หลังจากภานุวัฒน์กับพ่อสามารถหนีข้ามแดนไปได้
เขาไม่เคยลืม ไม่เคยลืมว่ามีใครคนหนึ่ง...ยอมเดินเข้ามาในไฟนรกเพื่อช่วยชีวิตเขา แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้อะไรเลย ... และนั่นคือเหตุผล ที่หลายปีต่อมา เมื่ออคินตกอยู่ในอันตรายกลางขบวนขนของเถื่อน เมื่อทุกคนทอดทิ้งเขา ภานุวัฒน์ ในฐานะเด็กชายที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากอคิน จึงไม่มีวันยอมปล่อยให้ชายคนนี้ตายเหมือนหมาข้างทาง เขาฝ่าแนวปืน ฝ่าอำนาจมืด เขาพาอคินกลับมา...แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองก็ตาม หลังจากที่ธุรกิจของเขากับพ่อมั่นคงขึ้น เขาก็นำเงินมาลงทุนเปิดสถานที่แห่งนี้ และมอบมันให้กับอคิน ... อคินหลุบตาลงช้า ๆ เมื่อนึกถึงอดีตเหล่านั้น ความขอบคุณ ความซาบซึ้งในใจ...ไม่เคยจางหายไปเลยตลอดชีวิตของเขา เขาเข้าใจดี ว่าหนี้บางหนี้...ไม่ต้องพูด แต่จะผูกมัดไว้จนวันสุดท้ายของลมหายใจ และเพราะอย่างนั้น... ไม่ว่าภานุวัฒน์จะทำอะไร ไม่ว่ามันจะขัดกับตรรกะ หรือทำให้เขาเดือดร้อนมากแค่ไหน เขาจะไม่มีวันหักหลังภานุวัฒน์ อคินยิ้มจาง ๆ หันมามองคนที่เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อน "ฉันเข้าใจ..." เสียงเขาแหบพร่า แต่แน่วแน่ "เพราะถ้าไม่มีแกวันนั้น ฉันก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกัน" ภานุวัฒน์มองเขาเงียบ ๆ แล้วเอ่ยเสียงราบลึก "แกก็อยู่ข้างฉัน...ในวันที่ครอบครัวฉันไม่มีใครเหลือ" "ต่อให้ต้องเดินลงนรก พวกเราก็จะได้เดินลงไปพร้อมกัน" ไม่มีการสาบาน ไม่มีการจับมือ แต่ระหว่างเขากับอคิน พันธสัญญานั้นแข็งแกร่งกว่าคำพูดใด ๆ ภานุวัฒน์ลุกขึ้นอย่างสงบนิ่ง ดึงสูทพาดบ่าอย่างเฉียบขาด “ฉันต้องกลับไทย” เสียงเขาทุ้มต่ำ เย็นเยียบจนทำให้ผนังห้องเหมือนหดตัว “มีบางอย่างที่ต้องถูกสะสาง...” อคินเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าภานุวัฒน์ในเวลานี้ ไม่ใช่ผู้ชายที่สามารถห้ามปรามได้อีกต่อไป เขาคือคนที่พร้อมจะลากทุกคนที่มีส่วนทำลายชีวิตของเขา ลงนรกไปด้วยกัน...ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ภานุวัฒน์หยุดยืนตรงประตู ก่อนหันกลับมาอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าวาววับเหมือนเหล็กกล้าในเปลวไฟ “ระหว่างที่ฉันไม่อยู่..." "ดูแลเด็กนั่นให้ดี” น้ำเสียงเขาเย็นเฉียบ ราบเรียบจนเหมือนแผ่นน้ำแข็งบางเฉียบที่พร้อมแตกหักได้ทุกเมื่อ “อย่าให้เธอเข้าไปยุ่งกับแขก VIP" "จัดเธอให้อยู่แค่ข้างนอก ชงเหล้า เสิร์ฟไวน์" แล้วเสียงของเขาก็กดต่ำลงอีก จนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบลอดไรฟัน “อย่าให้เธอต้องเจอกับอะไรที่ฉันไม่อยู่ควบคุมเอง” แม้ถ้อยคำนั้นจะถูกห่อหุ้มด้วยความเย็นเยียบ แต่มันเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่กดลึกอยู่ใต้ผิว ราวกับพายุที่ซ่อนตัวในน้ำแข็งบาง ๆ อคินมองเขาเงียบ ๆ หัวใจที่กร้านโลกยังอดสั่นสะเทือนเล็กน้อยไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่า... ถึงปากของภานุวัฒน์จะพูดถึงหนี้แค้น แต่หัวใจของเขา ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เขาแสดงออก อคินถอนหายใจแผ่ว ยิ้มจาง ๆ ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง “เข้าใจแล้ว” เขาเอ่ยรับคำ ภานุวัฒน์ไม่พูดอะไรอีก เขาหันหลัง ก้าวออกไปด้วยฝีเท้าหนักแน่น เงาร่างสูงใหญ่ของเขาทอดยาวไปตามโถงมืด แต่กลับไม่หลงเหลือเงาแห่งความอ่อนล้าไว้เลย มีเพียงแรงแค้นที่เดือดพล่านอยู่ในอก พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างที่เคยพรากชีวิตของเขาไป และศักดิ์ศรี...ที่เขาตั้งใจจะทวงคืน ไม่ว่าต้องจมกี่คนลงไปพร้อมกันก็ตาม ... ห้องแต่งตัวโซนหลังคลับ ไฟนีออนสีขาวขุ่นสาดลงบนห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ บรรยากาศข้างในอวลไปด้วยกลิ่นแป้งฝุ่น น้ำหอมราคาถูก และความเครียดที่แทบมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลาริสานั่งนิ่งอยู่หน้ากระจก มือเรียวเล็กกำชายกระโปรงแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว รอบตัวเธอ พนักงานหญิงอีกหลายคนจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันไม่หยุด ทุกสายตาที่มองมา ต่างเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ บางคนหรี่ตาอย่างสมเพช บางคนแสยะยิ้มเยาะ และบางคน...มีแววเวทนาเจือปนอยู่ในดวงตา "ก่อเรื่องในห้อง VIP น่ะเหรอ?" เสียงหนึ่งกระซิบแผ่วในอากาศ "ยัยนี่น่ะนะ? หน้าตาแบบนั้นน่ะเหรอจะเอาตัวรอดได้?" อีกเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างดูแคลน ลาริสากัดริมฝีปากแน่น หัวใจเธอเต้นแรง เจ็บแปลบไปทั้งอก เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกลงโทษอย่างไร ไม่รู้ว่าชะตากรรมต่อจากนี้...จะพาเธอไปถึงไหน ความกลัวไหลวนในอก เหมือนมือเย็นเฉียบกำลังบีบคอเธอช้า ๆ ขณะที่กำลังจมอยู่กับเสียงซุบซิบและความคิดที่ตีวน หญิงสาวคนหนึ่ง พนักงานรุ่นพี่ที่ดูเงียบขรึมกว่าใคร เดินเข้ามาใกล้เธอ น้ำเสียงของเธอเบา แต่มั่นคง "ที่นี่..." เธอพูด "ไม่บังคับให้ผู้หญิงลงไปทำอะไรที่ไม่อยากทำ" ลาริสาเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวังริบหรี่ หญิงคนนั้นยิ้มบาง ๆ ก่อนพูดต่อ "พวกที่ลงไปรับรองแขก... ส่วนใหญ่เป็นพวกที่สมัครใจเอง เพราะอยากได้เงินเพิ่ม อยากได้โบนัส" "แต่ถ้าทำผิดกฎ ก็จะถูกไล่ออก ง่าย ๆ แบบนั้น" ลาริสากระพริบตาถี่ ความหวังเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ 'ถ้าโดนไล่ออก...ฉันจะได้กลับบ้าน...