ลาริสาก้มหน้าถือกล่องปฐมพยาบาลแน่นในมือ
ฝ่ามือที่บาดเจ็บแสบระคนกับอาการปวดที่ยังแล่นขึ้นตามข้อศอกทุกครั้งที่ขยับ เธอเดินอย่างระมัดระวังไปตามทางเดินแคบ ๆ หลบสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ไหลวนรอบตัว เหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ถูกโยนเข้าไปในป่าใหญ่ที่ไม่ปรานี ระหว่างทาง เธอเกือบสะดุดอีกครั้งเพราะขาสั่นจากความเจ็บ แต่แล้ว...มีมือหนึ่งเอื้อมมาคว้าแขนเธอไว้เบา ๆ "เดี๋ยวฉันช่วย" เสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้นข้างหู ส้ม พี่สาวร่างเล็กในชุดเสื้อโปโลสีเข้ม ที่ลาริสาได้พบในวันแรกที่เธอถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ที่นี่ ส้มเคยเป็นคนแรกที่ยื่นน้ำให้เธอในคืนที่ร้องไห้ไม่หยุด เคยเป็นคนที่นั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ ตอนที่เธอรู้สึกว่าทั้งโลกนี้ไม่เหลือใคร ลาริสาเม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ส้มช่วยพยุงตัวไปนั่งที่ม้านั่งยาวด้านหลัง ส้มไม่ถามอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่ดึงกล่องออกจากมือเธออย่างเบามือ แล้วเริ่มทำแผลให้อย่างเงียบ ๆ ปลายนิ้วที่พันผ้าพันแผลแน่นแต่ไม่เจ็บ สัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อในสถานที่แห้งแล้งเช่นนี้ "พักก่อนเถอะนะ..." ส้มกระซิบเสียงเบา ขณะพันแผลเสร็จ "เดี๋ยวฉันจะไปบอกหัวหน้าว่าเธอทำงานไม่ไหว ขอพักคืนนี้" ลาริสาเม้มปากแน่น พยักหน้าเบา ๆ ไม่กล้าเปล่งเสียงใด เพราะรู้ดีว่าหากพูดออกมา น้ำตาคงไหลโดยไม่อาจกลั้น สำหรับเธอ ส้มคือเสี้ยวหนึ่งของความเป็นคน ที่ยังหลงเหลืออยู่ในที่แห่งนี้ ...แต่ในมุมหนึ่ง ซ่อนเร้นอยู่ในเงามืดของโถงห้อง ดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมาอย่างเกรี้ยวกราด แยม น้องสาวแท้ ๆ ของยุ้ย พนักงานอีกคนที่เข้ามาทำงานที่นี่พร้อมกันกับพี่สาว แยมเห็นทุกอย่าง เห็นพี่สาวของเธอถูกไล่ออก ไม่ใช่ด้วยเกียรติ แต่ถูกโยนออกไปเหมือนขยะที่ไม่มีค่าอะไร และเธอรู้ดี...ว่าข้างนอกนั่น ไม่มีใครรอรับยุ้ยอีกแล้ว เธอออกไปจากที่นี่ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หมดสัญญา จึงไม่มีคนส่งเธอกลับบ้านอย่างปลอดภัย พวกค้ามนุษย์ พวกขูดรีด และความตายที่รออยู่ด้านนอกอย่างเงียบ ๆ ทั้งหมดนี้ ในสายตาแยม ต้นเหตุก็มีเพียงหนึ่งเดียว ลาริสา เด็กใหม่ที่ทำให้ยุ้ยต้องสูญสิ้นทุกอย่าง สายตาของแยมแข็งกร้าว ใบหน้าอ่อนวัยที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความฝัน ตอนนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ริมฝีปากบางขบแน่น หัวใจของเธอสาบานเงียบ ๆ ในใจ ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าอย่างไร สักวันหนึ่ง...ฉันจะลากแกลงไปนรกด้วยมือของฉันเอง ............................ ห้องทำงานส่วนตัว ตึกซาเลียน อินโนเวชั่น ในฝั่งไทย ภานุวัฒน์นั่งพิงพนักเก้าอี้ หนังสือเอกสารกระจายอยู่เต็มโต๊ะ มือถือที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะสั่นครืดขึ้น เขาชำเลืองตามอง ก่อนจะกดรับสายอย่างไม่เร่งรีบ "ว่าไง" น้ำเสียงเรียบนิ่งเย็นชาจนแทบไม่มีอารมณ์ ["เกิดเรื่องที่คลับ"] เสียงอคินดังมาจากปลายสาย ["ลาริสาโดนทำร้าย"] ภานุวัฒน์นิ่งไปชั่ววินาที ปลายนิ้วที่เคยเคาะแฟ้มข้อมูลอยู่เงียบ ๆ ก็หยุดชะงัก เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้มากขึ้น สายตาคมกริบจ้องมองไปยังจุดว่างบนโต๊ะราวกับกำลังไตร่ตรองบางอย่าง "...