บทที่ 2 : งามล่มเมือง
ฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยนสวนหลังจวนของอัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปาให้กลายเป็นสีทอง แสงแดดยามเย็นสาดส่องผ่านใบไม้ร่วงที่ปลิวไปตามสายลมอบอุ่น บรรยากาศเงียบสงบยิ่งเพิ่มความงามให้กับบรรยากาศ
ชิงอี้หรานในวัยสิบแปดปี ยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนลายปักดอกไม้สีขาว เส้นผมดำขลับถักเป็นเกล้าแนบเนียน ใบหน้างดงามดั่งเทพธิดา ดวงตาคมหวาน ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูอ่อน ชิงอี้หรานเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ผิวขาวเนียนราวกับหยก และดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวยามค่ำคืน ชิงอี้หรานเป็นดั่งหญิงงามล่มเมืองที่ทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างหลงใหล พวกเขาต่างพากันหมายปองและฝันอยากได้เป็นภรรยา อีกทั้งอำนาจบารมีของบิดานาง อัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปา ยิ่งเพิ่มความปรารถนาในใจของพวกเขา
"อี้หราน ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ในจวน อย่าไปไหนไกลนะ" ชิงหยาง พี่ชายคนโต เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง ขณะที่พวกชายหนุ่มนั่งอยู่ในเรือนรับรอง
ชิงอี้หรานยิ้มหวาน "ทำไมกันเจ้าคะ พี่หยาง ข้าอยากเดินเล่นในสวนไปถึงหน้าประตูจวนเท่านั้นเอง"
ชิงหลง พี่ชายคนที่สอง เดินเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือ "อี้หราน เจ้ารู้หรือไม่ว่า มีบุตรของเจ้ากรมพิธีแอบลอบส่งจดหมายเกี้ยวพาเจ้า ข้ากับพี่หยางต้องคอยระวังไม่ให้พวกนั้นเข้ามาใกล้เจ้า"
ชิงเฟย พี่ชายคนที่สาม เดินเข้ามาอีกคน "ใช่แล้ว ข้าได้ยินข่าวว่าเขาตั้งใจจะมาเจอเจ้าที่สวนนี้ ข้ากับพี่ชายทั้งสองจึงต้องหาวิธีข่มขวัญให้เขาหนีกระเจิง"
ชิงอี้หรานหัวเราะเบา ๆ "พวกท่านพี่นี่ช่างเป็นห่วงข้าเสียจริง ข้าไม่คิดว่ามีใครกล้าหรอก"
ชิงหยางพยักหน้า "เขาคงไม่รู้หรือไม่ก็ไม่สนใจ แต่หลังจากนี้ ข้าจะดูแลเจ้าอย่างเข้มงวดกว่านี้ พวกเราจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องเจ้า"
ในบ่ายวันนั้นทั้งสามพี่น้องจึงวางแผนข่มขวัญชายหนุ่มผู้นั้น
“พี่หยาง ข้าว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว” ชิงหลงกล่าวด้วยความโมโห
“ใช่ พวกเราต้องสอนบทเรียนให้เขาเข้าใจ” ชิงเฟยเห็นด้วย
พี่ชายทั้งสามรอคอยบุตรของเจ้ากรมพิธีที่หน้าจวนเจ้ากรมพิธีการ เมื่อเห็นหนุ่มน้อยหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ ชิงหยางย่างก้าวเข้าไปหยุดชายหนุ่มไว้
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาเกี้ยวพาน้องสาวของเรา” ชิงหยางพูดด้วยเสียงดุดัน
“ข้า... ข้าแค่...” หนุ่มน้อยตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“หากเจ้าคิดจะมาเกี้ยวพาน้องสาวของเรา เจ้าต้องผ่านพวกเราไปก่อน!” ชิงหลงพูดเสริม
ชิงเฟยยิ้มเย็น “เจ้าไม่รู้หรือว่าการเข้าใกล้ชิงอี้หรานคือการเล่นกับไฟ”
หนุ่มน้อยคนนั้นหน้าซีดเผือด และรีบวิ่งหนีเข้าจวนไปอย่างรวดเร็ว
ข่าวการข่มขวัญบุตรของเจ้ากรมพิธีแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ทุกคนทราบว่าหญิงงามจากตระกูลชิงนั้นมีพี่ชายสามคนที่พร้อมจะปกป้องหญิงสาว แม้ว่าจะเป็นบุตรของขุนนางสูงศักดิ์ก็ไม่อาจเข้ามาใกล้ชิดได้
"ท่านพี่ ข้าไม่ต้องการให้ท่านต้องทำเรื่องลำบากเพราะข้า" ชิงอี้หรานพูดเสียงเบา "ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น"
ชิงหยางยิ้ม "เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเราจะปกป้องเจ้าเสมอ ไม่ว่าจะแบบใด เราจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้า"
ชิงหลงเสริม "ใช่แล้ว อี้หราน เจ้าคือแก้วตาดวงใจของตระกูลชิง พวกเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้ามีความสุข"
ชิงเฟยยิ้มแล้วกล่าว "และหากมีใครกล้าลองดีอีก ข้าจะเป็นคนแรกที่จัดการพวกมัน"
ชิงอี้หรานยิ้มกว้าง รู้สึกขอบคุณในความรักและการปกป้องของพี่ชายทั้งสาม หญิงสาวรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจว่าพวกเขาจะอยู่เคียงข้างนางเสมอ
เวลาผ่านไป ชื่อเสียงของชิงอี้หรานและพี่ชายทั้งสามเป็นที่รู้จักทั่วเมืองหลวง แม้ว่าหลายคนจะหลงใหลในความงามของชิงอี้หราน แต่ก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะเกรงกลัวพี่ชายของนาง ชิงอี้หรานจึงกลายเป็นดั่งดอกไม้ที่งดงามแต่ไม่อาจแตะต้อง
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล