“หนี้รักราชันสีเลือด” นิยายจีนโบราณโรแมนติก ดรามา เนื้อหาเข้มข้น เมื่อชิงอี้หรานได้มอบความรักและหัวใจอันบริสุทธิ์ให้กับหนิงซีโย่ว แต่เขากลับใช้เธอเป็นเพียงหมากในกระดานแห่งการแก้แค้น หัวใจที่เธอมีถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี ความรักที่เริ่มต้นด้วยความหวานชื่นกลับต้องพบกับความเจ็บปวดทรมาน เธอจึงต้องลุกขึ้นสู้เพื่อครอบครัวของเธออีกครั้ง "ท่านคิดว่าเรื่องราวเหล่านี้จะลืมได้ง่ายเช่นนั้นหรือ ท่านคิดว่าข้าจะสามารถลืมความทุกข์ที่ท่านได้ก่อให้ข้าได้อย่างนั้นหรือ ข้าทนข้าทุกข์ข้าทรมาน แต่ท่านกลับบอกข้าให้ลืมอย่างง่ายดาย ท่านไม่ใจร้ายกับข้ามากเกินไปหรือ" "หากท่านรักข้าจริงอย่างที่ท่านพูด ได้โปรดปล่อยข้าและครอบครัวข้าได้หรือไม่ หนี้ระหว่างท่านและข้า ชาตินี้ไม่อาจลบเลือน ขอเพียงเราทั้งสองไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก หนี้ที่มีก็ปล่อยมันพัวพันเช่นนั้นไปเถิด" “ข้าหวังเพียงท่านจะทำเพื่อข้าสักครั้งหนึ่ง โปรดมอบอิสระให้แก่ข้าเถิด” แล้วชะตาชีวิตของชิงอี้หรานจะเป็นเช่นใดต่อไป โปรดติดตามใน “หนี้รักราชันสีเลือด”
View Moreบทที่ 1 : ชิงอี้หราน
ในเมืองหลวงแคว้นโย่ว หากกล่าวถึงตระกูลชิง ย่อมไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ตระกูลชิงนำโดยอัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปาเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุด เป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีอำนาจบารมีหยั่งรากฝังลึก ผู้ที่อยู่ใต้คนเดียวแต่เหนือคนนับหมื่น แม้แต่ฮ่องเต้เองยังพูดสามฟังสี่ด้วยซ้ำ ความเหี้ยมโหดของชิงหยวนเปาเป็นที่เล่าลือ หากผู้ใดกล้าขัดแย้งผู้นั้นย่อมไม่อาจมีชีวิตรอด
ชิงหยวนเปามีบุตรชายสาม บุตรหญิงหนึ่ง ได้แก่ ชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟย และชิงอี้หราน โดยชิงอี้หราน บุตรสาวคนสุดท้องและลูกสาวคนเดียวของอัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปา ชิงอี้หรานเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของครอบครัว เนื่องจากหลังจากที่หญิงสาวเกิดไม่นาน สุขภาพของฮูหยินชิงก็เริ่มย่ำแย่ และเมื่อชิงอี้หรานอายุเพียงห้าปี ฮูหยินชิงก็ล้มป่วยและจากไป ชิงหยวนเปาจึงต้องรับหน้าที่เป็นทั้งบิดาและมารดาให้แก่หญิงสาว อีกทั้งพี่ชายทั้งสามของชิงอี้หราน ต่างก็รักและเอาใจใส่หญิงสาวดุจดังเป็นบิดา ชายทั้งสี่คนในบ้านต่างก็ช่วยกันเฝ้าเลี้ยงดูและทะนุถนอมชิงอี้หรานอย่างยิ่ง หญิงสาวจึงเติบโตมาด้วยความรักและความอบอุ่นอย่างมาก ไม่เคยต้องประสบพบเจอกับความโหดร้ายหรือผิดหวัง ทำให้ชิงอี้หรานเติบใหญ่เป็นหญิงสาวอ่อนโยน มีจิตใจดีและมองโลกในแง่ดีเสมอ
ในเช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นหอมของดอกเหมยหอมอบอวลไปทั่วบริเวณสวนหลังจวนของอัครมหาเสนาบดีชิงหยวนเปา ใบไม้สีเขียวสดและดอกไม้หลากสีประดับประดาเสริมให้สวนดูงดงามดั่งภาพวาดโบราณ ท่ามกลางบรรยากาศสงบเงียบ มีเสียงหัวเราะใส ๆ ของเด็กหญิงดังขึ้นจากด้านในเรือน
"พี่ชายใหญ่ ข้าจะเก็บดอกเหมยนี้ให้เจ้าค่ะ!" ชิงอี้หราน เด็กสาววัยแปดขวบ ร้องเรียกพลางยิ้มสดใส มือเล็ก ๆ ของเด็กสาวจับดอกเหมยสีชมพูเข้มที่เพิ่งเด็ดได้ เด็กสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ ตัดขอบด้วยด้ายสีทอง เส้นผมยาวสลวยของเด็กสาวถูกถักเป็นเปียยาวสองเส้น ติดโบว์สีชมพูดูอ่อนหวานเหมือนดอกเหมยที่ถืออยู่
ชิงหยวนเปา บิดาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดี เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน "อี้หราน ลูกสาวข้า เจ้าช่างงดงามดั่งเทพธิดา หากมารดาเจ้าเห็นคงดีใจมาก"