สร้างแต่ปัญหาจริง ๆ" เขาพูดเสียงเรียบ คล้ายตำหนิกลั้วด้วยความรำคาญ แต่หากมองให้ลึกกว่านั้น แววตาใต้แพขนตาคมเข้มกลับสั่นไหวบางเบา ประกายคุกรุ่นของความห่วงใยเจือจางผ่านในชั่ววินาที... ก่อนที่เขาจะกดมันกลับไปสู่ความเย็นชาอีกครั้ง "ฉันยังกลับไปไม่ได้ตอนนี้" น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบ "มีบางอย่างที่ต้องเคลียร์ให้จบฝั่งนี้ก่อน" ["แล้วจะให้ทำยังไง?"] อคินถามตรง ๆ ภานุวัฒน์ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องรำคาญใจเล็กน้อย "ดูแลเธอให้ดี...อย่าให้ตายซะก่อน" เขาพูดด้วยเสียงเย็นชา "อย่างน้อย...จนกว่าฉันจะกลับไปเคลียร์หนี้กับเธอให้จบ" ไม่มีคำหวาน ไม่มีสัญญาว่าจะรีบไปหา แต่ในจังหวะที่ปลายนิ้วเขาบีบมือถือแน่นขึ้นนิดหนึ่ง มันบอกได้มากกว่าคำพูดเป็นพันคำ ภานุวัฒน์ตัดสายโดยไม่รอคำตอบจากอคิน เขาโยนมือถือกลับลงบนโต๊ะอย่างไม่อ่อนโยน แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หรี่ตาลงช้า ๆ เสียงของอคินที่บอกว่าลาริสาได้รับบาดเจ็บไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวใจอย่างห้ามไม่อยู่ "อย่าโง่ไปทำตัวให้เจ็บอีกล่ะ" เสียงเขาพึมพำเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว ................... ณ คอนโดหรูใจกลางเมือง บรรยากาศยามค่ำคืนอบอวลด้วยกลิ่นไวน์และกลิ่นหอมจาง ๆ ของเทียนอโรม่า ไฟในห้องสลัวนวลพอให้เห็นรอยยิ้มขี้เล่นของหญิงสาวบนโซฟา พราวฟ้าดาราสาวสวยในชุดเดรสลำลองนั่งกอดเข่าอยู่ปลายโซฟา มือเล็กกำลังเล่นจานผลไม้ข้างตัวอย่างเพลิน ๆ ขณะที่สายตาลอบชำเลืองมองชายหนุ่มที่นั่งอีกฟากอย่างไม่วางตา คีรณัฐ กำลังพูดโทรศัพท์ น้ำเสียงทุ้มต่ำขรึมจริงจังจนแทบกลืนกินบรรยากาศทั้งหมด "ข้อมูลล็อตใหม่ได้มาแล้ว" "ฉันพร้อมช่วยนายเล่นงานมัน โดยเฉพาะรัฐมนตรีวิศรุต" พราวฟ้าสะดุ้งนิด ๆ เมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คาดคิดหลุดออกมาจากปากของเขา หลังจากวางสายกับภานุวัฒน์ คีรณัฐก็ถอนหายใจเบา ๆ วางมือถือลงข้างตัวอย่างเหนื่อยล้า พราวฟ้าลุกขึ้นย้ายตัวเองมานั่งข้างเขาอย่างแนบเนียน มือเล็กวางบนต้นขาเขาเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มซุกซน "เมื่อกี้...พูดถึงรัฐมนตรีวิศรุตใช่ไหมคะ?" คีรณัฐเลิกคิ้ว "คุณรู้จัก?" พราวฟ้าหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะเท้าคางเล่าอย่างไม่ทุกข์ร้อน "ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ..." "แต่ครั้งหนึ่ง ผู้จัดการส่วนตัวเคยบอกว่ามีรัฐมนตรีคนหนึ่ง...ชื่อนี้แหละ ติดต่อมาอยากชวนฉันไปทานข้าวด้วย" เธอยกนิ้วทำท่ากำกับคำพูดอย่างขี้เล่น "แต่ใคร ๆ ก็รู้ ว่าคำว่า 'ทานข้าว' ของพวกเขา...มันไม่ใช่แค่นั้น" คีรณัฐนิ่งงัน ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาคมเข้มกดลึกเหมือนกลืนทุกแสงไฟในห้องลงไป พราวฟ้ายิ้มหวาน ยิ่งเห็นเขาเครียด ก็ยิ่งอยากแหย่ เธอยักคิ้วขี้เล่น "น่าเสียดายนะคะ...ถ้าตอนนั้นฉันยอมตกลง บางทีวันนี้อาจโกอินเตอร์ไปแล้วก็ได้..." เสียงใสราวกับจะยั่วเย้า รอยยิ้มที่โปรยออกมา มีทั้งเสน่ห์และไฟที่กำลังท้าทายอำนาจเงียบ ๆ ของเขา คีรณัฐหันขวับมามองเธอ ในดวงตานั้นมีทั้งความหึงหวง และความปรารถนาที่เดือดพล่านขึ้นทุกขณะ "เธออยากใช้ร่างกายเพื่อแลกกับโอกาสขนาดนั้นเลยเหรอ?" เสียงเขาทุ้มต่ำ ขุ่นจัดกว่าปกติ พราวฟ้าเพียงยิ้มบาง ๆ ไม่ตอบ แต่จงใจเลื่อนปลายนิ้วไล้ไปตามต้นแขนเขาเบา ๆ เป็นการท้าทายที่เกือบไร้เดียงสา และอันตรายถึงขีดสุดในเสี้ยววินาทีคีรณัฐคว้าเอวเธอกดลงกับเบาะโซฟา"งั้นผมจะช่วยสอนให้เอง..."เสียงของเขาแหบพร่า ขณะที่ก้มลงแนบชิดจนลมหายใจสอดประสานกันริมฝีปากหยักกดลงมาปิดกั้นรอยยิ้มเย้า ๆ นั้นอย่างไร้ความปรานีลิ้นร้อนลากซอกไซ้ไปตามลำคอขาวเนียนอย่างเผ็ดร้อนพราวฟ้าสะดุ้ง ร่างบางบิดเร้าใต้ร่างเขา แต่ถูกมือหนากดตรึงไว้แน่น"อยากใช้ร่างกายล่ะก็..."เสียงเขาครางต่ำข้างหูเธอ"ใช้กับผมนี่แหละ — ให้พอจนไม่กล้าเอาไปแลกกับใครอีก""ฉันพูดเล่นน่า..."เสียงพราวฟ้าอ้อนเบา ๆ ขณะมือเล็กดันอกเขาไว้สายตากลมโตสั่นระริกเล็กน้อย ทั้งจากความตกใจและความเร้าใจที่ไหลผ่านร่างแต่คีรณัฐไม่ขยับออกกลับยิ่งโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิมลมหายใจร้อน ๆ สัมผัสผิวแก้มเธออย่างจงใจ"เล่นไม่รู้เรื่องเลยนะ...ฟ้า" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบใกล้ใบหูพราวฟ้ากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ริมฝีปากหยักร้อนผ่าวก็ปิดริมฝีปากบางของเธอเสียก่อนจูบรุนแรงและเร่าร้อนไร้ซึ่งความอ่อนโยนราวกับตั้งใจจะลงโทษที่เธอกล้ากลั่นแกล้งความอดทนของเขามือหนาลูบไล้ตามสันหลังเธอผ่านเนื้อผ้าบางเบาลมหายใจของพราวฟ้าขาดห้วงทีละน้อย"คีร์..."เธอครางแผ่วในลำคอ พยายามดันเขาออกอย่างไ
เขาไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มมุมปากบาง ๆเพราะเธอยังไม่รู้...ว่างานของเขา ไม่ใช่แค่พนักงานบริษัทธรรมดาแต่เป็นหน่วยพิเศษที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องสกปรกในเงามืดของประเทศนี้เขาเลือกที่จะเงียบ และเก็บเธอไว้ในโลกที่ปลอดภัยคีรณัฐเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนที่หัวใจเธอจะหนักไปกว่านี้"อีกสองสามวัน ผมต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน"เสียงเขานุ่มทุ้ม ขณะที่ลูบหลังเธอเบา ๆ"คงไม่ได้มาหาบ่อย ๆ"พราวฟ้าสูดลมหายใจลึก ๆก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ"ดีเลย..."เธอยิ้มบาง"อาทิตย์หน้าฉันก็เปิดกล้องละครเรื่องใหม่แล้วเหมือนกัน"เธอซุกหน้าแนบอกเขาอีกครั้ง"ต่อไปคงต้องคิดถึงกันมากขึ้นสินะ"คีรณัฐไม่ตอบเพียงกอดร่างของเธอในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิดเหมือนต้องการสลักเธอเอาไว้ในอก...ไม่ให้ห่างไปไหนในห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสานกันอย่างที่ไม่มีคำพูดใดจำเป็นอีกต่อไปรุ่งเช้า ห้องนอนในคอนโดที่อบอวลด้วยไออุ่นคีรณัฐนั่งพิงหัวเตียง มองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่ข้างกายด้วยสายตานุ่มลึกพราวฟ้าซุกกายหลับสนิท รอยยิ้มบางยังแตะที่มุมปากราวกับกำลังฝันดีเขาเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกแก้มเธอเบา ๆในดวงตาคมลึกซึ้งมีบางอย่างที่เขา
ลาริสาเดินผ่านโถงทางเดินมืดมาที่ด้านหลังเพื่อล้างแก้ว เสียงส้นรองเท้าหนัก ๆ ก้องกังวานตามหลังเธอมาในทางเดินแคบ สะท้อนคล้ายกับเสียงหัวใจของลาริสาที่เต้นโครมครามอยู่ในอก เธอหันขวับไปตามสัญชาตญาณ... ตึง! ร่างสูงใหญ่ของการ์ดหนุ่มกระชากเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว มือสากกดปิดปากเธอแน่น ลมหายใจเขาร้อนฉ่า เป่ารดข้างแก้มอย่างจาบจ้วง "เงียบซะ..." เสียงกระซิบทุ้มต่ำเฉียดใบหูของเธอ "คืนนี้ฉันจะทำให้เธอร้องไม่หยุด..." ลาริสาตัวแข็งทื่อ แต่ผิวเนื้อกลับร้อนวาบจนขนลุกเกรียว แรงจากแขนแข็งแรงลากเธอเข้าไปในห้องเก็บของเล็ก ๆ เขาปิดประตูทันที เสียง "ปัง!" ของประตูดังกึกก้องในความเงียบ ภายในห้องเก็บของ เธอถูกผลักกระแทกกับผนังปูนแข็ง ร่างของหญิงสาวสั่นเทิ้ม อากาศในอกพร่องหายจนแทบหายใจไม่ออก มือหยาบกร้านลากช้า ๆ ไล่ตั้งแต่ลำคอ...ลงไปถึงต้นแขน ผิวเธอสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เสียงหอบกระเส่าของเขาแตะอยู่ที่ข้างใบหู ทำให้สติของเธอแทบพร่าเบลอ "อย่าเล่นตัวเลยน่า..." เสียงแหบพร่าเหมือนสัตว์นักล่าไล่ต้อนเหยื่ออ่อนแอ นิ้วแข็งแรงบังคับไล้ลงมาที่เอว... กดบังคับให้แผ่นหลังของเธอแนบแน่นกับแผ่นอกแข็
ลาริสาเปิดประตูเดินเข้าไปเสียงบานประตูไม้ปิดลงช้า ๆ ด้านหลังลาริสาเงยหน้าขึ้นมองความมืดสลัวตรงหน้าเพียงแสงไฟเพดานดวงเล็กที่เปิดสลัวไว้ ทำให้เห็นเพียงเงาราง ๆ ของชายคนหนึ่งที่นั่งทอดกายอยู่กลางห้องเขานั่งเอนหลังบนโซฟาหนังสีเข้มแสงบางเฉียบจากโคมไฟสาดเฉียงผ่านใบหน้าข้างหนึ่ง...เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มที่นิ่งงันจนดูน่ากลัวหญิงสาวก้าวขาอย่างลังเลหัวใจเธอเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะได้ยินออกไปนอกอกเธอไม่รู้ว่าใครรอเธออยู่ข้างหน้าแต่สัญชาตญาณบอกได้เพียงอย่างเดียว...คน ๆ นั้นกำลัง "รอเธออยู่"ลาริสากลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าวและทันทีที่เธอเดินเข้ามาถึงระยะเพียงเอื้อม...แขนแกร่งที่เธอไม่ทันมองเห็นก็คว้าข้อมือเล็กของเธออย่างรวดเร็ว แล้วดึงร่างเธอขึ้นไปนั่งบนตักอย่างไร้ความลังเล"อ๊ะ!"เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปาก ก่อนที่สติจะตามทันกลิ่นกายชายคุ้นเคยแผ่กระจายร้อนระอุไปทั่วผิวเธอสายตาเธอเบิกกว้าง มองสบกับดวงตาสีฟ้าราวน้ำแข็งคู่นั้นภานุวัฒน์ อนันตรเวศน์เขากลับมาแล้ว...โดยไม่มีใครเตือนเธอเลยสักนิดแววตาของเขามืดดำจนเหมือนเหวลึก ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง มีเพีย
“อ๊ะ…!”เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสื้อเชิ้ตตัวบางบนร่างเธอก็ถูกกระชากจนขาดวิ่นดัง แคว่ก!เศษผ้าหลุดรุ่ย เผยผิวขาวซีดที่สั่นระริกใต้สายตาแข็งกร้าวของเขาริมฝีปากของภานุวัฒน์กดลงมาอย่างรุนแรงบดขยี้ทุกสัมผัสด้วยความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกจูบของเขา...ไม่ใช่จูบที่อ่อนโยน ไม่ใช่ความโหยหามันคือการลงทัณฑ์ การลงโทษที่บาดลึกยิ่งกว่ามีด"ฮึก...อย่า...ขอร้องล่ะ..."