บทที่ 3 : หัวใจที่พบรัก
ชิงอี้หรานที่ถูกเลี้ยงดูดั่งหญิงสาวหลังม่าน นานวันเข้าชิงอี้หรานเริ่มอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวภายนอก แคว้นโย่วเป็นแคว้นที่เจริญรุ่งเรือง มีเสียงเล่าขานถึงความสวยงามและความครึกครื้นของตลาดนัด ทำให้หญิงสาวอดใจไม่ไหวที่จะออกไปเห็นด้วยตาตนเอง
“ซิวเอ๋อ ข้าอยากไปเที่ยวตลาดในเมืองหลวง เราจะทำอย่างไรดี” ชิงอี้หรานถามสาวใช้คนสนิท
ซิวเอ๋อคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “คุณหนู ถ้าเราจะไป ต้องแอบออกไปตอนเช้า แล้วกลับมาก่อนฟ้ามืด”
ชิงอี้หรานพยักหน้า “ตกลง พรุ่งนี้ตอนเช้าเราจะออกไป”
วันรุ่งขึ้น ชิงอี้หรานและซิวเอ๋อแอบออกจากบ้านแต่เช้า เดินทางไปยังตลาดนัดในเมืองหลวง เมื่อถึงที่นั่น ชิงอี้หรานรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความครึกครื้น หญิงสาวเดินชมสินค้าต่างๆ ด้วยความประทับใจ
เสียงคึกคักของตลาดดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ ผู้คนหลากหลายสัญจรไปมาอย่างหนาแน่น ทั้งพ่อค้าแม่ขายที่ตะโกนเชิญชวนให้ลูกค้าซื้อสินค้าของตน และผู้คนที่เดินชมตลาดอย่างสนุกสนาน
ชิงอี้หราน ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้ม มีผ้าคลุมศีรษะสีขาวปิดบังใบหน้างดงาม เดินเคียงข้างสาวใช้ที่หญิงสาวไว้ใจที่สุด หญิงสาวยิ้มอย่างตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เห็น ให้ความรู้สึกถึงอิสระและความสนุกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
"คุณหนู ระวังอย่าให้ใครเห็นหน้าท่านนะเจ้าคะ" สาวใช้เตือนอย่างห่วงใย
"ข้าไม่เป็นไรหรอก ซิวเอ๋อ ข้าแค่อยากเที่ยวเล่นภายนอกสักครั้งเท่านั้น" ชิงอี้หรานตอบพลางจับมือสาวใช้แน่น
ขณะที่ชิงอี้หรานเดินดูเครื่องประดับบนร้านค้าริมถนน ทันใดนั้นมีรถม้าคันใหญ่แล่นมาด้วยความรวดเร็ว เสียงของม้าที่ฝีเท้ากระแทกพื้นดังกึกก้อง ชิงอี้หรานตกใจและชะงักไปด้วยความกลัว หญิงสาวกัดฟันแน่นพร้อมหลับตาปี๋ จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มในชุดสีฟ้าอ่อนก็พุ่งเข้ามาคว้าตัวชิงอี้หรานไว้แนบอก ดันร่างหญิงสาวถอยออกมาจากเส้นทางรถม้าคันดังกล่าวอย่างทันท่วงที
ชิงอี้หรานรู้สึกไอร้อนจากกายหนุ่มแผ่ซ่านจนทะลุเนื้อผ้าหนา ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน ขณะเดียวกันกับร้อนรุ่ม หัวใจเต้นรัว ยามเมื่อทั้งสองสบตากัน ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ ดวงตาเรียวแหลมกลับคมกริบ ยิ่งทำให้ใจหญิงสาวกลับสั่นไหว พลันตกอยู่ในห้วงรักเพียงแรกพบ
หนิงซีโย่ว องค์ชายห้าแห่งแคว้นโย่ว มีใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ ดวงตาเรียวแหลมคมกริบ และริมฝีปากบางเรียบ สายตาของชายหนุ่มส่งมาพลังแห่งความอบอุ่นและเสน่ห์อันไม่อาจต้านทานได้
"เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" หนิงซีโย่วถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
ชิงอี้หรานพยายามตั้งสติและตอบด้วยเสียงเบา "ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือข้า"
หนิงซีโย่วมองหญิงสาวอย่างตั้งใจ "ข้าคือหนิงซีโย่ว เจ้าเล่า ชื่ออะไร"
ชิงอี้หรานตระหนักว่าต้องปกปิดฐานะของตน หญิงสาวยิ้มอ่อนและตอบ "ข้าชื่อหยวนเอ๋อเจ้าค่ะ"
หนิงซีโย่วพยักหน้า "ยินดีที่ได้รู้จัก หยวนเอ๋อ ข้าไม่ค่อยได้พบหญิงงามเช่นเจ้าที่ตลาดหลวง เจ้าอยากไปไหนหรือไม่ ข้าจะพาเจ้าไป"
ชิงอี้หรานรู้สึกประหลาดใจและยินดีในเวลาเดียวกัน "ท่านจะพาข้าไปหรือ ข้าเพียงอยากเดินชมตลาดเท่านั้น ท่านไม่ต้องลำบากหรอก"
หนิงซีโย่วยิ้ม "ไม่ลำบากเลย ข้าตั้งใจมาเดินชมตลาดเหมือนกัน เช่นนั้น เราไปด้วยกันดีหรือไม่"
ชิงอี้หรานรู้สึกอบอุ่นใจและยินดี "ขอบคุณท่าน หนิงซีโย่ว ข้าจะยินดีมาก"
พวกเขาเดินเล่นในตลาดหลวงด้วยกัน สาวใช้ซิวเอ๋อคอยเดินตามห่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ชิงอี้หรานรู้สึกอิสระและสนุกสนานที่ได้เดินชมของในตลาด พร้อมกับรู้สึกใจเต้นทุกครั้งที่หนิงซีโย่วอยู่ใกล้
ขณะที่เดินผ่านร้านขายเครื่องประดับ หนิงซีโย่วชี้ไปที่ปิ่นปักผมรูปดอกเหมย "เจ้าชอบไหม"
ชิงอี้หรานมองปิ่นปักผมและพยักหน้า "ชอบเจ้าค่ะ แต่มันแพงเกินไป ข้าไม่ต้องการซื้อของแพงเช่นนี้"
หนิงซีโย่วไม่สนใจคำพูดของหญิงสาว ชายหนุ่มซื้อปิ่นปักผมและยื่นให้ชิงอี้หราน "ข้าอยากให้เจ้า ใส่แล้วต้องงามแน่"
ชิงอี้หรานรับปิ่นปักผมด้วยความประทับใจ "ขอบคุณท่าน ข้าจะรักษาไว้อย่างดี"
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองเดินเล่นในตลาดจนเกือบค่ำ ชิงอี้หรานรู้สึกว่าเวลานี้เป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต แต่ต้องกลับไปยังจวน
"หยวนเอ๋อ ข้าอยากพบเจ้าอีกครั้ง" หนิงซีโย่วเอ่ยพลางมองตาหญิงสาว
ชิงอี้หรานรู้สึกเขินอาย แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นและตื่นเต้น หญิงสาวไม่เคยพบเจอชายหนุ่มที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ขณะที่ทั้งสองสนทนากัน ซิวเอ๋อก็มาถึงและเรียกชิงอี้หราน “คุณหนู เราควรกลับได้แล้ว”
ชิงอี้หรานพยักหน้า “ข้าต้องไปแล้ว ขอบคุณท่านอีกครั้ง”
หนิงซีโย่วมองหญิงสาวเดินจากไปด้วยความเสียดาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าต้องพบเจอหญิงสาวอีกครั้ง
หลังจากกลับถึงบ้าน ชิงอี้หรานไม่สามารถลืมความรู้สึกที่ได้พบกับหนิงซีโย่วได้ หญิงสาวนั่งคิดถึงเขาทั้งวันทั้งคืน หัวใจของชิงอี้หรานเริ่มเต้นแรงเมื่อคิดถึงรอยยิ้มและดวงตาที่คมกริบของเขา
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล