หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ดีขึ้นตามลำดับ ศิลาตัวติดกับหนึ่งสาวจนเหมือนคนคนเดียวกัน กลับจากทำงานก็ขลุกอยู่กับเธอ บางครั้งก็พาเธอมาทำงานด้วย ไม่ถึงครึ่งวันก็พาเธอกลับมานอนพักผ่อน และเขาก็นอนกับเธอด้วย แล้วออกไปทำงานเมื่อแน่ใจว่าเธอหลับสนิท
วันนี้ก็เช่นกันศิลาพาหญิงสาวมาทำงานด้วย เขาอนุญาตให้เธอเดินเล่นในไร่ดอกไม่ได้ แต่ต้องมีเขาไปด้วยทุกครั้ง สถานที่เดียวที่เขาไม่อนุญาตให้เธอไปคือน้ำตกท้ายไร่ นอกจากที่นั่นจะไกลจากพื้นที่ที่เขาทำงานแล้ว ที่นั่นยังเต็มไปด้วยอันตรายสารพัด ทั้งสัตว์ร้ายและพวกที่ใช้ช่องทางธรรมชาติลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้าเมือง หนึ่งฤทัยทำตามอย่างเคร่งครัด หญิงสาวจะออกไปไร่เฉาะเวลาที่เขาอยู่ด้วยเท่านั้น ถึงจะไปไกลแต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าสายตาของเขา
“หมอนัดวันไหน” ศิลาถามเมื่อพาเธอเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกัน
“วันอังคารหน้าค่ะ” หนึ่งฤทัยบอกแล้วขอตัวเดินแยกเข้าครัว นอกจากไปเที่ยวเล่นในไร่แล้ว ครัวยังเป็นอีกที่ที่หนึ่งฤทัยชอบไปอยู่ในนั้น นอกจากให้สายพิณสอนทำอาหารแล้ว หนึ่งฤทัยยังทำขนมได้อีกหลายอย่าง จนศิลายังต้องแซวว่าเธอวางแผนไปจากเขาจริง ๆ
“ข้าวเกรียบปากหม้อค่ะ ลองชิมดูนะคะ” หนึ่งฤทัยยกจานก้าวเกรียบปากหม้อมาวางให้เขา
“หอมจัง หน้าตาก็น่ากิน คุณทำเองเหรอ” ศิลาถามแล้วจิ้มเข้าปาก
“อร่อยไหมคะ” หนึ่งฤทัยถาม อย่างรอคอยคำตอบ
“อร่อยมากครับ นั่งทานด้วยกันสิครับ” ศิลาชวนพร้อมขยับที่นั่งให้เธอ
“แป้งที่ผสมแล้วยังเหลืออีกเยอะเลยค่ะ ฉันทำเผื่อคนงานในไร่ด้วย จะให้ทันเวลาอาหารกลางวัน ไม่รู้จะทันหรือเปล่า ขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบหนึ่งฤทัยก็เดินกลับเข้าไปในครัว ศิลามองตามแล้วยิ้มให้แผ่นหลังบาง หนึ่งฤทัยเป็นคนมีน้ำใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เขาเองก็พึ่งรู้เพราะที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยได้สนใจเธอนัก ไม่คิดว่าคนที่อยู่เมืองนอกมาตลอดชีวิตจะมีน้ำใจแบบนี้ข้าวเกรียบปากหม้อและสาคูไส้หมูเสร็จในเวลา 11:30 น. ทันเวลาอาหารกลางวันพอดี ศิลายกกล่องใส่ขนมใส่รถ แล้วพาเธอเข้าไปในไร่ แม่ครัวและคนงานมาช่วยกันยกลงไปวาง หนึ่งฤทัยทำหน้าที่ตักแจกคนงาน แม่ครัวและคนงานจ่างพากันขอบคุณ เพราะตั้งแต่หนึ่งฤทัยหัดทำขนม คนงานในไร่ก็ไม่เคยอด
“อร่อยมากเลยครับนายหญิง” มนตรีบอกกับหญิงสาวเมื่อตักสาคูไส้หมูเข้าปาก ทุกคนในไร่ต่างพากันเรียกเธอว่านายหญิง
“อร่อยก็ทานเยอะ ๆ นะคะ ในกล่องยังเหลือค่ะ เพิ่มได้นะคะคุณเบียร์” หนึ่งฤทัยบอกกับมนตรี
“อร่อยมากเลยเหรอเบียร์ อร่อยก็กินเยอะ ๆ นะ จะห่อไปฝากสาว ๆ ด้วยก็ได้นะ หนึ่งทำมาเยอะ” ศิลาที่เดินเข้ามาได้ยินบทสนนทนาที่มนตรีพูดกับหนึ่งฤทัยพอดี จึงขัดขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับนาย” มนตรีปฏิเสธพร้อมกับทำท่าจะยกจานข้าวไปนั่งกินที่อื่น แต่ถูกศิลากดบ่าเอาไว้
“จันทร์ไปไหน ไปตามจันทร์มากินข้าวได้แล้ว” ศิลาหันไปถามคนงานที่นั่งกินข้าวอยู่ และบอกให้คนที่กินข้าวอิ่มแล้วไปตามนวลจันทร์มา ทุกคนในไร่ต่างก็รู้ว่ามนตรีกำลังจีบนวลจันทร์อยู่
“จันทร์ลาหยุดครับนาย มีดบาดมือเมื่อวาน” มนตรีบอกกับเจ้านาย
“อ้าว เป็นไรมากเปล่า ฝากเยี่ยมด้วยนะ” การกระทำและคำพูดของศิลาไม่บอกก็รู้ว่าเขากำลังเป็นหมาห่วงก้าง เพราะกลัวมนตรีจะวุ่นวายกับคนของเขา
“ใครยังไม่ได้ขนม ใครได้แล้วแต่อยากกินอีกมาต่อคิวเลยนะ ใกล้ถึงเวลาพักผ่อนของแม่ครัวแล้ว” ศิลาบอกกับคนงาน แล้วจัดแจงหยิบขนมให้คนงานแทนเธอ
“ทำแบบนี้ขนมฉันก็ขายไม่ออกสิคะ ใครจะกล้ากิน” หนึ่งฤทัยบอกกับเขา
“ดีไม่อยากให้ใครกินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ขนมของคุณผมอยากกินคนเดียวเท่านั้น”
“เยอะขนาดนี้คุณกินหมดไหมล่ะคะ เข้าใจว่าหึงเข้าใจว่าหวง แต่ช่วยเลือกเวลาหน่อยได้ไหมคะ เขาเป็นคนงานของคุณ ช่วยคุณทำงาน ฉันก็อยากตอบแทนพวกเขาบ้าง ขนมพวกนี้คิดเสียว่าเป็นน้ำใจของภรรยาเจ้าของไร่ก็แล้วกันนะคะ” หนึ่งฤทัยบอกกับเขา มันก็จริงของเธอคนงานเหล่านี้เป็นคนของเขา ที่หนึ่งฤทัยทำแบบนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของเขาทั้งนั้น แล้วเขาจะอิจฉาคนงานทำไม
หนึ่งฤทัยตามศิลาเข้าไปในออฟฟิศ หญิงสาวช่วยเขาดูจดหมายที่คนงานเอามาส่งให้ แล้วแยกเป็นกองไว้ให้เขา แล้วจัดโต๊ะแยกเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ ศิลาที่นอนเหยียดยาวบนโซฟามองเธอจับนี่จับนั่นจนเพลินตา หนึ่งฤทัยไม่ใช่คนสวยที่ต้องเหลียวหลังมอง แต่เธอคือคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ศิลาสะดุดความคิดของตัวเอง ที่เผลอคิดไปว่าหนึ่งฤทัยเป็นน้ำเย็นสำหรับเขา ทั้งที่จริง ๆ แล้วเธอคือน้ำกรดที่พร้อมจะทำลายล้าง
“มานั่งนี่เถอะคุณ ตรงนั้นให้แม่บ้านเขาทำ คุณทำหมดแล้วแม่บ้านจะทำอะไรล่ะ” ศิลาเรียกหญิงสาว แล้วขยับแบ่งที่ให้เธอ
“เสร็จแล้วค่ะ” หนึ่งฤทัยบอกแล้วถูผ้าไปบนโต๊ะอย่างตั้งใจ
“พอเถอะน่า มานอนพักกันดีกว่า”
“นอนอะไรล่ะคะ นี่ห้องทำงานนะคะ”
“ไม่มีใครเข้ามาหรอกน่า ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครมาเห็นหรอก”
“คุณนอนเถอะค่ะ ฉันขออ่านหนังสือนั่นได้ไหมคะ” หนึ่งฤทัยบอกกับเขา ศิลาพยักหน้าอนุญาต หนึ่งฤทัยกรีดนิ้วลงบนสันหนังสือเล่มหนาบนชั้น นึกแปลกใจเพราะหนังสือเหล่านี้คือภาษาต่างประเทศทั้งนั้น มีไว้อ่านหรือมีไว้ประดับกันแน่ หนึ่งฤทัยคิดแล้วเลือกหนังสือมาหนึ่งเล่ม แล้วถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ของเขา เปิดหนังสืออ่านทีล่ะหน้าอย่างสบายใจ ศิลาหลับไปแล้วหนึ่งฤทัยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงกรนของเขา อ่านหนังสือไปพักใหญ่หนึ่งฤทัยก็เมื่อยล้า ร่างบางบิดกี้เกียจไปมา เมื่อหนังสือหมดความน่าสนใจ หนึ่งฤทัยก็มองหาสิ่งใหม่มาทดแทนเพื่อฆ่าเวลา ตากลมโตมองรูปในกรอบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ รูปนี่น่าจะเป็นครอบครัวของเขา เด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางคงเป็นศิลาสินะ
“หล่อมาตั้งแต่เด็กเลยนะ” เอ่ยชมแล้วมองไปยังคนที่หลับสนิทบนโซฟา ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้าไปหาคนหลับเหมือนถูกมนต์สะกด ย่อตัวนั่งลงบนพื้น
ตากลมโตจับจ้องอยู่บนใบหน้าของคนที่หลับสนิท นิ้วเรียวกรีดไล้ลงบนกรอบหน้าคมสันอย่างเผลอไผล เธอไม่รู้ว่ารู้สึกแบบนี้กับศิลาตอนไหนกัน ก่อนหน้าที่เธอจะความจำเสื่อมเธอคงรักเขามากเลยสินะ เพราะตอนนี้เธอรู้สึกกับศิลาแบบนี้จริง ๆ เธอรักเขาจนหมดหัวใจ มีความสุขทุกครั้งที่มีเขาเคียงข้าง“ฉันรักคุณนะคะ” กระซิบชิดใบหูแกร่ง แล้วฝังจมูกลงบนแก้วสากแผ่วเบา จังหวะที่จะลุกขึ้น มือของคนที่เธอคิดว่าหลับสนิทก็คว้าลงที่มือบาง แล้วออกแรงดึงให้เธอล้มลงมาทาบทับบนตัว เพราะไม่ทันระวังหนึ่งฤทัยจึงล้มลงไปนอนซ้อนทับบนร่างแข็งแกร่ง
“คุณหิน!” หนึ่งฤทัยร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ครับ” ศิลาขานรับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็น” หนึ่งฤทัยบอกพร้อมกับดิ้นอยู่บนอกของเขา
“ผมหลับของผมอยู่ดี ๆ ใครล่ะมากวนผมให้ตื่น”
“ฉันไม่คิดว่าคุณจะตื่นนี่ค่ะ” หนึ่งฤทัยแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ
“ตอนแรกก็ไม่อยากตื่นหรอกครับ แต่มีคนมาบอกรักเลยต้องตื่นมาดูหน้าเสียหน่อย”
“ไม่อยากตื่น คุณไม่ได้หลับเหรอคะ”
“ใครบอกว่าผมหลับ ผมแค่พักตาเฉย ๆ” สิลาบอกแล้วกอดรัดเอวเธอเอาไว้
“ปล่อยก่อนค่ะ” หนึ่งฤทัยบอกกับเขา
“อ่านหนังสือแล้วเหรอ”
“อ่านไปได้สามสี่หน้าค่ะ เล่มที่หยิบมาเคยอ่านแล้ว”
“เก่งมาก อ่านภาษาต่างประเทศออกด้วย”
“อ้าว นี่ชมเหรอคะ”
“ชมครับชม”
“ว่าแต่คุณเถอะ ซื้อมาอ่านหรือซื้อมาประดับผนังคะ”
“ถามแบบนี้ก็ได้เสียสิครับ” พูดจบก็ใช้มือข้างที่ว่าง กดศีรษะเธอลงมาจนริมฝีปากของเขาและเธอห่างกันไม่ถึงคืบ
“คุณคุณจะทำอะไร”
“อื้อออ...” หนึ่งฤทัยร้องออกมา เมื่อศิลากดศีรษะเธอลงมาจนปากของเธอประกบลงมาที่ปากของเขา
ปากร้อนบดขยี้ลงบนปากบาง แทรกลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากบาง ดูดดึงดุนดันลิ้นเล็กที่เอาแต่คอยจะถอยหนี หนึ่งฤทัยดิ้นไปมา ศิลาไม่สนใจกับการขัดขืนของเธอ ยิ่งเธอดิ้นก็ยุ่งสนุกที่ได้แกล้งเธอ
