ความเงียบปกคลุมทั่วห้องหลังบทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างภานุวัฒน์กับธีภพจบลง
ท่ามกลางความเงียบ...แต่ไม่ว่างเปล่า ในห้วงความเงียบนั้นมีทั้งความเข้าใจ และภาระที่แต่ละคนแบกไว้ในเส้นทางที่ไม่อาจหันหลัง คีรณัฐ ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตเรียบเฉียบที่นั่งพิงพนักนิ่ง ๆ กระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เฉือนลึกในทุกถ้อยคำ "ฉันเอง...ก็คงต้องถอนตัวจากฝั่งธุรกิจแล้วเหมือนกัน" เพียงคำพูดเดียว บรรยากาศในห้องพลันตึงขึ้นอย่างยากจะอธิบาย ธีภพละสายตาจากแฟ้มในมือ ภานุวัฒน์หยุดมือที่กำลังขยับแฟ้มเอกสาร ทั้งสองไม่ถามซ้ำ เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ เบื้องหลังหน้ากากผู้บริหารที่คีรณัฐสวมไว้ตลอดหลายปี คือเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษระดับสูง หนึ่งในผู้กวาดล้างขบวนการสกปรกในโลกมืด ทั้งสารเสพติด อาชญากรรม และนักการเมืองที่ย่ำยีผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะ...ท่านรัฐมนตรี วิศรุต เกริกไกร เป้าหมายที่เขาเพ่งเล็งมาเนิ่นนาน คีรณัฐหัวเราะเบา ๆ คล้ายไม่ยี่หระ "ถึงเวลาแล้วล่ะ...ต้องกลับไปทำในสิ่งที่ควรทำ" เสียงเขานิ่งและมั่นคงจนรอบห้องเหมือนจะอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ ธีภพพยักหน้าเข้าใจ ไม่พูดมาก เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ไม่ต้องการถ้อยคำฟุ่มเฟือย ภานุวัฒน์เองก็พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่ทุ้มต่ำ "ต่อจากนี้..." "ฉันอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากแกบ้าง" คิ้วของคีรณัฐยกขึ้นนิด ๆ อย่างรู้ทัน รอยยิ้มที่มุมปากเย็นเฉียบ และเต็มไปด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง "ไม่ใช่เรื่องบริหารสินะ?" เขาถามพลางกระตุกยิ้มมุมปาก "ไม่ใช่" ภานุวัฒน์ยืนยัน ดวงตาสีน้ำแข็งวาววับเป็นประกายเฉียบขาด "แต่เป็นเรื่องของศัตรู...ที่แกเองก็ตามล่าอยู่เหมือนกัน" แววตาทั้งสองสบกันในความ หมายทั้งหมดกระจ่างโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยชื่อ ท่านรัฐมนตรี วิศรุต เกริกไกร บุรุษผู้เป็นจุดเริ่มต้นของหนี้เลือด หนี้แค้น และความสูญเสีย คีรณัฐหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาจับปกเสื้อตัวเองอย่างไม่เร่งรีบ ก่อนพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็น "เมื่อไหร่ที่แกต้องการ..." "ก็แค่ส่งสัญญาณมา" เขาหันไปสบตาธีภพและภานุวัฒน์ "โลกของเรามันสกปรกพอแล้ว...อย่างน้อย ถ้ามีใครกล้าทำให้มันสะอาดขึ้นอีกนิด ฉันก็ยินดีจะเป็นฮีโร่ให้" .................... เวลาผ่านไปแล้วเกือบครึ่งเดือน ในสถานที่ซึ่งเหมือนหลุมดำ ที่กักขังเธอไม่ให้เห็นแม้แต่เศษเสี้ยวของท้องฟ้า ไม่มีวัน ไม่มีคืน มีเพียงแสงไฟสลัวและกลิ่นอับของความอ้างว้างที่เกาะกินหัวใจ ลาริสาทำงานเงียบ ๆ ในมุมเล็ก ๆ ของโลกนี้ เหมือนคนไร้ตัวตน...ที่ไม่มีใครอยากมองเห็น ครึ่งเดือนที่ผ่านมานั้น เธอไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกเลย ภานุวัฒน์ ชายผู้จับตัวเธอมา ชายผู้ที่ปล่อยให้เธอเอาตัวรอดท่ามกลางโลกอันโหดร้ายนี้เพียงลำพัง ในตอนแรก เธอยังเชื่อว่าหากไม่สร้างปัญหา เธอจะสามารถมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบ แต่โลกที่ไม่มีแสง ไม่ได้ใจดีกับใครง่าย ๆ ตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเข้ามา สายตาเหยียดหยาม และรอยยิ้มเยาะเย้ยก็ไม่เคยหายไปจากรอบตัว "นึกว่าหน้าตาสวยแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ?" "คิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูรึไง?" ถ้อยคำเสียดแทงเหล่านั้น เริ่มจากเสียงกระซิบ แปรเปลี่ยนเป็นการผลักไส และในที่สุด...กลายเป็นการกลั่นแกล้งอย่างเปิดเผย ยุ้ย พนักงานรุ่นพี่ที่ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ลับหลังเต็มไปด้วยพิษร้าย คือคนที่ก่อเรื่องทั้งหมด เธอไม่ชอบลาริสา ไม่ชอบตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น ทั้งที่ลาริสาไม่เคยทำอะไรให้เธอโกรธเคือง แต่เพียงเพราะความสวย แววตาที่ใสซื่อน่าสงสารของลาริสา เพียงแค่นั้น ก็พอที่จะทำให้ความริษยาในใจของใครบางคนปะทุขึ้น และคืนนี้... เธอก็ตัดสินใจจะ ‘สั่งสอน’ ให้ลาริสาจดจำไปจนตาย ขณะที่ลาริสากำลังเก็บขวดเครื่องดื่มในห้องเก็บของลับตาคน ยุ้ยก็แอบตามเข้ามา เสียงหัวเราะแหลมคมดังสะท้อนผนังเย็นเฉียบ "ฉันล่ะเกลียดจริง ๆ คนตอแหลแบบแก" "เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเสแสร้ง! " "ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าที่นี่มันไม่มีที่สำหรับคนอย่างแก?" คำพูดแหลมบาดหู ก่อนที่ถาดเหล็กจะถูกฟาดใส่กลางแผ่นหลังเธอเต็มแรงจนเซถลา ร่างบางของลาริสากระแทกเข้ากับชั้นเหล็กที่เรียงขวดเครื่องดื่มอยู่ เสียงขวดแก้วแตกกระจาย เศษแก้วพุ่งใส่ผิวเนื้อจนบาดเป็นทางยาว ความเจ็บปวดแล่นปราดจนหายใจไม่ออก เลือดไหลซึมตามรอยแผลที่แขนและต้นขา ลาริสาพยายามยันตัวขึ้น แต่มือเปื้อนเลือดทำให้เธอลื่นไถลกลับลงไปอีกครั้ง เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังลั่นในห้องเก็บของปิดตาย "อยากกลับไปบ้านมากใช่มั้ยล่ะ?" "ก็ลองดูสิ...ลองเดินออกไปจากที่นี่ แล้วจะได้รู้ว่าข้างนอกน่ะ นรกจริง ๆ เป็นยังไง!" น้ำตาเอ่อขึ้นในดวงตาของลาริสา แต่เธอกัดฟันแน่น ไม่ยอมให้พวกนั้นได้เห็นแม้แต่น้ำตาเม็ดเดียว และในจังหวะที่ยุ้ยกำลังจะก้าวเข้ามากระชากผมเธอซ้ำ เสียงหนัก ๆ ของรองเท้าคู่หนึ่งก็ดังขึ้นจากปลายทางเดิน ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตดำปรากฏขึ้นกลางความเงียบที่ตึงเครียด อคินที่สั่งให้คนจับตาดูความปลอดภัยของลาริสาเป็นพิเศษ เขารีบลงมาทันทีเมื่อได้รับรายงาน ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองสภาพตรงหน้า ในวินาทีที่เห็นเลือดไหลอาบแขนของลาริสา อุณหภูมิในห้องเหมือนลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนน้ำแข็งกรีดกระดูก "กลับไปเก็บของ แล้วออกไปจากที่นี่" ยุ้ยหน้าถอดสีทันที "บอสคะ...