เวลาผ่านไปไม่นาน การ์ดในชุดดำเดินตรงมาหยุดที่หน้ากระจกที่ลาริสามานั่งก้มหน้าเงียบอยู่
เขาไม่พูดพร่ำ โยนถุงผ้าใบใหญ่ ๆ มาวางบนโต๊ะเครื่องแป้งจนฝุ่นฟุ้งกระจาย "เปลี่ยนชุดซะ" น้ำเสียงสั้น กระด้าง ไร้ความรู้สึก ลาริสาเงยหน้าขึ้นอย่างสับสน การ์ดกระแทกคำอธิบายออกมาอย่างเย็นชา "ต่อไปนี้...เธอไม่ต้องเข้าไปในห้อง VIP อีก" "ทำงานอยู่โซนข้างนอก เตรียมเครื่องดื่ม เสิร์ฟเหล้า แค่นั้น" พูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไป ทิ้งไว้เพียงถุงผ้าหนักอึ้ง กับความเงียบที่กดทับตัวเธอ ลาริสาก้มหน้ามองถุงผ้า มือบางสั่นนิด ๆ ขณะเปิดมันออก ชุดใหม่ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเรียบง่าย กับกางเกงขายาวสีดำ ไม่มีหน้ากากลูกไม้ ไม่มีเสื้อคอกว้าง ไม่มีกระโปรงสั้นเหนือเข่าเหมือนเมื่อก่อน มันคือชุดของพนักงานโซนด้านนอกจริง ๆ... ชุดที่อย่างน้อย จะไม่ต้องโดนแตะต้องโดยแขกอีก ลาริสาเม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนหัวใจบีบรัดอย่างแรง ในขณะที่เธอยังซึมซับคำสั่งใหม่ เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นรอบตัว "ฮึ นึกว่าทำผิดแล้วจะโดนเตะออกซะอีก..." "เส้นใหญ่นี่หว่า ได้ย้ายมาทำงานสบาย ๆ ข้างนอกแทน" "อภิสิทธิ์พิเศษสำหรับคนหน้าตาดีสินะ..." เสียงกระซิบเหยียดหยันแทงทะลุเข้ามาในโสตประสาท พร้อมกับสายตาหลายคู่ที่กวาดมามองเธอด้วยแววหมันไส้ ระแวง และขุ่นเคือง ลาริสาก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม ไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองใคร เธอกำเสื้อใหม่แน่นในมือ ลุกขึ้นเงียบ ๆ เดินหลบออกไปที่มุมห้องเพื่อเปลี่ยนชุด โดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เธอรู้ดีว่า... ในที่แห่งนี้ ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีความปรานี มีแต่ความริษยา ความอยากเอาตัวรอด และความเกลียดชังที่รอจะเหยียบย่ำคนที่อ่อนแอกว่า ลาริสาเปลี่ยนชุดเสร็จ ก่อนจะหยิบถาดเครื่องดื่ม เดินออกจากห้องแต่งตัวไปอย่างเงียบงัน เธอเพียงก้มหน้า และเดินตรงไปข้างหน้า อย่างคนที่รู้ดีว่า... ในที่แห่งนี้ เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหนทางชีวิตของตัวเองได้อีกแล้ว .................... สำนักงานใหญ่ ซาเลียน อินโนเวชั่น ห้องประชุมชั้นบนสุดเงียบสงบ มีเพียงแสงแดดบ่ายที่ส่องลอดม่านบาง ๆ เข้ามา สะท้อนแผ่นไม้ขัดมันของโต๊ะยาว ภานุวัฒน์ผลักประตูเข้าไป สูทสีดำเข้ารูปบนร่างสูงโปร่งยิ่งขับให้เขาดูเฉียบขาดเย็นชา แต่ในแววตาสีฟ้าคู่นั้น ก็แฝงแววที่อ่อนลงเมื่อพบคนสองคนที่นั่งรออยู่ ธีภพ เดชาสกุลวงศ์ ผู้บริหารหนุ่มที่นั่งไขว่ห้าง ใบหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาคมลึกที่อ่านใจคนได้อย่างเฉียบขาด และคีรณัฐ พีราทร เสาหลักเบื้องหลังการบริหาร ที่มีรอยยิ้มมุมปากทว่าดวงตาไม่เคยวางใจอะไรง่าย ๆ "กลับมาแล้วเหรอ" ธีภพเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำ ไม่อ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำสั้น ๆ ภานุวัฒน์เดินเข้ามา ก้าวเท้าแน่วแน่สมกับคนที่ฝ่ามรสุมชีวิตมาไม่น้อย เขาพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ "ขอโทษที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่ง..." "...มีธุระสำคัญที่เลี่ยงไม่ได้" คำพูดกระชับ หนักแน่น ตรงไปตรงมา อย่างที่คนแบบเขาจะพูดกับคนที่เขาให้เกียรติ ธีภพหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ที่มีทั้งความเข้าใจและความรู้ทัน "ไม่ต้องเสียเวลาขอโทษ" เขาเอนตัวพิงเก้าอี้ ดวงตาคมกริบไม่ละจากใบหน้าอีกฝ่าย "แค่ยังมีชีวิตกลับมาให้เจอ...ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว" คีรณัฐลอบยิ้มที่มุมปาก พลิกแฟ้มเอกสารในมือเล่นเบา ๆ "แต่ถ้ามีปัญหาอะไร..." เขาพูดพลางเหลือบตามองภานุวัฒน์ตรง ๆ "...