ใช่ไหม?' เธอคิดในใจ มือที่กำเสื้อกระโปรงแน่นคลายลงเล็กน้อย แต่ทันใดนั้น หญิงสาวคนนั้นก็กระซิบต่อ เสียงเธอเย็นเยียบจนขนลุก "แต่อย่าคิดนะ..." "ว่าคนที่ออกไปจากที่นี่ จะได้กลับบ้านจริง ๆ" ลาริสาเบิกตากว้าง หญิงคนนั้นขยับเข้าใกล้อีกนิด สีหน้าไร้แวว เหมือนกำลังพูดความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง "ข้างนอกนั่น..." "พวกค้ามนุษย์รออยู่เต็มไปหมด" "บางคนออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกจับลากเข้าไปในซ่องเถื่อนฝั่งชายแดน" "ถูกกักขัง โดนข่มเหง โดนทำร้ายทุกวันทุกคืน..." "ไม่มีแสง ไม่มีอากาศ ไม่มีอิสรภาพ" เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนทิ้งท้ายด้วยเสียงแผ่วราวกับลมกระซิบ "ที่นี่น่ะ...ต่อให้โหดร้ายยังไง...ก็ยังนับว่าเป็นสวรรค์ ถ้าเทียบกับขุมนรกข้างนอกนั่น" ลาริสานั่งนิ่งเหมือนหุ่นแข็ง เลือดในกายเย็นเยียบลงทุกวินาที ความหวังที่เพิ่งก่อเกิดเมื่อครู่นี้ ถูกความจริงโหดร้ายฉีกกระชากจนขาดวิ่นไม่เหลือ เธอก้มหน้าลง ไหล่บางสั่นเทาเล็กน้อย“วันนี้…ครูริสาจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในหนังสือไหนเลย” เสียงหวานของเธอดังขึ้นเบา ๆ แต่เรียกความสนใจได้ทันที “เรื่องนี้...เกี่ยวกับเจ้าชายผู้หนึ่งที่กลายเป็นปีศาจ และเจ้าหญิงคนหนึ่งที่มีหัวใจเปล่งแสง เหมือนดวงดาวในคืนมืดที่สุด” “ชื่อเรื่องว่าอะไรครับ!” เด็กชายตัวจ้อยคนหนึ่งถามเสียงดัง “ชื่อว่า... เจ้าชายปีศาจกับเจ้าหญิงแห่งแสงสว่าง จ้ะ” เสียงฮือฮาเล็ก ๆ ดังขึ้นรอบวง ก่อนที่ทุกคนจะนิ่งฟังอีกครั้ง “นานมาแล้ว... มีอาณาจักรหนึ่งที่เงียบงัน ไม่มีแสงแดด ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีดอกไม้บาน ที่นั่น…คือโลกของเจ้าชายผู้ถูกสาป เขาเคยมีหัวใจที่ดี แต่เมื่อหัวใจนั้นแตกสลายจากเรื่องร้าย ๆ เขาก็ปิดมันไว้แน่น และไม่ยอมให้แสงใดเข้าไปอีกเลย” “แล้วเขากลายเป็นปีศาจเหรอคะ?” เด็กหญิงผูกโบว์ถามขึ้นเสียงแผ่ว “ใช่จ้ะ...เขากลายเป็นปีศาจที่มีดวงตาเศร้า และไม่เคยยิ้มอีกเลย แต่ลึก ๆ แล้ว...เขาก็แค่อยู่คนเดียวจนลืมวิธีจะรักใครเท่านั้นเอง” ครูริสาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วทำเสียงกระซิบ “วันหนึ่ง…เจ้าชายคิดแผนการขึ้นมา เขาจะพาใครสักคนมาอยู่กับเขา…สักคนที่มีหัวใจอบอุ่น เขาจึงวางกับดัก วางแผนการ
ลาริสาตาโตทันที “อะไรนะคะ?” “ผมมีบริษัทที่ต้องดูแล ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา แต่ผมเชื่อว่าคุณ…จะดูแลเด็ก ๆ ที่นี่ได้ดีที่สุด” เธอสั่นศีรษะเบา ๆ ริมฝีปากยังอ้าค้าง “แต่…ริสาไม่เคยคิดเลยว่าจะ—” “ผมคิดไว้แล้ว” เขายิ้มบางเบา “ผมไม่ต้องการแค่ภรรยา…แต่ต้องการ ‘หุ้นส่วนชีวิต’ คนที่ผมไว้ใจ คนที่ผมรู้ว่า…ถ้าเธออยู่ตรงนี้ ทุกอย่างจะไม่พัง” ลาริสาน้ำตาซึมอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอ่อนไหว แต่เพราะหัวใจของเธอได้รับการยอมรับ ทั้งจากเขา…และจากโลกที่เธอเคยรู้สึกเหมือนไม่มีที่ยืน เขาดึงมือเธอขึ้นมากดจูบเบา ๆ ที่หลังมือ “นี่คือบ้านของเรา…และทุกอย่างที่ผมสร้างไว้ทั้งหมดนี้ ผมอยากให้มันเป็นของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณต้องการ แต่เพราะคุณ ‘คู่ควร’ กับมัน…” ........................ เช้าวันพิเศษ แสงอรุณอ่อนโยนปกคลุมทั่วบ้านหลังใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน เสียงพระสวดเบา ๆ ดังกังวานอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน กลิ่นธูปและดอกไม้สดหอมฟุ้งทั่วห้อง ลาริสาสวมชุดไทยสีงาช้างอ่อน ผ้าสไบปักดิ้นทองพาดบ่าดูงดงามราวเจ้าหญิงในนิทาน ดวงตาคู่นั้นมีแววเขินอายปนความปลื้มปิติในทุกการเคลื่อนไหว ข้างเธอ นาราและพราว