ชิงอี้หรานยิ้มเขินอาย วิ่งเข้าหาบิดา "ท่านบิดา ข้าคิดถึงท่านแม่ ท่านแม่จะอยู่บนสวรรค์และมองลงมาดูข้าใช่หรือไม่"
ชิงหยวนเปาหยุดก้าว และนั่งลงพยุงตัวลูกสาวขึ้นมา "แน่นอน อี้หราน มารดาของเจ้ารักเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด แม่เจ้าคงจะยิ้มอยู่ทุกครั้งที่เห็นเจ้ามีความสุข"
ขณะที่พวกสองพ่อลูกกำลังสนทนา พี่ชายทั้งสามของชิงอี้หรานก็ก้าวเข้ามาในสวน พี่ชายคนโต ชิงหยาง ผู้เป็นทหารฝีมือดี สวมชุดเครื่องแบบของทหารประจำตำแหน่งอันสง่างาม ชายหนุ่มมองน้องสาวด้วยความรักและห่วงใย "อี้หราน เจ้าระวังอย่าไปเล่นไกลนักนะล่ะ"
พี่ชายคนที่สอง ชิงหลง ผู้เป็นอาจารย์หนุ่มในสำนักศึกษา ก้าวเข้ามาแตะหัวน้องสาวอย่างอ่อนโยน "ใช่แล้ว อี้หราน หากเจ้าอยากเรียนหนังสือ ข้าจะสอนเจ้าเอง"
พี่ชายคนที่สาม ชิงเฟย ผู้ยังเรียนอยู่ในสำนักศึกษา กอดน้องสาวอย่างอบอุ่น "และหากเจ้ามีปัญหาใด ข้าจะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่"
ชิงอี้หรานมองพี่ชายทั้งสามและบิดาของนางด้วยความรู้สึกอุ่นใจ "ข้ารู้ ข้ารักท่านบิดาและพี่ชายทุกคนมาก ข้าจะเป็นเด็กดีและไม่ทำให้ท่านต้องกังวล"
ในครอบครัวชิงอี้หราน ไม่มีใครเลยที่ไม่รักและเอาใจใส่หญิงสาว ตั้งแต่บิดาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีผู้เก่งกล้าและโหดเหี้ยมในสายตาผู้อื่น แต่กับนางแล้วเขาเป็นบิดาผู้รักใคร่และอบอุ่น เช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสามที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอย่างใกล้ชิด พวกเขาต่างเป็นดั่งเงาอยู่ข้างนางเสมอ
ชิงอี้หรานเติบโตขึ้นในบรรยากาศแห่งความรักและความอบอุ่น ไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายหรือความผิดหวัง ทำให้ชิงอี้หรานกลายเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยน จิตใจดีและมองโลกในแง่ดีเสมอ จนบางครั้งอาจดูอ่อนต่อโลกเกินไป แต่ในสายตาของคนในครอบครัว นางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจที่ทุกคนอยากปกป้องให้ดีที่สุด
"ไปเถิด อี้หราน พวกเราจะเดินเล่นในสวนด้วยกัน" ชิงหยางเอ่ยชวน น้องสาวยิ้มกว้างและจับมือพี่ชายไว้แน่น ทั้งหมดเดินเล่นในสวนด้วยความสุขใจเต็มเปี่ยม
เวลาในสวนดอกเหมยนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ในหัวใจของชิงอี้หรานแล้ว ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนในครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่หญิงสาวจะจดจำและทะนุถนอมไปชั่วชีวิต
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล
บทที่ 58 : หนี้ระหว่างท่านและข้า ปล่อยให้มันพัวพันเช่นนี้ไปเถิด ชิงอี้หรานยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เสียงลมหายใจเบา ๆ ของนางเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิต หนิงซีโย่วที่ยังนั่งเฝ้าอาการหญิงสาวไม่ห่าง เขาไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่บัดนี้ยังคงซีดเซียว ใบหน้าที่เคยงดงามและเปล่งปลั่งกลับกลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนักตลอดชีวิตชายหนุ่มทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาของเขา ความแค้นที่ก่อตัวอยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายไม่ยอมถอย แต่ทว่าเวลานี้ที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ ใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีหรือโล่งใจ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็มีเพียงความรู้สึกผิดและความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาต้องสูญเสียลูก เขาต้องสูญเสียหัวใจรักของชิงอี้หราน ความคิดมากมายวกวนในหัวจนหัวใจเขาปวดหนึบ หากเขามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเพียงอีกสักครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเป็นเฉกเช่นนี้หรือไม่น้ำตาของหนิงซีโย่วไหลรินอย่างเงียบงัน เขาหวังว่าชิงอี้หรานจะตื่นขึ้นมา สบตากับเขาและรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เธอ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ เขายังคงหวังว่าเสียงของเขา เสียงที
บทที่ 57 : ความสูญเสียในระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชิงหยวนเปาก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยมีชิงหลงประคองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเขา ชายชราเห็นภาพตรงหน้าเขาเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิงหยวนเปารีบปรี่เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงซีโย่ว “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตบุตรชายของข้าด้วย ทั้งหมดเป็นข้าที่ผิดเอง ทั้งหมดเป็นหนี้ที่ข้าต้องชดใช้”หนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยสายตาเคียดแค้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจเขา“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอร้องคนอย่างมันทำไมกันเล่า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้” ชิงหยางร้องออกมา“หุบปากของเจ้าซะ” ชิงหยวนเปาหันมาตวาดใส่ลูกชายคนโต เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง“ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันเอง เป็นหม่อมฉันที่ปิดบังความผิดของตน บุตรชายบุตรสาวของข้าจึงได้กระทำเรื่องราวที่โง่เขลาเช่นนี้ออกไป ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้องสักครั้งเถิด ได้โปรดละเว้นบุตรชายของข้าด้วย” ชิงหยวนเปากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคุกเข่าลงต่ำกว่าที่เคย โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติทั้งหมดเพื่อขอความเมตตาหนิงซีโย่วมองด้วยแวว
บทที่ 56 : จุดพลิกผันของแผนการ ขณะเดียวกันในวังหลวง ชิงหยางและชิงเฟยนำกำลังทหารมุ่งตรงไปยังตำหนักของหนิงซีโย่ว เสียงฝีเท้าของทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกังวล องครักษ์ต่างมองหน้ากันพากันรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อชิงหยางชูป้ายคำสั่งของชิงอี้หรานขึ้นแสดง องครักษ์ต่างพากันนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือขัดขืนพวกเขา“พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของฮองเฮาเพื่อปกป้องฝ่าบาท” ชิงหยางกล่าวเสียงแข็ง พยายามสร้างความน่าเชื่อถือในคำพูดของตนองครักษ์หลายคนลังเล แต่ด้วยป้ายคำสั่งที่พวกเขาชูอยู่นั้น ทำให้พวกเขาจึงเลือกเปิดทางให้ชิงหยางและชิงเฟยนำทหารเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทั้งสองบุกเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทหารฝั่งสกุลชิงบางส่วนต่างกรูกันเข้ามาในห้องนอนของหนิงซีโย่ว บางส่วนปิดล้อมตำหนักของหนิงซีโย่วไว้จากด้านนอกเมื่อเข้าไปในห้องนอนของหนิงซีโย่ว ชิงหยางและชิงเฟยมองเห็นหนิงซีโย่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและมีผ้าพันแผลที่หน้าอก พวกเขายิ้มเยาะกันในใจ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาสามารถล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของสกุลชิงกลับมา
Comments