อย่าโง่แบกคนเดียว นายยังมีพวกเรา" คำพูดนั้นเรียบง่าย แต่ทุกรอยคำมีน้ำหนักหนักหน่วง ภานุวัฒน์ยืนนิ่ง แผ่นหลังตรง ใบหน้าเย็นเฉียบ แต่ในดวงตาสีฟ้าลึกคู่นั้น มีประกายบางอย่างไหวผ่านชั่ววินาที รับรู้ถึงมิตรภาพที่ไม่มีคำสาบาน แต่เหนียวแน่นยิ่งกว่าโลหะใด ๆ "ขอบใจ" เพียงคำเดียว หนักแน่น ไม่ฟุ่มเฟือย ธีภพปรายตามอง ก่อนโยนแฟ้มเอกสารมาให้ "ถ้าอย่างนั้น..." "ก่อนที่ฉันจะบินไปใช้ชีวิตแต่งงานยาว ๆ ช่วยดูโลกใบนี้แทนฉันด้วยแล้วกัน" เสียงพูดเหมือนเล่น แต่ดวงตาเป็นจริงเป็นจัง ดั่งมอบบางสิ่งที่สำคัญยิ่งให้ฝากฝัง ภานุวัฒน์รับแฟ้มมา เงียบ ๆ เขารู้ดีว่าเบื้องหลังคำพูดสบาย ๆ เหล่านั้น... มีสายสัมพันธ์ที่ผูกไว้ด้วยเลือด เหงื่อ และความเชื่อมั่นที่ผ่านการทดสอบแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ... ย้อนไปในอดีตเมื่อหลายปีก่อน เมืองชายฝั่งตะวันตกของอเมริกา ในวันที่ชีวิตของภานุวัฒน์ถูกพรากแทบไม่เหลืออะไร มีเพียงเขากับพ่อที่หลบหนีออกมาได้ ด้วยชีวิตที่เกือบสังเวยไปแล้ว อเมริกา บ้านเกิดพ่อของภานุวัฒน์ กลายเป็นที่พักพิงสุดท้าย ที่อำนาจของรัฐมนตรีวิศรุตเอื้อมไปไม่ถึง ที่นั่น พ่อของเขาก่อตั้งบริษัทเล็ก ๆ ขึ้นมา บริษัทขายชิ้นส่วนเทคโนโลยีที่แทบไม่มีใครเหลียวแล แขวนอยู่บนเส้นด้ายที่พร้อมขาดได้ทุกเมื่อ เงินทุนขาดแคลน คู่ค้าไม่มั่นใจ และลูกชายคนเดียว...แบกรับความแค้นในอกโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะพยุงบริษัทเล็ก ๆ นั้นไปได้ถึงเมื่อไหร่ แล้ววันหนึ่ง ธีภพ เดชาสกุลวงศ์ ก็ปรากฏตัว เด็กหนุ่มไทยผู้มีแววตาเฉียบคมเกินวัย นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่เหมือนโชคชะตาส่งมาในวันที่โลกทั้งใบมืดมิด ธีภพไม่ได้เพียงแค่เสนอแนวทาง เขา "เห็น" สิ่งที่คนทั้งโลกไม่เห็น เขาเข้ามานั่งวิเคราะห์บัญชีทีละบรรทัด เขาไล่ดูเครือข่ายธุรกิจแบบที่ผู้บริหารเก๋า ๆ ยังไม่เคยทำ ภานุวัฒน์จำได้ดี... ในค่ำคืนนับไม่ถ้วนที่พวกเขานั่งล้อมโต๊ะไม้ผุ ๆ วางแผนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จากบริษัทที่แทบไร้ตัวตน ค่อย ๆ เติบโต...แผ่ขยายเครือข่ายไปตามเมืองต่าง ๆ ยอดขายพุ่งขึ้น หุ้นส่วนใหญ่เริ่มหันกลับมา บริษัทเล็ก ๆ ที่เคยเกือบล้มละลาย ค่อย ๆ กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แข็งแกร่งในตลาดเทคโนโลยีระดับภูมิภาค และจากวันนั้นเป็นต้นมา... บริษัทนั้นก็กลายเป็น เสาหลักที่พวกเขาใช้ตั้ง "ซาเลียน อินโนเวชั่น" ในประเทศไทย บริษัทที่มีทั้งทุน ความมั่นคง และกำลังเสริมที่มองไม่เห็น ซึ่งเบื้องหลังทั้งหมดคือแรงผลักดันจากมิตรภาพที่ก่อตัวในวันที่เขาแทบไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ... ปัจจุบัน ณ ห้องประชุม ภานุวัฒน์กำแฟ้มเอกสารในมือแน่นขึ้นอีกนิด ก่อนจะแหงนหน้าขึ้น สบตาธีภพตรง ๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะไม่จำเป็น ในสายตาของผู้ชายอย่างพวกเขา... มีบางสัญญาที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ย แต่ผูกแน่นยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ บนโลกนี้ความเงียบปกคลุมทั่วห้องหลังบทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างภานุวัฒน์กับธีภพจบลงท่ามกลางความเงียบ...แต่ไม่ว่างเปล่าในห้วงความเงียบนั้นมีทั้งความเข้าใจ และภาระที่แต่ละคนแบกไว้ในเส้นทางที่ไม่อาจหันหลังคีรณัฐ ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตเรียบเฉียบที่นั่งพิงพนักนิ่ง ๆ กระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เฉือนลึกในทุกถ้อยคำ"ฉันเอง...