เมื่อรถจอดลงหน้าบ้าน เธอก็ทำท่าจะเปิดประตูลงเองตามปกติ แต่เสียงเขาห้ามไว้ก่อน “เดี๋ยว ผมไปด้วย” เขาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมมาที่เธอ ขณะเธอหันมามองด้วยความแปลกใจ “คุณจะ…เข้าไปเหรอคะ?” เธอถามเบา ๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความสั่น เขาพยักหน้า ช้า ๆ หนักแน่น “ผมอยากไหว้แม่ของคุณ…” “ก็ในเมื่อคุณเป็นผู้หญิงที่ผมรัก แม่ของคุณ…ก็คือคนที่ผมเคารพด้วยหัวใจ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ทุกคำกลับแน่นลึกเหมือนสัญญาที่ออกมาจากหัวใจ และนั่นเพียงพอที่จะทำให้เธอพยักหน้า ยิ้มจาง ๆ แล้วพาเขาเดินตามเข้าบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เสียงเปิดประตูบ้านไม้ดังเบา ๆ ในยามเย็น ลาริสาก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ข้างกายมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามเข้ามาช้า ๆ เขาไม่ได้ใส่สูท ไม่ได้มีภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่โต…มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวธรรมดา กับสีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยแรงใจที่แน่วแน่ ป้านวลที่จัดโต๊ะอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นผู้มาใหม่ “แม่คะ…” ลาริสาเรียกเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วข้าง ๆ รถเข็น “นี่คือคุณภานุวัฒน์ค่ะ…” แววตาคุณภาวินีขยับวูบ ไม่มีคำถาม ไม่มีความประหลาดใจ มีเพียงสายตาที่ไล่มองเขาช้า ๆ เหมือน
ขาของเธอสั่นน้อย ๆ จนต้องยึดแขนเขาไว้แน่น เขาจึงแกล้งเอ่ยเสียงเบาแฝงแววขบขัน “ดูเหมือนร่างกายคุณจะอ่อนแอไปหน่อยนะครับ…สงสัยต้องพามาออกกำลังกายแบบนี้บ่อย ๆ” “หยุดเลย!” เธอตีเขาอีกครั้ง ใบหน้ายังแดงเรื่อ ดวงตาวาววับทั้งขวยเขินทั้งหมั่นไส้ “เย็นนี้รอผมนะ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาพูดขณะจัดปกเสื้อให้เธอเรียบร้อย เธอพยักหน้าช้า ๆ ยิ้มจาง ๆ พลางสูดหายใจลึก เตรียมจะกลับเข้าไปในชั้นเรียนอีกครั้ง และในจังหวะที่เธอก้าวออกจากประตู เธอก็ยังได้ยินเสียงเขาไล่หลังมาเบา ๆ ว่า “แต่ถ้าคุณคิดถึงผมก่อนถึงเวลาเลิกงาน ก็แวะมาหาผมที่ห้องนี้ได้ตลอดนะครับ” ... เสียงเปิดประตูดังแผ่วขณะลาริสาก้าวกลับเข้ามาในห้องเรียน แสงจากหน้าต่างทอดผ่านโต๊ะไม้ยาวในบรรยากาศเงียบสงบ นักเรียนยังคงก้มหน้าตั้งใจเขียนแบบฝึกหัดตามคำสั่งจากครูพี่เลี้ยงที่คุมชั้นไว้ชั่วคราว เธอกลืนน้ำลายเบา ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง ขาที่ยังสั่นเล็กน้อยในทุกก้าวทำให้เธอต้องเกาะขอบโต๊ะด้านหน้าไว้ ริมฝีปากร้อนผ่าว ดวงตาแอบเหลือบมองบานประตูหลังห้องที่เธอเพิ่งเดินผ่านราวกับภาพเมื่อครู่นั้นยังซ้อนทับอยู่ตรงนั้น ‘คุ