“อย่าค่ะ” หนึ่งฤทัยร้องห้ามเมื่อศิลาพลิกเธอให้อยู่ใต้ร่าง หญิงสาวขนลุกเมื่อสบกับตาคมเข้มที่เต็มไปด้วยความปารถนาของเขา
“คุณหินค่ะ นี่ห้องทำงานนะคะ” หนึ่งฤทัยบอก เมื่อศิลาทาบทับลงมา
“จริงด้วย ทำไงดีล่ะ ผมทนไม่ไหวแล้ว”
“คนบ้า...” หนึ่งฤทัยว่าให้ศิลาจะหื่นกามเกินไปแล้ว ก่อนจะต้องร้องออกมา เมื่ออยู่ ๆ ก็ลอยขึ้นจากพื้นโซฟา
ศิลาช้อนร่างบางเข้าสู่อ้อมแขน แล้วเดินไปยังห้องที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน
“คุณหินค่ะ” หนึ่งฤทัยเรียกชื่อชายหนุ่ม เมื่อเขาวางเธอลงบนที่นอนนุ่มบนตียง
หนึ่งฤทัยรู้สึกตัวในเวลาต่อมา ตากลมโตมองฝ้าเพดานหลัง ก่อนจะหลับตาลงแล้วคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา เมื่อแน่ใจว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาล “ฟื้นแล้วเหรอลูก เป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวพ่อตามหมอให้นะ” ภากรถามแล้วเดินมายืนข้างเตียงที่ลูกสาวนอนพักฟื้นอยู่ “คุณพ่อคะ คุณหินล่ะคะ คุณหินไปไหนคะ” ภากรขมวดคิ้วเข้าหากัน ที่ได้ยินลูกถามหาศิลาทันทีที่ลืมตาขึ้นมา “ศิลาพายายแก้วตาไปตั้งแต่เช้า ยังไม่พายายแก้วมาส่งเลย” คำพูดนี้ภากรหวังผลให้หนึ่งฤทัยโกรธ แต่หนึ่งฤทัยกลับเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “หนึ่งมาอยู่โรงพยาบาลได้ยังไงคะ คุณพ่อบอกคุณหินด้วยนะคะว่าหนึ่งฟื้นแล้ว หนึ่งอยากกลับบ้านค่ะ หนึ่งคิดถึงคุณหิน หนึ่งคิดถึงลูก” “หนึ่งว่าอะไรนะ หนึ่งคิดถึงใครนะลูก” ภากรถามเพื่อความแน่ใจว่าเขาฟังไม่ผิด “หนึ่งคิดถึงคุณหินกับลูกค่ะ” หนึ่งฤทัยตอบด้วยน้ำเสียงชัดเจน “พ่อว่า พ่อเรียกหมอมาดูอาการหนึ่งดีกว่า” พูดจบภากรก็กดกริ่งเรียกหมอ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆเพราะหนึ่งฤทัยจะคิดถึงศิลาได้อย่างไร เพราะคนที่ทำให้หนึ่งฤทัยตกอยู่ในสภาพนี้ก็คือศิลา แถมศิลา
ศิลาพาหญิงสาวพามาโรงพยาบาล ภากรและเลขาตามมาในเวลาต่อมา “ยายหนึ่งเป็นยังไงบ้างคุณหิน” ภากรถามเมื่อพาตัวเองมายืนหน้าห้องฉุกเฉิน แววตาเจ้าเล่ห์หลบแววตาคมดุที่มองมาที่เขาเขม็ง “ทำไมคุณมองผมแบบนี้ล่ะหิน แล้วยายแก้วอยู่ที่ไหน คุณเอาหลานผมไว้ไหน" “ไม่ต้องห่วงแก้ตาอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว ทันที่ที่หนึ่งฤทัยฟื้น ผมจะพาเธอไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยด้วยเช่นกัน” “หมายความว่ายังไงหิน เรื่องนี้ให้ยายหนึ่งเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่านะ คืนหลานให้ผมเถอะ เราจะตัดสินใจกันเอง” ภากรบอกกับคนหนุ่ม สิ้นเสียงภากรศิลาก็ยืนขึ้นเต็มความสูง “คุณยังไม่ได้ตัดสินใจอีกหรือคุณภีม ผมนึกว่าคุณตัดสินใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้วซีก” “พูดอะไรของคุณ” ภากรถามพร้อมกับหลบตา “ที่คุณคืนทุกอย่างให้ผม ก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอคุณภีม คุณรู้ว่าถึงยังไงผมก็ต้องรับผิดชอบหนึ่งฤทัยกับลูก มันก็เป็นไปตามแผนของคุณแล้วไง ยังต้องการอะไรอีก” “หมายความว่ายังไง” “หมายความว่าผมรู้ทันแผนการของคุณไงครับ ต่อไปนี้เรื่องของผมกับหนึ่งฤทัย คุณไม่ต
หนึ่งฤทัยตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าให้ลูก เมื่อตัดสินใจอยู่ที่บ้านแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป การเผชิญหน้าระหว่างเธอกับเขาต้องเกิดขึ้นอีกแน่ ๆ แต่เธอจะมีสติให้มากกว่านี้ เธอจะไม่หวาดกลัว และจะไม่หนีเขาอีกแล้ว ศิลาก็แค่ผู้ชายธรรมดาเท่านั้น คนที่ร้ายที่สุดคือพ่อของเธอต่างหาก ความเสียใจตีตื้นเข้ามาในหัวใจ นอกจากลูกแล้ว พ่อเป็นอีกคนที่เธอรักมากที่สุด ไม่คิดเลยว่าพ่อจะทำแบบนี้กับเธอ “คุณศิลามาขอพบค่ะ” คำพูดของแม่บ้านทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน “คุณศิลาขอพบหนึ่งเหรอคะ” ถามเพื่อความแน่ใจ เพราะไม่รู้ว่าคนที่เขาต้องการพบคือเธอหรือพ่อกันแน่ “ใช่ค่ะ คุณศิลาบอกว่าต้องการพบคุณหนึ่ง” แม่บ้านเน้นย้ำคำพูดของศิลาให้เธอฟัง “คุณศิลาอยู่ที่ไหน” “อยู่ในห้องรับแขกค่ะ” “ไปบอกเขานะคะว่าเดี๋ยวหนึ่งลงไป” แม่บ้านออกไปแล้ว หนึ่งฤทัยถอนหายใจออกมา ตากลมโตมองไปที่ลูกที่ยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง “คุณต้องการพบฉันเหรอคะ” หนึ่งฤทัยถามเมื่อเดินเข้ามาเผชิญหน้าเขาในห้องรับแขก “แก้วตาอยู่ไหน” ศิลาถามเมื่อไม่เห็นคนตัวเล็กลงมาก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ มีผลกับหัวใจของศิลาไม่น้อย เพราะภาพใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของหนูแก้ตายังติดอยู่ในหัวของเขา สลัดยังไงก็ไม่ออก หนึ่งฤทัยตกใจมากที่เจอเขา เขาเองก็ตกใจมากเช่นกัน หลายปีมานี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขายังนึกถึงเธอ ถึงแม้จะพยายามลืม แต่ก็ลืมเธอไม่ได้สักครั้ง หนึ่งฤทัยยังคงอยู่ในความทรงจำของเขา การเจอกันครั้งนี้ทำให้ศิลาทำตัวไม่ถูก ความรู้สึกในหัวตีกันจนวุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะตอนที่ตาของเขาสบเข้ากับตากลมโตคู่เล็กโลกของเขาก็แทบจะหยุดหมุน เมื่อคิดไม่ตกศิลาก็พาตัวเอง ออกไปยังที่ที่เขามักจะไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น บ้านท้ายไร่เป็นที่ที่เขาจะมาอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็นอนค้างที่นี่ ที่นี่ยังเป็นเหมือนเดิม มืดและเงียบเหงา ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้มันเป็นคุกกักขังและทำร้ายเธอ หนึ่งฤทัยยังคงเหมือนเดิมมีเพียงสายตาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ในความตกใจและสับสนมันมีความว่างเปล่าอยู่ในนั้น ว่างเปล่าซะจนเขาคิดว่าเธอมองเขาเป็นแค่อากาศเท่านั้น เด็กคนนั้นชื่อแก้วตา ภากรบอกว่าแก้วตาฉลาดเกินวัย อายุแค่สามขวบกว่า ๆ แต่รู้เรื่องทุกอย่าง พูดคุยตอบโต้ได้ทุกอย่าง ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อจนได้มาเห็นกับตา ลูกเขาฉลาดเกิ