ก็คงต้องถอนตัวจากฝั่งธุรกิจแล้วเหมือนกัน"เพียงคำพูดเดียวบรรยากาศในห้องพลันตึงขึ้นอย่างยากจะอธิบายธีภพละสายตาจากแฟ้มในมือภานุวัฒน์หยุดมือที่กำลังขยับแฟ้มเอกสารทั้งสองไม่ถามซ้ำ เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ เบื้องหลังหน้ากากผู้บริหารที่คีรณัฐสวมไว้ตลอดหลายปีคือเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษระดับสูง หนึ่งในผู้กวาดล้างขบวนการสกปรกในโลกมืดทั้งสารเสพติด อาชญากรรม และนักการเมืองที่ย่ำยีผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะ...ท่านรัฐมนตรี วิศรุต เกริกไกร เป้าหมายที่เขาเพ่งเล็งมาเนิ่นนานคีรณัฐหัวเราะเบา ๆ คล้ายไม่ยี่หระ"ถึงเวลาแล้วล่ะ...ต้องกลับไปทำในสิ่งที่ควรทำ"เสียงเขานิ่งและมั่นคงจนรอบห้องเหมือนจะอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆธีภพพยักหน้าเข้าใจไม่พูดมาก เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ไม่ต้องการถ้อยคำฟ
ลาริสาก้มหน้าถือกล่องปฐมพยาบาลแน่นในมือฝ่ามือที่บาดเจ็บแสบระคนกับอาการปวดที่ยังแล่นขึ้นตามข้อศอกทุกครั้งที่ขยับเธอเดินอย่างระมัดระวังไปตามทางเดินแคบ ๆหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ไหลวนรอบตัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ถูกโยนเข้าไปในป่าใหญ่ที่ไม่ปรานีระหว่างทาง เธอเกือบสะดุดอีกครั้งเพราะขาสั่นจากความเจ็บแต่แล้ว...มีมือหนึ่งเอื้อมมาคว้าแขนเธอไว้เบา ๆ"เดี๋ยวฉันช่วย" เสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้นข้างหูส้ม พี่สาวร่างเล็กในชุดเสื้อโปโลสีเข้ม ที่ลาริสาได้พบในวันแรกที่เธอถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ที่นี่ส้มเคยเป็นคนแรกที่ยื่นน้ำให้เธอในคืนที่ร้องไห้ไม่หยุดเคยเป็นคนที่นั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ ตอนที่เธอรู้สึกว่าทั้งโลกนี้ไม่เหลือใครลาริสาเม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ส้มช่วยพยุงตัวไปนั่งที่ม้านั่งยาวด้านหลังส้มไม่ถามอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ดึงกล่องออกจากมือเธออย่างเบามือ แล้วเริ่มทำแผลให้อย่างเงียบ ๆปลายนิ้วที่พันผ้าพันแผลแน่นแต่ไม่เจ็บสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อในสถานที่แห้งแล้งเช่นนี้"พักก่อนเถอะนะ..." ส้มกระซิบเสียงเบา ขณะพันแผลเสร็จ"เดี๋ยวฉันจะไปบอกหัวหน้าว่าเธอทำงานไม่ไหว ขอพักคืนนี้"ลาริสาเ
ในเสี้ยววินาทีคีรณัฐคว้าเอวเธอกดลงกับเบาะโซฟา"งั้นผมจะช่วยสอนให้เอง..."เสียงของเขาแหบพร่า ขณะที่ก้มลงแนบชิดจนลมหายใจสอดประสานกันริมฝีปากหยักกดลงมาปิดกั้นรอยยิ้มเย้า ๆ นั้นอย่างไร้ความปรานีลิ้นร้อนลากซอกไซ้ไปตามลำคอขาวเนียนอย่างเผ็ดร้อนพราวฟ้าสะดุ้ง ร่างบางบิดเร้าใต้ร่างเขา แต่ถูกมือหนากดตรึงไว้แน่น"อยากใช้ร่างกายล่ะก็..."เสียงเขาครางต่ำข้างหูเธอ"ใช้กับผมนี่แหละ — ให้พอจนไม่กล้าเอาไปแลกกับใครอีก""ฉันพูดเล่นน่า..."เสียงพราวฟ้าอ้อนเบา ๆ ขณะมือเล็กดันอกเขาไว้สายตากลมโตสั่นระริกเล็กน้อย ทั้งจากความตกใจและความเร้าใจที่ไหลผ่านร่างแต่คีรณัฐไม่ขยับออกกลับยิ่งโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิมลมหายใจร้อน ๆ สัมผัสผิวแก้มเธออย่างจงใจ"เล่นไม่รู้เรื่องเลยนะ...ฟ้า" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบใกล้ใบหูพราวฟ้ากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ริมฝีปากหยักร้อนผ่าวก็ปิดริมฝีปากบางของเธอเสียก่อนจูบรุนแรงและเร่าร้อนไร้ซึ่งความอ่อนโยนราวกับตั้งใจจะลงโทษที่เธอกล้ากลั่นแกล้งความอดทนของเขามือหนาลูบไล้ตามสันหลังเธอผ่านเนื้อผ้าบางเบาลมหายใจของพราวฟ้าขาดห้วงทีละน้อย"คีร์..."เธอครางแผ่วในลำคอ พยายามดันเขาออกอย่างไ
เขาไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มมุมปากบาง ๆเพราะเธอยังไม่รู้...ว่างานของเขา ไม่ใช่แค่พนักงานบริษัทธรรมดาแต่เป็นหน่วยพิเศษที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องสกปรกในเงามืดของประเทศนี้เขาเลือกที่จะเงียบ และเก็บเธอไว้ในโลกที่ปลอดภัยคีรณัฐเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนที่หัวใจเธอจะหนักไปกว่านี้"อีกสองสามวัน ผมต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน"เสียงเขานุ่มทุ้ม ขณะที่ลูบหลังเธอเบา ๆ"คงไม่ได้มาหาบ่อย ๆ"พราวฟ้าสูดลมหายใจลึก ๆก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ"ดีเลย..."เธอยิ้มบาง"อาทิตย์หน้าฉันก็เปิดกล้องละครเรื่องใหม่แล้วเหมือนกัน"เธอซุกหน้าแนบอกเขาอีกครั้ง"ต่อไปคงต้องคิดถึงกันมากขึ้นสินะ"คีรณัฐไม่ตอบเพียงกอดร่างของเธอในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิดเหมือนต้องการสลักเธอเอาไว้ในอก...ไม่ให้ห่างไปไหนในห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสานกันอย่างที่ไม่มีคำพูดใดจำเป็นอีกต่อไปรุ่งเช้า ห้องนอนในคอนโดที่อบอวลด้วยไออุ่นคีรณัฐนั่งพิงหัวเตียง มองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่ข้างกายด้วยสายตานุ่มลึกพราวฟ้าซุกกายหลับสนิท รอยยิ้มบางยังแตะที่มุมปากราวกับกำลังฝันดีเขาเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกแก้มเธอเบา ๆในดวงตาคมลึกซึ้งมีบางอย่างที่เขา
ลาริสาเดินผ่านโถงทางเดินมืดมาที่ด้านหลังเพื่อล้างแก้ว เสียงส้นรองเท้าหนัก ๆ ก้องกังวานตามหลังเธอมาในทางเดินแคบ สะท้อนคล้ายกับเสียงหัวใจของลาริสาที่เต้นโครมครามอยู่ในอก เธอหันขวับไปตามสัญชาตญาณ... ตึง! ร่างสูงใหญ่ของการ์ดหนุ่มกระชากเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว มือสากกดปิดปากเธอแน่น ลมหายใจเขาร้อนฉ่า เป่ารดข้างแก้มอย่างจาบจ้วง "เงียบซะ..." เสียงกระซิบทุ้มต่ำเฉียดใบหูของเธอ "คืนนี้ฉันจะทำให้เธอร้องไม่หยุด..." ลาริสาตัวแข็งทื่อ แต่ผิวเนื้อกลับร้อนวาบจนขนลุกเกรียว แรงจากแขนแข็งแรงลากเธอเข้าไปในห้องเก็บของเล็ก ๆ เขาปิดประตูทันที เสียง "ปัง!" ของประตูดังกึกก้องในความเงียบ ภายในห้องเก็บของ เธอถูกผลักกระแทกกับผนังปูนแข็ง ร่างของหญิงสาวสั่นเทิ้ม อากาศในอกพร่องหายจนแทบหายใจไม่ออก มือหยาบกร้านลากช้า ๆ ไล่ตั้งแต่ลำคอ...ลงไปถึงต้นแขน ผิวเธอสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เสียงหอบกระเส่าของเขาแตะอยู่ที่ข้างใบหู ทำให้สติของเธอแทบพร่าเบลอ "อย่าเล่นตัวเลยน่า..." เสียงแหบพร่าเหมือนสัตว์นักล่าไล่ต้อนเหยื่ออ่อนแอ นิ้วแข็งแรงบังคับไล้ลงมาที่เอว... กดบังคับให้แผ่นหลังของเธอแนบแน่นกับแผ่นอกแข็
ลาริสาเปิดประตูเดินเข้าไปเสียงบานประตูไม้ปิดลงช้า ๆ ด้านหลังลาริสาเงยหน้าขึ้นมองความมืดสลัวตรงหน้าเพียงแสงไฟเพดานดวงเล็กที่เปิดสลัวไว้ ทำให้เห็นเพียงเงาราง ๆ ของชายคนหนึ่งที่นั่งทอดกายอยู่กลางห้องเขานั่งเอนหลังบนโซฟาหนังสีเข้มแสงบางเฉียบจากโคมไฟสาดเฉียงผ่านใบหน้าข้างหนึ่ง...เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มที่นิ่งงันจนดูน่ากลัวหญิงสาวก้าวขาอย่างลังเลหัวใจเธอเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะได้ยินออกไปนอกอกเธอไม่รู้ว่าใครรอเธออยู่ข้างหน้าแต่สัญชาตญาณบอกได้เพียงอย่างเดียว...คน ๆ นั้นกำลัง "รอเธออยู่"ลาริสากลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าวและทันทีที่เธอเดินเข้ามาถึงระยะเพียงเอื้อม...แขนแกร่งที่เธอไม่ทันมองเห็นก็คว้าข้อมือเล็กของเธออย่างรวดเร็ว แล้วดึงร่างเธอขึ้นไปนั่งบนตักอย่างไร้ความลังเล"อ๊ะ!"เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปาก ก่อนที่สติจะตามทันกลิ่นกายชายคุ้นเคยแผ่กระจายร้อนระอุไปทั่วผิวเธอสายตาเธอเบิกกว้าง มองสบกับดวงตาสีฟ้าราวน้ำแข็งคู่นั้นภานุวัฒน์ อนันตรเวศน์เขากลับมาแล้ว...โดยไม่มีใครเตือนเธอเลยสักนิดแววตาของเขามืดดำจนเหมือนเหวลึก ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง มีเพีย