เสียงอ้อนวอนของลาริสาสั่นพร่า น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินลงไม่หยุดเธอพยายามดิ้นหนี บิดกายขัดขืนสุดแรงเกิดแต่ยิ่งเธอดิ้น ภานุวัฒน์ยิ่งกระชับวงแขนแน่นขึ้นเขากดตัวเธอแนบแน่นกับโซฟาใช้ริมฝีปากขบเม้มลงที่ซอกคอขาวจนขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำแรงกัดนั้น...ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเมตตาเสียงสะอื้นของเธอดังสะท้อนในห้องแต่สำหรับเขาในตอนนี้...มันเหมือนเชื้อเพลิงที่ยิ่งสุมไฟแค้นในอกให้ลุกโชน"แกล้งทำเป็นใสซื่อเก่งนัก..."เสียงเขากระซิบชิดใบหูเธอเสียงต่ำลึกจนแทบเป็นเสียงคำราม"ถ้างั้น...ฉันจะดูให้เห็นกับตา ว่าเธอไร้เดียงสาจริง...หรือมันก็แค่เปลือกนอกหลอกลวง"คำพูดนั้นบาดลึกเหมือนมีดกรีดใจริมฝีปากร้อนชื้นของเขาเลื่
กลิ่นน้ำมันเครื่อง และเบาะหนังที่ชื้นด้วยเหงื่อซึมทะลุขึ้นจมูกทันทีที่ลาริสารู้สึกตัวมือของเธอถูกมัดไว้แน่น ร่างถูกโยนไว้กับพื้นรถตู้ด้านหลังที่ปิดทึบ แสงเพียงเสี้ยวจากไฟท้ายสะท้อนผ่านรอยแตกของฝาปิดเก็บของเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม แต่เสียงที่ทำให้เธอเย็นเยียบยิ่งกว่า คือเสียงบทสนทนาของชายสองคนด้านหน้า“แน่ใจนะว่าเป็นลูกของท่านรัฐมนตรีจริง ๆ?”“เออสิวะ กูเห็นกับตา ไม่ใช่เด็กธรรมดาแน่ๆ คนอย่างเธอ ส่งให้ฝั่งโน้นเขาจะจ่ายหนักกว่าเดิมแน่นอน”“ชายแดนเพื่อนบ้านใช่ไหม…ซ่องนั่นที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจน่ะ?”“ก็ที่นั่นแหละ จะได้จบ ๆ ไป ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวรัฐมนตรีมานั่งรับแขกอยู่ตรงนั้น”เสียงหัวเราะหยันดังตามมา ราวกับคำพูดนั้นเป็นแค่เรื่องตลกไร้ค่าของโลกใต้ดินเลือดในกายลาริสาเย็นเฉียบเธอแทบไม่รู้ว่าลมหายใจหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่คำว่า “ขายตัว” “รับแขก” “ชายแดน”แต่ละคำเหมือนมีดที่สลักลงกลางใจเธอหวาดกลัว ร่างกายสั่นราวกับไข้ขึ้นน้ำตาที่หลั่งลงมานั้น…ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เป็นความกลัวแบบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนกลัวว่าจะไม่มีใครตามหาเธอเจอกลัวว่าจะไม่มีวันกลับไปได้อีก...ภายในห้องแต่งตัว คลั
เสียงหัวเราะต่ำของชายตรงหน้าดังขึ้นมือหนาขยับต่ำลงเรื่อย ๆ พร้อมแรงกดที่ทำให้เธอแทบขาดใจ“ไม่! ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณ!”เธอรวบแรงทั้งหมดคว้าขวดวิสกี้บนโต๊ะฟาดลงบนพื้นเสียงแก้วแตกกระจายข้างตัว เสี้ยววินาทีที่เขาชะงักเธอสะบัดตัวสุดแรง ผลักร่างใหญ่ของเขาออกกระชากชายกระโปรงแล้ววิ่งออกจากห้อง โดยไม่หันหลังกลับห้องทั้งห้องเหมือนแคบลงจนหายใจไม่ออกเสียงฝีเท้าดังสะท้อนในทางเดินมืดชื้นเหงื่อหัวใจของเธอเต้นรัวเหมือนกลองรบ แต่เธอไม่รู้ว่ากำลังวิ่งหนีอะไร หรือกำลังวิ่งเข้าสู่อะไร…ที่เลวร้ายกว่าเดิมโถงทางเดินมืดสลัว กลายเป็นเขาวงกตไร้ทางออกเสียงฝีเท้าของลาริสาดังก้องสะท้อนตามผนังหินเย็นเฉียบ กลิ่นอับชื้นของสถานที่ที่ไม่มีหน้าต่างเหมือนยิ่งบีบคั้นหัวใจให้แน่นขึ้นทุกวินาทีเธอไม่รู้ว่ากำลังหนีไปไหน…ไม่รู้ว่าเสียงฝีเท้าที่ได้ยินตามหลัง เป็นเสียงจริง หรือเป็นเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นจนแสบหูเธอเลี้ยวพรวดไปตามความรู้สึกจนกระทั่งโครม!ร่างของเธอชนเข้ากับบางอย่างแน่น หนัก และมั่นคงจนเธอสะบัดถอยหลังแทบไม่ทันแขนแกร่งคว้าเธอไว้ก่อนจะล้มกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ และไออุ่นของผิวเนื้อชาย…ห้อมล้อมเธอในช
