใครเห็นนางได้ ลี่หลินรีบก้าวเท้าออกไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้“เจ้า!” ทว่ามิทันเสียแล้ว มีเสียงทุ้มมารั้งนางไว้แต่เสียงนี้มิใช่เสียงที่นางอยากได้ยินสักหน่อย นอกจากไม่หยุดฝีเท้า นางยังเมินบุรุษผู้นั้นด้วย“เหมยลี่” มู่หยางที่ยืนรอนางอยู่นานรีบตามนางไปเขาคว้าข้อมือนางเพื่อรั้งไว้ แต่แรงบุรุษที่กะแรงตัวเองมิได้ ทำให้นางเสียหลักเล็กน้อยจนโอนเอนมาทางเขา ท่านแม่ทัพผู้แต่งกายด้วยชุดธรรมดาประคองเอวนางไว้เอวของหญิงอัปลักษณ์มิได้ผอมบางเหมือนแต่ก