“อ๊ะ…!”เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสื้อเชิ้ตตัวบางบนร่างเธอก็ถูกกระชากจนขาดวิ่นดัง แคว่ก!เศษผ้าหลุดรุ่ย เผยผิวขาวซีดที่สั่นระริกใต้สายตาแข็งกร้าวของเขาริมฝีปากของภานุวัฒน์กดลงมาอย่างรุนแรงบดขยี้ทุกสัมผัสด้วยความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกจูบของเขา...ไม่ใช่จูบที่อ่อนโยน ไม่ใช่ความโหยหามันคือการลงทัณฑ์ การลงโทษที่บาดลึกยิ่งกว่ามีด"ฮึก...อย่า...ขอร้องล่ะ..."เสียงอ้อนวอนของลาริสาสั่นพร่า น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินลงไม่หยุดเธอพยายามดิ้นหนี บิดกายขัดขืนสุดแรงเกิดแต่ยิ่งเธอดิ้น ภานุวัฒน์ยิ่งกระชับวงแขนแน่นขึ้นเขากดตัวเธอแนบแน่นกับโซฟาใช้ริมฝีปากขบเม้มลงที่ซอกคอขาวจนขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำแรงกัดนั้น...ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเมตตาเสียงสะอื้นของเธอดังสะท้อนในห้องแต่สำหรับเขาในตอนนี้...มันเหมือนเชื้อเพลิงที่ยิ่งสุมไฟแค้นในอกให้ลุกโชน"แกล้งทำเป็นใสซื่อเก่งนัก..."เสียงเขากระซิบชิดใบหูเธอเสียงต่ำลึกจนแทบเป็นเสียงคำราม"ถ้างั้น...ฉันจะดูให้เห็นกับตา ว่าเธอไร้เดียงสาจริง...หรือมันก็แค่เปลือกนอกหลอกลวง"คำพูดนั้นบาดลึกเหมือนมีดกรีดใจริมฝีปากร้อนชื้นของเขาเลื่
กลิ่นน้ำมันเครื่อง และเบาะหนังที่ชื้นด้วยเหงื่อซึมทะลุขึ้นจมูกทันทีที่ลาริสารู้สึกตัวมือของเธอถูกมัดไว้แน่น ร่างถูกโยนไว้กับพื้นรถตู้ด้านหลังที่ปิดทึบ แสงเพียงเสี้ยวจากไฟท้ายสะท้อนผ่านรอยแตกของฝาปิดเก็บของเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม แต่เสียงที่ทำให้เธอเย็นเยียบยิ่งกว่า คือเสียงบทสนทนาของชายสองคนด้านหน้า“แน่ใจนะว่าเป็นลูกของท่านรัฐมนตรีจริง ๆ?”“เออสิวะ กูเห็นกับตา ไม่ใช่เด็กธรรมดาแน่ๆ คนอย่างเธอ ส่งให้ฝั่งโน้นเขาจะจ่ายหนักกว่าเดิมแน่นอน”“ชายแดนเพื่อนบ้านใช่ไหม…ซ่องนั่นที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจน่ะ?”“ก็ที่นั่นแหละ จะได้จบ ๆ ไป ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวรัฐมนตรีมานั่งรับแขกอยู่ตรงนั้น”เสียงหัวเราะหยันดังตามมา ราวกับคำพูดนั้นเป็นแค่เรื่องตลกไร้ค่าของโลกใต้ดินเลือดในกายลาริสาเย็นเฉียบเธอแทบไม่รู้ว่าลมหายใจหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่คำว่า “ขายตัว” “รับแขก” “ชายแดน”แต่ละคำเหมือนมีดที่สลักลงกลางใจเธอหวาดกลัว ร่างกายสั่นราวกับไข้ขึ้นน้ำตาที่หลั่งลงมานั้น…ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เป็นความกลัวแบบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนกลัวว่าจะไม่มีใครตามหาเธอเจอกลัวว่าจะไม่มีวันกลับไปได้อีก...ภายในห้องแต่งตัว คลั
“อ๊ะ…!”เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสื้อเชิ้ตตัวบางบนร่างเธอก็ถูกกระชากจนขาดวิ่นดัง แคว่ก!เศษผ้าหลุดรุ่ย เผยผิวขาวซีดที่สั่นระริกใต้สายตาแข็งกร้าวของเขาริมฝีปากของภานุวัฒน์กดลงมาอย่างรุนแรงบดขยี้ทุกสัมผัสด้วยความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกจูบของเขา...ไม่ใช่จูบที่อ่อนโยน ไม่ใช่ความโหยหามันคือการลงทัณฑ์ การลงโทษที่บาดลึกยิ่งกว่ามีด"ฮึก...อย่า...ขอร้องล่ะ..."เสียงอ้อนวอนของลาริสาสั่นพร่า น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินลงไม่หยุดเธอพยายามดิ้นหนี บิดกายขัดขืนสุดแรงเกิดแต่ยิ่งเธอดิ้น ภานุวัฒน์ยิ่งกระชับวงแขนแน่นขึ้นเขากดตัวเธอแนบแน่นกับโซฟาใช้ริมฝีปากขบเม้มลงที่ซอกคอขาวจนขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำแรงกัดนั้น...ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเมตตาเสียงสะอื้นของเธอดังสะท้อนในห้องแต่สำหรับเขาในตอนนี้...มันเหมือนเชื้อเพลิงที่ยิ่งสุมไฟแค้นในอกให้ลุกโชน"แกล้งทำเป็นใสซื่อเก่งนัก..."เสียงเขากระซิบชิดใบหูเธอเสียงต่ำลึกจนแทบเป็นเสียงคำราม"ถ้างั้น...ฉันจะดูให้เห็นกับตา ว่าเธอไร้เดียงสาจริง...หรือมันก็แค่เปลือกนอกหลอกลวง"คำพูดนั้นบาดลึกเหมือนมีดกรีดใจริมฝีปากร้อนชื้นของเขาเลื่