ฉันแค่หยอกเธอเล่น—" "ห้านาที" เสียงของอคินขาดห้วนจนไม่มีที่ให้ต่อรอง "หรือจะให้การ์ดหิ้วแกออกไป?" ยุ้ยกัดฟัน น้ำตาคลอด้วยความอับอายและโกรธแค้น แต่ไม่กล้าเอ่ยคำใด นอกจากรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที อคินก้าวเข้ามาเงียบ ๆ สั่งให้คนเอากล่องพยาบาลมาให้เธอ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ "รักษาแผลให้ดี" "และอย่าทำให้ฉันต้องเห็นเธอเลือดตกยางออกแบบนี้อีก"“วันนี้…ครูริสาจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในหนังสือไหนเลย” เสียงหวานของเธอดังขึ้นเบา ๆ แต่เรียกความสนใจได้ทันที “เรื่องนี้...เกี่ยวกับเจ้าชายผู้หนึ่งที่กลายเป็นปีศาจ และเจ้าหญิงคนหนึ่งที่มีหัวใจเปล่งแสง เหมือนดวงดาวในคืนมืดที่สุด” “ชื่อเรื่องว่าอะไรครับ!” เด็กชายตัวจ้อยคนหนึ่งถามเสียงดัง “ชื่อว่า... เจ้าชายปีศาจกับเจ้าหญิงแห่งแสงสว่าง จ้ะ” เสียงฮือฮาเล็ก ๆ ดังขึ้นรอบวง ก่อนที่ทุกคนจะนิ่งฟังอีกครั้ง “นานมาแล้ว... มีอาณาจักรหนึ่งที่เงียบงัน ไม่มีแสงแดด ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีดอกไม้บาน ที่นั่น…คือโลกของเจ้าชายผู้ถูกสาป เขาเคยมีหัวใจที่ดี แต่เมื่อหัวใจนั้นแตกสลายจากเรื่องร้าย ๆ เขาก็ปิดมันไว้แน่น และไม่ยอมให้แสงใดเข้าไปอีกเลย” “แล้วเขากลายเป็นปีศาจเหรอคะ?” เด็กหญิงผูกโบว์ถามขึ้นเสียงแผ่ว “ใช่จ้ะ...เขากลายเป็นปีศาจที่มีดวงตาเศร้า และไม่เคยยิ้มอีกเลย แต่ลึก ๆ แล้ว...เขาก็แค่อยู่คนเดียวจนลืมวิธีจะรักใครเท่านั้นเอง” ครูริสาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วทำเสียงกระซิบ “วันหนึ่ง…เจ้าชายคิดแผนการขึ้นมา เขาจะพาใครสักคนมาอยู่กับเขา…สักคนที่มีหัวใจอบอุ่น เขาจึงวางกับดัก วางแผนการ
ลาริสาตาโตทันที “อะไรนะคะ?” “ผมมีบริษัทที่ต้องดูแล ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา แต่ผมเชื่อว่าคุณ…จะดูแลเด็ก ๆ ที่นี่ได้ดีที่สุด” เธอสั่นศีรษะเบา ๆ ริมฝีปากยังอ้าค้าง “แต่…ริสาไม่เคยคิดเลยว่าจะ—” “ผมคิดไว้แล้ว” เขายิ้มบางเบา “ผมไม่ต้องการแค่ภรรยา…แต่ต้องการ ‘หุ้นส่วนชีวิต’ คนที่ผมไว้ใจ คนที่ผมรู้ว่า…ถ้าเธออยู่ตรงนี้ ทุกอย่างจะไม่พัง” ลาริสาน้ำตาซึมอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอ่อนไหว แต่เพราะหัวใจของเธอได้รับการยอมรับ ทั้งจากเขา…และจากโลกที่เธอเคยรู้สึกเหมือนไม่มีที่ยืน เขาดึงมือเธอขึ้นมากดจูบเบา ๆ ที่หลังมือ “นี่คือบ้านของเรา…และทุกอย่างที่ผมสร้างไว้ทั้งหมดนี้ ผมอยากให้มันเป็นของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณต้องการ แต่เพราะคุณ ‘คู่ควร’ กับมัน…” ........................ เช้าวันพิเศษ แสงอรุณอ่อนโยนปกคลุมทั่วบ้านหลังใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน เสียงพระสวดเบา ๆ ดังกังวานอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน กลิ่นธูปและดอกไม้สดหอมฟุ้งทั่วห้อง ลาริสาสวมชุดไทยสีงาช้างอ่อน ผ้าสไบปักดิ้นทองพาดบ่าดูงดงามราวเจ้าหญิงในนิทาน ดวงตาคู่นั้นมีแววเขินอายปนความปลื้มปิติในทุกการเคลื่อนไหว ข้างเธอ นาราและพราว