ริมฝีปากร้อนจัดแตะแผ่วที่ลาดไหล่เธออย่างอ้อยอิ่ง ราวกับซึมซับทุกคำตอบที่ยังไม่หลุดจากริมฝีปาก “ฉัน…รู้ใจตัวเองแล้ว…” เสียงเธอสั่นพร่าราวกับจะขาดหายทุกครั้งที่เขาแตะต้อง “ฉันรักคุณ…ฉันยอมรับ…แม้ว่าฉันจะไม่รู้เลยว่า…คุณรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…คุณรัก…หรือคุณแค้น…หรือคุณเกลียดกันแน่…” คำพูดนั้นทำให้เขาชะงัก ปลายนิ้วที่กำลังไล้ต่ำอยู่แถวเอวหยุดค้างอยู่กลางอากาศชั่วขณะ แววตาเขานิ่งงันเหมือนจมหายไปกับบางสิ่งที่อัดแน่นในอก ก่อนที่ชั่ววินาทีนั้น เขาจะก้มหน้าลงอีกครั้ง พร้อมกระซิบเสียงแผ่วชิดริมผิวเนื้อ “คุณยังไม่รู้อีกหรอ…ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับคุณ…” มือเขาเลื่อนไปที่กระดุมเสื้อเธอ แล้วค่อย ๆ ปลดมันทีละเม็ด ทุกจังหวะช้า…แต่ชัดเจนและแน่วแน่ เธอสั่นสะท้าน พยายามยกมือขึ้นห้าม…แต่เรี่ยวแรงที่มีดูไร้น้ำหนักเมื่อเขารั้งเธอไว้แน่นขึ้น “ผมไม่ได้อยากครอบครองคุณเพราะความแค้น…” เขากระซิบ “ผมไม่ได้แตะต้องคุณเพราะต้องการทำร้าย…” “แต่เพราะทุกครั้งที่มองคุณ ผมหยุดตัวเองไม่ได้…” และยิ่งเขาพูด…ปลายนิ้วก็ยิ่งลึกซึ้ง ทุกคำสารภาพหลุดออกจากปากเขา พร้อมกับสัมผัสที่รุกล้ำเข้าไปทีละนิด ทีละลมหายใจ
เธอพูดต่อทั้งที่เสียงยังเรียบ แต่เนื้อเสียงกลับกัดลึกยิ่งกว่าคำใด “ฉันเห็นนะคะ ฉันเห็นคุณเปิดประตูรถให้เธอ ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ แล้วยังเดินเข้าไปในร้านด้วยกัน…มันเป็นภาพที่ชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำ” เธอยิ้มบาง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อที่พยายามกลบไว้ในรอยยิ้มประชด “พวกคุณดูเหมาะกันดีนะคะ สวย หล่อ สมกันดี ฉันขอโทษที่เผลอเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” เขาไม่ตอบทันที แต่เสียงที่หลุดจากปากในวินาทีนั้น กลับทุ้มต่ำ…และตรงประเด็นอย่างน่าตกใจ “คุณหึงเหรอ?” คำถามที่ทิ่มแทงลงไปตรงใจ ลาริสาสะบัดหน้า เธอกำลังจะลุกหนี แต่เขากลับไม่ปล่อยให้เธอไปง่าย ๆ “ฉันจะหึงทำไมคะ?” เธอพูดเร็ว “คุณไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน คุณจะควงใครไปถ่ายรูปก็เรื่องของคุณ” เพียงแค่นั้น…เขาก็รู้แล้ว รู้โดยไม่ต้องถามต่อ เขายกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้แก้มเธอแผ่วเบา สายตาของเขามองตรงเข้าไปในดวงตาเธอที่กำลังสั่น และในขณะที่เธอกำลังจะขยับตัวหลบ เขาก็รั้งเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่ว…แต่ชัดเจนจนไม่มีพื้นที่ให้เข้าใจผิดอีกต่อไป “ฟังผมนะ…” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นกระทบผิวแก้มเธอ “ผู้ห