ลาริสาเปิดประตูเดินเข้าไปเสียงบานประตูไม้ปิดลงช้า ๆ ด้านหลังลาริสาเงยหน้าขึ้นมองความมืดสลัวตรงหน้าเพียงแสงไฟเพดานดวงเล็กที่เปิดสลัวไว้ ทำให้เห็นเพียงเงาราง ๆ ของชายคนหนึ่งที่นั่งทอดกายอยู่กลางห้องเขานั่งเอนหลังบนโซฟาหนังสีเข้มแสงบางเฉียบจากโคมไฟสาดเฉียงผ่านใบหน้าข้างหนึ่ง...เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มที่นิ่งงันจนดูน่ากลัวหญิงสาวก้าวขาอย่างลังเลหัวใจเธอเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะได้ยินออกไปนอกอกเธอไม่รู้ว่าใครรอเธออยู่ข้างหน้าแต่สัญชาตญาณบอกได้เพียงอย่างเดียว...คน ๆ นั้นกำลัง "รอเธออยู่"ลาริสากลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าวและทันทีที่เธอเดินเข้ามาถึงระยะเพียงเอื้อม...แขนแกร่งที่เธอไม่ทันมองเห็นก็คว้าข้อมือเล็กของเธออย่างรวดเร็ว แล้วดึงร่างเธอขึ้นไปนั่งบนตักอย่างไร้ความลังเล"อ๊ะ!"เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปาก ก่อนที่สติจะตามทันกลิ่นกายชายคุ้นเคยแผ่กระจายร้อนระอุไปทั่วผิวเธอสายตาเธอเบิกกว้าง มองสบกับดวงตาสีฟ้าราวน้ำแข็งคู่นั้นภานุวัฒน์ อนันตรเวศน์เขากลับมาแล้ว...โดยไม่มีใครเตือนเธอเลยสักนิดแววตาของเขามืดดำจนเหมือนเหวลึก ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง มีเพีย
ลาริสาเดินผ่านโถงทางเดินมืดมาที่ด้านหลังเพื่อล้างแก้ว เสียงส้นรองเท้าหนัก ๆ ก้องกังวานตามหลังเธอมาในทางเดินแคบ สะท้อนคล้ายกับเสียงหัวใจของลาริสาที่เต้นโครมครามอยู่ในอก เธอหันขวับไปตามสัญชาตญาณ... ตึง! ร่างสูงใหญ่ของการ์ดหนุ่มกระชากเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว มือสากกดปิดปากเธอแน่น ลมหายใจเขาร้อนฉ่า เป่ารดข้างแก้มอย่างจาบจ้วง "เงียบซะ..." เสียงกระซิบทุ้มต่ำเฉียดใบหูของเธอ "คืนนี้ฉันจะทำให้เธอร้องไม่หยุด..." ลาริสาตัวแข็งทื่อ แต่ผิวเนื้อกลับร้อนวาบจนขนลุกเกรียว แรงจากแขนแข็งแรงลากเธอเข้าไปในห้องเก็บของเล็ก ๆ เขาปิดประตูทันที เสียง "ปัง!" ของประตูดังกึกก้องในความเงียบ ภายในห้องเก็บของ เธอถูกผลักกระแทกกับผนังปูนแข็ง ร่างของหญิงสาวสั่นเทิ้ม อากาศในอกพร่องหายจนแทบหายใจไม่ออก มือหยาบกร้านลากช้า ๆ ไล่ตั้งแต่ลำคอ...ลงไปถึงต้นแขน ผิวเธอสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เสียงหอบกระเส่าของเขาแตะอยู่ที่ข้างใบหู ทำให้สติของเธอแทบพร่าเบลอ "อย่าเล่นตัวเลยน่า..." เสียงแหบพร่าเหมือนสัตว์นักล่าไล่ต้อนเหยื่ออ่อนแอ นิ้วแข็งแรงบังคับไล้ลงมาที่เอว... กดบังคับให้แผ่นหลังของเธอแนบแน่นกับแผ่นอกแข็
เขาไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มมุมปากบาง ๆเพราะเธอยังไม่รู้...ว่างานของเขา ไม่ใช่แค่พนักงานบริษัทธรรมดาแต่เป็นหน่วยพิเศษที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องสกปรกในเงามืดของประเทศนี้เขาเลือกที่จะเงียบ และเก็บเธอไว้ในโลกที่ปลอดภัยคีรณัฐเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนที่หัวใจเธอจะหนักไปกว่านี้"อีกสองสามวัน ผมต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน"เสียงเขานุ่มทุ้ม ขณะที่ลูบหลังเธอเบา ๆ"คงไม่ได้มาหาบ่อย ๆ"พราวฟ้าสูดลมหายใจลึก ๆก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ"ดีเลย..."