ลาริสาไม่รู้ว่าความเงียบที่ปกคลุมระหว่างเขากับเธอนั้นกินเวลานานแค่ไหนเธอแค่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา หนังที่เย็นเฉียบแนบผิวแทบไม่ต่างจากเลือดในร่างของเธอในตอนนี้หัวใจเธอเต้นช้าลง…แต่ทุกจังหวะเหมือนมีมีดกรีดอยู่ภายในเธอคิดย้อนกลับไปในคืนที่มืดที่สุดในชีวิต คืนที่เธอถูกจับตัวขึ้นรถตอนนั้น เธอเชื่อว่าเธอกำลังจะตายหรือแย่กว่านั้น…เธอจะมีชีวิตอยู่ แต่ในสถานะที่ไม่เหลือแม้แต่ศักดิ์ศรีเธอจำคำพูดพวกนั้นได้แม่นน้ำเสียงเหยียดหยามของคนที่บอกว่าเธอจะถูกขายไปฝั่งชายแดน ไปอยู่ในซ่องเถื่อนที่ไม่มีใครตามหาเจอไปเป็นของเล่น...ในที่ที่กฎหมายเข้าไม่ถึง และคำว่ามนุษย์ก็ไม่มีความหมายแต่แล้ว…ในเช้าวันต่อมาเธอกลับลืมตาขึ้นมาในที่แห่งหนึ่ง ยังถูกคุมตัว แต่ไม่มีโซ่ ไม่มีเสียงหัวเราะต่ำ ไม่มีสายตาสกปรกที่จ้องจะกลืนกินเธอมีเพียงคำสั่งให้เปลี่ยนชุด แต่งหน้า ใส่หน้ากากและกลายเป็นเด็กเสิร์ฟเหล้าในคลับปิดที่หรูหราแต่ไร้อิสระตอนแรกเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทำไมชะตาที่เหมือนกำลังจะหล่นจากหน้าผาถึงได้เปลี่ยนทิศอย่างประหลาดแต่ตอนนี้…ทุกอย่างชัดเจนชายตรงหน้า คนที่ดึงเธอไว้จากขุมนรกคนที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่กลั
“อ๊ะ…!”เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสื้อเชิ้ตตัวบางบนร่างเธอก็ถูกกระชากจนขาดวิ่นดัง แคว่ก!เศษผ้าหลุดรุ่ย เผยผิวขาวซีดที่สั่นระริกใต้สายตาแข็งกร้าวของเขาริมฝีปากของภานุวัฒน์กดลงมาอย่างรุนแรงบดขยี้ทุกสัมผัสด้วยความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกจูบของเขา...ไม่ใช่จูบที่อ่อนโยน ไม่ใช่ความโหยหามันคือการลงทัณฑ์ การลงโทษที่บาดลึกยิ่งกว่ามีด"ฮึก...อย่า...ขอร้องล่ะ..."เสียงอ้อนวอนของลาริสาสั่นพร่า น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินลงไม่หยุดเธอพยายามดิ้นหนี บิดกายขัดขืนสุดแรงเกิดแต่ยิ่งเธอดิ้น ภานุวัฒน์ยิ่งกระชับวงแขนแน่นขึ้นเขากดตัวเธอแนบแน่นกับโซฟาใช้ริมฝีปากขบเม้มลงที่ซอกคอขาวจนขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำแรงกัดนั้น...ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเมตตาเสียงสะอื้นของเธอดังสะท้อนในห้องแต่สำหรับเขาในตอนนี้...มันเหมือนเชื้อเพลิงที่ยิ่งสุมไฟแค้นในอกให้ลุกโชน"แกล้งทำเป็นใสซื่อเก่งนัก..."เสียงเขากระซิบชิดใบหูเธอเสียงต่ำลึกจนแทบเป็นเสียงคำราม"ถ้างั้น...ฉันจะดูให้เห็นกับตา ว่าเธอไร้เดียงสาจริง...หรือมันก็แค่เปลือกนอกหลอกลวง"คำพูดนั้นบาดลึกเหมือนมีดกรีดใจริมฝีปากร้อนชื้นของเขาเลื่