เมื่อรถจอดลงหน้าบ้าน เธอก็ทำท่าจะเปิดประตูลงเองตามปกติ แต่เสียงเขาห้ามไว้ก่อน “เดี๋ยว ผมไปด้วย” เขาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมมาที่เธอ ขณะเธอหันมามองด้วยความแปลกใจ “คุณจะ…เข้าไปเหรอคะ?” เธอถามเบา ๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความสั่น เขาพยักหน้า ช้า ๆ หนักแน่น “ผมอยากไหว้แม่ของคุณ…” “ก็ในเมื่อคุณเป็นผู้หญิงที่ผมรัก แม่ของคุณ…ก็คือคนที่ผมเคารพด้วยหัวใจ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ทุกคำกลับแน่นลึกเหมือนสัญญาที่ออกมาจากหัวใจ และนั่นเพียงพอที่จะทำให้เธอพยักหน้า ยิ้มจาง ๆ แล้วพาเขาเดินตามเข้าบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เสียงเปิดประตูบ้านไม้ดังเบา ๆ ในยามเย็น ลาริสาก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ข้างกายมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามเข้ามาช้า ๆ เขาไม่ได้ใส่สูท ไม่ได้มีภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่โต…มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวธรรมดา กับสีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยแรงใจที่แน่วแน่ ป้านวลที่จัดโต๊ะอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นผู้มาใหม่ “แม่คะ…” ลาริสาเรียกเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วข้าง ๆ รถเข็น “นี่คือคุณภานุวัฒน์ค่ะ…” แววตาคุณภาวินีขยับวูบ ไม่มีคำถาม ไม่มีความประหลาดใจ มีเพียงสายตาที่ไล่มองเขาช้า ๆ เหมือน
ขาของเธอสั่นน้อย ๆ จนต้องยึดแขนเขาไว้แน่น เขาจึงแกล้งเอ่ยเสียงเบาแฝงแววขบขัน “ดูเหมือนร่างกายคุณจะอ่อนแอไปหน่อยนะครับ…สงสัยต้องพามาออกกำลังกายแบบนี้บ่อย ๆ” “หยุดเลย!” เธอตีเขาอีกครั้ง ใบหน้ายังแดงเรื่อ ดวงตาวาววับทั้งขวยเขินทั้งหมั่นไส้ “เย็นนี้รอผมนะ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาพูดขณะจัดปกเสื้อให้เธอเรียบร้อย เธอพยักหน้าช้า ๆ ยิ้มจาง ๆ พลางสูดหายใจลึก เตรียมจะกลับเข้าไปในชั้นเรียนอีกครั้ง และในจังหวะที่เธอก้าวออกจากประตู เธอก็ยังได้ยินเสียงเขาไล่หลังมาเบา ๆ ว่า “แต่ถ้าคุณคิดถึงผมก่อนถึงเวลาเลิกงาน ก็แวะมาหาผมที่ห้องนี้ได้ตลอดนะครับ” ... เสียงเปิดประตูดังแผ่วขณะลาริสาก้าวกลับเข้ามาในห้องเรียน แสงจากหน้าต่างทอดผ่านโต๊ะไม้ยาวในบรรยากาศเงียบสงบ นักเรียนยังคงก้มหน้าตั้งใจเขียนแบบฝึกหัดตามคำสั่งจากครูพี่เลี้ยงที่คุมชั้นไว้ชั่วคราว เธอกลืนน้ำลายเบา ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง ขาที่ยังสั่นเล็กน้อยในทุกก้าวทำให้เธอต้องเกาะขอบโต๊ะด้านหน้าไว้ ริมฝีปากร้อนผ่าว ดวงตาแอบเหลือบมองบานประตูหลังห้องที่เธอเพิ่งเดินผ่านราวกับภาพเมื่อครู่นั้นยังซ้อนทับอยู่ตรงนั้น ‘คุ
ริมฝีปากร้อนจัดแตะแผ่วที่ลาดไหล่เธออย่างอ้อยอิ่ง ราวกับซึมซับทุกคำตอบที่ยังไม่หลุดจากริมฝีปาก “ฉัน…รู้ใจตัวเองแล้ว…” เสียงเธอสั่นพร่าราวกับจะขาดหายทุกครั้งที่เขาแตะต้อง “ฉันรักคุณ…ฉันยอมรับ…แม้ว่าฉันจะไม่รู้เลยว่า…คุณรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…คุณรัก…หรือคุณแค้น…หรือคุณเกลียดกันแน่…” คำพูดนั้นทำให้เขาชะงัก ปลายนิ้วที่กำลังไล้ต่ำอยู่แถวเอวหยุดค้างอยู่กลางอากาศชั่วขณะ แววตาเขานิ่งงันเหมือนจมหายไปกับบางสิ่งที่อัดแน่นในอก ก่อนที่ชั่ววินาทีนั้น เขาจะก้มหน้าลงอีกครั้ง พร้อมกระซิบเสียงแผ่วชิดริมผิวเนื้อ “คุณยังไม่รู้อีกหรอ…ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับคุณ…” มือเขาเลื่อนไปที่กระดุมเสื้อเธอ แล้วค่อย ๆ ปลดมันทีละเม็ด ทุกจังหวะช้า…แต่ชัดเจนและแน่วแน่ เธอสั่นสะท้าน พยายามยกมือขึ้นห้าม…แต่เรี่ยวแรงที่มีดูไร้น้ำหนักเมื่อเขารั้งเธอไว้แน่นขึ้น “ผมไม่ได้อยากครอบครองคุณเพราะความแค้น…” เขากระซิบ “ผมไม่ได้แตะต้องคุณเพราะต้องการทำร้าย…” “แต่เพราะทุกครั้งที่มองคุณ ผมหยุดตัวเองไม่ได้…” และยิ่งเขาพูด…ปลายนิ้วก็ยิ่งลึกซึ้ง ทุกคำสารภาพหลุดออกจากปากเขา พร้อมกับสัมผัสที่รุกล้ำเข้าไปทีละนิด ทีละลมหายใจ
เธอพูดต่อทั้งที่เสียงยังเรียบ แต่เนื้อเสียงกลับกัดลึกยิ่งกว่าคำใด “ฉันเห็นนะคะ ฉันเห็นคุณเปิดประตูรถให้เธอ ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ แล้วยังเดินเข้าไปในร้านด้วยกัน…มันเป็นภาพที่ชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำ” เธอยิ้มบาง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อที่พยายามกลบไว้ในรอยยิ้มประชด “พวกคุณดูเหมาะกันดีนะคะ สวย หล่อ สมกันดี ฉันขอโทษที่เผลอเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” เขาไม่ตอบทันที แต่เสียงที่หลุดจากปากในวินาทีนั้น กลับทุ้มต่ำ…และตรงประเด็นอย่างน่าตกใจ “คุณหึงเหรอ?” คำถามที่ทิ่มแทงลงไปตรงใจ ลาริสาสะบัดหน้า เธอกำลังจะลุกหนี แต่เขากลับไม่ปล่อยให้เธอไปง่าย ๆ “ฉันจะหึงทำไมคะ?” เธอพูดเร็ว “คุณไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน คุณจะควงใครไปถ่ายรูปก็เรื่องของคุณ” เพียงแค่นั้น…เขาก็รู้แล้ว รู้โดยไม่ต้องถามต่อ เขายกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้แก้มเธอแผ่วเบา สายตาของเขามองตรงเข้าไปในดวงตาเธอที่กำลังสั่น และในขณะที่เธอกำลังจะขยับตัวหลบ เขาก็รั้งเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่ว…แต่ชัดเจนจนไม่มีพื้นที่ให้เข้าใจผิดอีกต่อไป “ฟังผมนะ…” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นกระทบผิวแก้มเธอ “ผู้ห