เธอยิ้มบาง"อาทิตย์หน้าฉันก็เปิดกล้องละครเรื่องใหม่แล้วเหมือนกัน"เธอซุกหน้าแนบอกเขาอีกครั้ง"ต่อไปคงต้องคิดถึงกันมากขึ้นสินะ"คีรณัฐไม่ตอบเพียงกอดร่างของเธอในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิดเหมือนต้องการสลักเธอเอาไว้ในอก...ไม่ให้ห่างไปไหนในห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสานกันอย่างที่ไม่มีคำพูดใดจำเป็นอีกต่อไปรุ่งเช้า ห้องนอนในคอนโดที่อบอวลด้วยไออุ่นคีรณัฐนั่งพิงหัวเตียง มองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่ข้างกายด้วยสายตานุ่มลึกพราวฟ้าซุกกายหลับสนิท รอยยิ้มบางยังแตะที่มุมปากราวกับกำลังฝันดีเขาเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกแก้มเธอเบา ๆในดวงตาคมลึกซึ้งมีบางอย่างที่เขา
ในเสี้ยววินาทีคีรณัฐคว้าเอวเธอกดลงกับเบาะโซฟา"งั้นผมจะช่วยสอนให้เอง..."เสียงของเขาแหบพร่า ขณะที่ก้มลงแนบชิดจนลมหายใจสอดประสานกันริมฝีปากหยักกดลงมาปิดกั้นรอยยิ้มเย้า ๆ นั้นอย่างไร้ความปรานีลิ้นร้อนลากซอกไซ้ไปตามลำคอขาวเนียนอย่างเผ็ดร้อนพราวฟ้าสะดุ้ง ร่างบางบิดเร้าใต้ร่างเขา แต่ถูกมือหนากดตรึงไว้แน่น"อยากใช้ร่างกายล่ะก็..."เสียงเขาครางต่ำข้างหูเธอ"ใช้กับผมนี่แหละ — ให้พอจนไม่กล้าเอาไปแลกกับใครอีก""ฉันพูดเล่นน่า..."เสียงพราวฟ้าอ้อนเบา ๆ ขณะมือเล็กดันอกเขาไว้สายตากลมโตสั่นระริกเล็กน้อย ทั้งจากความตกใจและความเร้าใจที่ไหลผ่านร่างแต่คีรณัฐไม่ขยับออกกลับยิ่งโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิมลมหายใจร้อน ๆ สัมผัสผิวแก้มเธออย่างจงใจ"เล่นไม่รู้เรื่องเลยนะ...ฟ้า" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบใกล้ใบหูพราวฟ้ากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ริมฝีปากหยักร้อนผ่าวก็ปิดริมฝีปากบางของเธอเสียก่อนจูบรุนแรงและเร่าร้อนไร้ซึ่งความอ่อนโยนราวกับตั้งใจจะลงโทษที่เธอกล้ากลั่นแกล้งความอดทนของเขามือหนาลูบไล้ตามสันหลังเธอผ่านเนื้อผ้าบางเบาลมหายใจของพราวฟ้าขาดห้วงทีละน้อย"คีร์..."เธอครางแผ่วในลำคอ พยายามดันเขาออกอย่างไ
ลาริสาก้มหน้าถือกล่องปฐมพยาบาลแน่นในมือฝ่ามือที่บาดเจ็บแสบระคนกับอาการปวดที่ยังแล่นขึ้นตามข้อศอกทุกครั้งที่ขยับเธอเดินอย่างระมัดระวังไปตามทางเดินแคบ ๆหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ไหลวนรอบตัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ถูกโยนเข้าไปในป่าใหญ่ที่ไม่ปรานีระหว่างทาง เธอเกือบสะดุดอีกครั้งเพราะขาสั่นจากความเจ็บแต่แล้ว...มีมือหนึ่งเอื้อมมาคว้าแขนเธอไว้เบา ๆ"เดี๋ยวฉันช่วย" เสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้นข้างหูส้ม พี่สาวร่างเล็กในชุดเสื้อโปโลสีเข้ม ที่ลาริสาได้พบในวันแรกที่เธอถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ที่นี่ส้มเคยเป็นคนแรกที่ยื่นน้ำให้เธอในคืนที่ร้องไห้ไม่หยุดเคยเป็นคนที่นั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ ตอนที่เธอรู้สึกว่าทั้งโลกนี้ไม่เหลือใครลาริสาเม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ส้มช่วยพยุงตัวไปนั่งที่ม้านั่งยาวด้านหลังส้มไม่ถามอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ดึงกล่องออกจากมือเธออย่างเบามือ แล้วเริ่มทำแผลให้อย่างเงียบ ๆปลายนิ้วที่พันผ้าพันแผลแน่นแต่ไม่เจ็บสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อในสถานที่แห้งแล้งเช่นนี้"พักก่อนเถอะนะ..." ส้มกระซิบเสียงเบา ขณะพันแผลเสร็จ"เดี๋ยวฉันจะไปบอกหัวหน้าว่าเธอทำงานไม่ไหว ขอพักคืนนี้"ลาริสาเ