สามปีต่อมา“หนึ่งจะกลับเมืองไทยพร้อมอาหรือเปล่าลูก” อรนภาถามคนที่นอนตะแคงป้อนนมลูกอยู่บนเตียงนอน “หนึ่งยังไม่พร้อมค่ะคุณอา หนึ่งกลัว” หนึ่งฤทัยบอกกับคนที่เดินมาหย่อนสะโพกลงบนเตียงนอนของเธอ “หนึ่งไม่ได้ทำอะไรผิด จะกลัวทำไมลูก” อรนภาบอกกับหญิงสาว พร้อมกับเอื้อมมือมาลูบศีรษะเจ้าตัวเล็กที่หลับพริ้มอยู่กับหน้าอกของแม่ “หนึ่งกลัวผู้ชายคนนั้นจะมาวุ่นวายกับหนูแก้วตานะคะ” หนึ่งฤทัยบอกอรนภาไปตามตรง ตั้งแต่พ่อกับแม่หย่าร้างกัน เธอก็ถูกส่งตัวมาอยู่กับอาที่ต่างประเทศ อรนภาจึงเป็นเหมือนแม่คนที่สองของเธอ “เขาเป็นคนบอกเองว่าไม่ต้องการลูก หนึ่งจะเก็บเอาไว้หรือเอาลูกออกก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ไม่ต้องกลัวนะลูกอาจะอยู่ข้าง ๆ หนึ่งเสมอ” “ขอบคุณค่ะอาอร” หนึ่งฤทัยพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา “เป็นอะไรลูก ร้องไห้ทำไม” อรนภาถามด้วยความตกใจ “หนึ่งดีใจนะคะ ที่หนึ่งมีอาเป็นแม่ของหนึ่งอีกคน ถ้าวันนั้นหนึ่งไม่มีคุณอา หนึ่งคงไม่ได้เก็บหนูแก้วตาเอาไว้ หนึ่งขอบคุณอาอรนะคะ ที่ดูแลหนึ่งกับลูกมาตลอด” “ไม่ต้องคิดมากนะลูก อะไรที่ม
ศิลาเดินทางมากรุงเทพฯ อีกครั้ง ปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือบ้านของภากร “ผมคิดไว้แล้วว่าคุณต้องมา” ภากรพูดขึ้น เมื่อศิลาเดินเข้ามาในห้องโถงของบ้าน “หนึ่งฤทัยอยู่ไหน” ศิลาถาม “คิดถึงยายหนึ่งเหรอหิน” ภากรไม่ตอบคำถาม แต่ถามคำถามกลับมา “ผมถามว่าหนึ่งฤทัยอยู่ไหน เรียกเธอลงมาพบผมเดียวนี้ เรามีเรื่องต้องคุยกัน” “ยายหนึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก กลับฝรั่งเศสตั้งแต่วันที่กลับมาจากเชียงรายเลย ผมเองก็ยังไม่ได้เจอหน้าลูกเหมือนกัน” “ไม่จริง!” “ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องโกหกคุณ ยายหนึ่งกลับฝรั่งเศสไปแล้ว ไม่เชื่อก็ตามไปสิ” “ไม่! ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น” เขาไม่ได้อยากเจอเธอถึงขนาดจะต้องบินข้ามฟ้าไปหาขนาดนั้น “เดี๋ยวก่อนหิน” ภากรเรียกชายหนุ่มเอาไว้ เมื่อเขาจะก้าวเท้าออกจากบ้าน “อะไร” ศิลาถาม ตาคู่คมจ้องมองซองสีน้ำตาลในมือภากรเขม็ง “เอกสาร...” ภากรตอบเสียงราบเรียบ “อย่าคิดว่าจะให้ผมรับผิดชอบอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นกับหนึ่งฤทัยมันก็แค่ความใคร่” คำพูดของศิลาทำให้หัวใจของคนเป็น