ความเงียบปกคลุมทั่วห้องหลังบทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างภานุวัฒน์กับธีภพจบลงท่ามกลางความเงียบ...แต่ไม่ว่างเปล่าในห้วงความเงียบนั้นมีทั้งความเข้าใจ และภาระที่แต่ละคนแบกไว้ในเส้นทางที่ไม่อาจหันหลังคีรณัฐ ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตเรียบเฉียบที่นั่งพิงพนักนิ่ง ๆ กระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เฉือนลึกในทุกถ้อยคำ"ฉันเอง...ก็คงต้องถอนตัวจากฝั่งธุรกิจแล้วเหมือนกัน"เพียงคำพูดเดียวบรรยากาศในห้องพลันตึงขึ้นอย่างยากจะอธิบายธีภพละสายตาจากแฟ้มในมือภานุวัฒน์หยุดมือที่กำลังขยับแฟ้มเอกสารทั้งสองไม่ถามซ้ำ เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ เบื้องหลังหน้ากากผู้บริหารที่คีรณัฐสวมไว้ตลอดหลายปีคือเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษระดับสูง หนึ่งในผู้กวาดล้างขบวนการสกปรกในโลกมืดทั้งสารเสพติด อาชญากรรม และนักการเมืองที่ย่ำยีผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะ...ท่านรัฐมนตรี วิศรุต เกริกไกร เป้าหมายที่เขาเพ่งเล็งมาเนิ่นนานคีรณัฐหัวเราะเบา ๆ คล้ายไม่ยี่หระ"ถึงเวลาแล้วล่ะ...ต้องกลับไปทำในสิ่งที่ควรทำ"เสียงเขานิ่งและมั่นคงจนรอบห้องเหมือนจะอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆธีภพพยักหน้าเข้าใจไม่พูดมาก เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ไม่ต้องการถ้อยคำฟ
เวลาผ่านไปไม่นาน การ์ดในชุดดำเดินตรงมาหยุดที่หน้ากระจกที่ลาริสามานั่งก้มหน้าเงียบอยู่เขาไม่พูดพร่ำโยนถุงผ้าใบใหญ่ ๆ มาวางบนโต๊ะเครื่องแป้งจนฝุ่นฟุ้งกระจาย"เปลี่ยนชุดซะ" น้ำเสียงสั้น กระด้าง ไร้ความรู้สึกลาริสาเงยหน้าขึ้นอย่างสับสนการ์ดกระแทกคำอธิบายออกมาอย่างเย็นชา"ต่อไปนี้...เธอไม่ต้องเข้าไปในห้อง VIP อีก""ทำงานอยู่โซนข้างนอก เตรียมเครื่องดื่ม เสิร์ฟเหล้า แค่นั้น"พูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไปทิ้งไว้เพียงถุงผ้าหนักอึ้ง กับความเงียบที่กดทับตัวเธอลาริสาก้มหน้ามองถุงผ้ามือบางสั่นนิด ๆ ขณะเปิดมันออกชุดใหม่ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเรียบง่าย กับกางเกงขายาวสีดำไม่มีหน้ากากลูกไม้ ไม่มีเสื้อคอกว้าง ไม่มีกระโปรงสั้นเหนือเข่าเหมือนเมื่อก่อนมันคือชุดของพนักงานโซนด้านนอกจริง ๆ...ชุดที่อย่างน้อย จะไม่ต้องโดนแตะต้องโดยแขกอีกลาริสาเม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนหัวใจบีบรัดอย่างแรงในขณะที่เธอยังซึมซับคำสั่งใหม่เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นรอบตัว"ฮึ นึกว่าทำผิดแล้วจะโดนเตะออกซะอีก...""เส้นใหญ่นี่หว่า ได้ย้ายมาทำงานสบาย ๆ ข้างนอกแทน""อภิสิทธิ์พิเศษสำหรับคนหน้าตาดีสินะ..."เสียงกระซิบเหยียดหยันแทงทะล
หลังจากภานุวัฒน์กับพ่อสามารถหนีข้ามแดนไปได้เขาไม่เคยลืมไม่เคยลืมว่ามีใครคนหนึ่ง...ยอมเดินเข้ามาในไฟนรกเพื่อช่วยชีวิตเขาแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้อะไรเลย...และนั่นคือเหตุผลที่หลายปีต่อมาเมื่ออคินตกอยู่ในอันตรายกลางขบวนขนของเถื่อนเมื่อทุกคนทอดทิ้งเขาภานุวัฒน์ ในฐานะเด็กชายที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากอคิน จึงไม่มีวันยอมปล่อยให้ชายคนนี้ตายเหมือนหมาข้างทางเขาฝ่าแนวปืน ฝ่าอำนาจมืดเขาพาอคินกลับมา...แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองก็ตามหลังจากที่ธุรกิจของเขากับพ่อมั่นคงขึ้น เขาก็นำเงินมาลงทุนเปิดสถานที่แห่งนี้และมอบมันให้กับอคิน...อคินหลุบตาลงช้า ๆ เมื่อนึกถึงอดีตเหล่านั้นความขอบคุณ ความซาบซึ้งในใจ...ไม่เคยจางหายไปเลยตลอดชีวิตของเขาเขาเข้าใจดี ว่าหนี้บางหนี้...ไม่ต้องพูดแต่จะผูกมัดไว้จนวันสุดท้ายของลมหายใจและเพราะอย่างนั้น...ไม่ว่าภานุวัฒน์จะทำอะไรไม่ว่ามันจะขัดกับตรรกะ หรือทำให้เขาเดือดร้อนมากแค่ไหนเขาจะไม่มีวันหักหลังภานุวัฒน์อคินยิ้มจาง ๆ หันมามองคนที่เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อน"ฉันเข้าใจ..."เสียงเขาแหบพร่า แต่แน่วแน่"เพราะถ้าไม่มีแกวันนั้น ฉันก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกัน"ภา