ลาริสาเปิดประตูเดินเข้าไปเสียงบานประตูไม้ปิดลงช้า ๆ ด้านหลังลาริสาเงยหน้าขึ้นมองความมืดสลัวตรงหน้าเพียงแสงไฟเพดานดวงเล็กที่เปิดสลัวไว้ ทำให้เห็นเพียงเงาราง ๆ ของชายคนหนึ่งที่นั่งทอดกายอยู่กลางห้องเขานั่งเอนหลังบนโซฟาหนังสีเข้มแสงบางเฉียบจากโคมไฟสาดเฉียงผ่านใบหน้าข้างหนึ่ง...เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มที่นิ่งงันจนดูน่ากลัวหญิงสาวก้าวขาอย่างลังเลหัวใจเธอเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะได้ยินออกไปนอกอกเธอไม่รู้ว่าใครรอเธออยู่ข้างหน้าแต่สัญชาตญาณบอกได้เพียงอย่างเดียว...คน ๆ นั้นกำลัง "รอเธออยู่"ลาริสากลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าวและทันทีที่เธอเดินเข้ามาถึงระยะเพียงเอื้อม...แขนแกร่งที่เธอไม่ทันมองเห็นก็คว้าข้อมือเล็กของเธออย่างรวดเร็ว แล้วดึงร่างเธอขึ้นไปนั่งบนตักอย่างไร้ความลังเล"อ๊ะ!"เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปาก ก่อนที่สติจะตามทันกลิ่นกายชายคุ้นเคยแผ่กระจายร้อนระอุไปทั่วผิวเธอสายตาเธอเบิกกว้าง มองสบกับดวงตาสีฟ้าราวน้ำแข็งคู่นั้นภานุวัฒน์ อนันตรเวศน์เขากลับมาแล้ว...โดยไม่มีใครเตือนเธอเลยสักนิดแววตาของเขามืดดำจนเหมือนเหวลึก ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง มีเพีย
ลาริสาเดินผ่านโถงทางเดินมืดมาที่ด้านหลังเพื่อล้างแก้ว เสียงส้นรองเท้าหนัก ๆ ก้องกังวานตามหลังเธอมาในทางเดินแคบ สะท้อนคล้ายกับเสียงหัวใจของลาริสาที่เต้นโครมครามอยู่ในอก เธอหันขวับไปตามสัญชาตญาณ... ตึง! ร่างสูงใหญ่ของการ์ดหนุ่มกระชากเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว มือสากกดปิดปากเธอแน่น ลมหายใจเขาร้อนฉ่า เป่ารดข้างแก้มอย่างจาบจ้วง "เงียบซะ..." เสียงกระซิบทุ้มต่ำเฉียดใบหูของเธอ "คืนนี้ฉันจะทำให้เธอร้องไม่หยุด..." ลาริสาตัวแข็งทื่อ แต่ผิวเนื้อกลับร้อนวาบจนขนลุกเกรียว แรงจากแขนแข็งแรงลากเธอเข้าไปในห้องเก็บของเล็ก ๆ เขาปิดประตูทันที เสียง "ปัง!" ของประตูดังกึกก้องในความเงียบ ภายในห้องเก็บของ เธอถูกผลักกระแทกกับผนังปูนแข็ง ร่างของหญิงสาวสั่นเทิ้ม อากาศในอกพร่องหายจนแทบหายใจไม่ออก มือหยาบกร้านลากช้า ๆ ไล่ตั้งแต่ลำคอ...ลงไปถึงต้นแขน ผิวเธอสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เสียงหอบกระเส่าของเขาแตะอยู่ที่ข้างใบหู ทำให้สติของเธอแทบพร่าเบลอ "อย่าเล่นตัวเลยน่า..." เสียงแหบพร่าเหมือนสัตว์นักล่าไล่ต้อนเหยื่ออ่อนแอ นิ้วแข็งแรงบังคับไล้ลงมาที่เอว... กดบังคับให้แผ่นหลังของเธอแนบแน่นกับแผ่นอกแข็
เขาไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มมุมปากบาง ๆเพราะเธอยังไม่รู้...ว่างานของเขา ไม่ใช่แค่พนักงานบริษัทธรรมดาแต่เป็นหน่วยพิเศษที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องสกปรกในเงามืดของประเทศนี้เขาเลือกที่จะเงียบ และเก็บเธอไว้ในโลกที่ปลอดภัยคีรณัฐเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนที่หัวใจเธอจะหนักไปกว่านี้"อีกสองสามวัน ผมต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน"เสียงเขานุ่มทุ้ม ขณะที่ลูบหลังเธอเบา ๆ"คงไม่ได้มาหาบ่อย ๆ"พราวฟ้าสูดลมหายใจลึก ๆก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ"ดีเลย..."เธอยิ้มบาง"อาทิตย์หน้าฉันก็เปิดกล้องละครเรื่องใหม่แล้วเหมือนกัน"เธอซุกหน้าแนบอกเขาอีกครั้ง"ต่อไปคงต้องคิดถึงกันมากขึ้นสินะ"คีรณัฐไม่ตอบเพียงกอดร่างของเธอในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิดเหมือนต้องการสลักเธอเอาไว้ในอก...ไม่ให้ห่างไปไหนในห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสานกันอย่างที่ไม่มีคำพูดใดจำเป็นอีกต่อไปรุ่งเช้า ห้องนอนในคอนโดที่อบอวลด้วยไออุ่นคีรณัฐนั่งพิงหัวเตียง มองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่ข้างกายด้วยสายตานุ่มลึกพราวฟ้าซุกกายหลับสนิท รอยยิ้มบางยังแตะที่มุมปากราวกับกำลังฝันดีเขาเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกแก้มเธอเบา ๆในดวงตาคมลึกซึ้งมีบางอย่างที่เขา
ในเสี้ยววินาทีคีรณัฐคว้าเอวเธอกดลงกับเบาะโซฟา"งั้นผมจะช่วยสอนให้เอง..."เสียงของเขาแหบพร่า ขณะที่ก้มลงแนบชิดจนลมหายใจสอดประสานกันริมฝีปากหยักกดลงมาปิดกั้นรอยยิ้มเย้า ๆ นั้นอย่างไร้ความปรานีลิ้นร้อนลากซอกไซ้ไปตามลำคอขาวเนียนอย่างเผ็ดร้อนพราวฟ้าสะดุ้ง ร่างบางบิดเร้าใต้ร่างเขา แต่ถูกมือหนากดตรึงไว้แน่น"อยากใช้ร่างกายล่ะก็..."เสียงเขาครางต่ำข้างหูเธอ"ใช้กับผมนี่แหละ — ให้พอจนไม่กล้าเอาไปแลกกับใครอีก""ฉันพูดเล่นน่า..."เสียงพราวฟ้าอ้อนเบา ๆ ขณะมือเล็กดันอกเขาไว้สายตากลมโตสั่นระริกเล็กน้อย ทั้งจากความตกใจและความเร้าใจที่ไหลผ่านร่างแต่คีรณัฐไม่ขยับออกกลับยิ่งโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิมลมหายใจร้อน ๆ สัมผัสผิวแก้มเธออย่างจงใจ"เล่นไม่รู้เรื่องเลยนะ...ฟ้า" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบใกล้ใบหูพราวฟ้ากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ริมฝีปากหยักร้อนผ่าวก็ปิดริมฝีปากบางของเธอเสียก่อนจูบรุนแรงและเร่าร้อนไร้ซึ่งความอ่อนโยนราวกับตั้งใจจะลงโทษที่เธอกล้ากลั่นแกล้งความอดทนของเขามือหนาลูบไล้ตามสันหลังเธอผ่านเนื้อผ้าบางเบาลมหายใจของพราวฟ้าขาดห้วงทีละน้อย"คีร์..."เธอครางแผ่วในลำคอ พยายามดันเขาออกอย่างไ
ลาริสาก้มหน้าถือกล่องปฐมพยาบาลแน่นในมือฝ่ามือที่บาดเจ็บแสบระคนกับอาการปวดที่ยังแล่นขึ้นตามข้อศอกทุกครั้งที่ขยับเธอเดินอย่างระมัดระวังไปตามทางเดินแคบ ๆหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ไหลวนรอบตัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ถูกโยนเข้าไปในป่าใหญ่ที่ไม่ปรานีระหว่างทาง เธอเกือบสะดุดอีกครั้งเพราะขาสั่นจากความเจ็บแต่แล้ว...มีมือหนึ่งเอื้อมมาคว้าแขนเธอไว้เบา ๆ"เดี๋ยวฉันช่วย" เสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้นข้างหูส้ม พี่สาวร่างเล็กในชุดเสื้อโปโลสีเข้ม ที่ลาริสาได้พบในวันแรกที่เธอถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ที่นี่ส้มเคยเป็นคนแรกที่ยื่นน้ำให้เธอในคืนที่ร้องไห้ไม่หยุดเคยเป็นคนที่นั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ ตอนที่เธอรู้สึกว่าทั้งโลกนี้ไม่เหลือใครลาริสาเม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ส้มช่วยพยุงตัวไปนั่งที่ม้านั่งยาวด้านหลังส้มไม่ถามอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ดึงกล่องออกจากมือเธออย่างเบามือ แล้วเริ่มทำแผลให้อย่างเงียบ ๆปลายนิ้วที่พันผ้าพันแผลแน่นแต่ไม่เจ็บสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อในสถานที่แห้งแล้งเช่นนี้"พักก่อนเถอะนะ..." ส้มกระซิบเสียงเบา ขณะพันแผลเสร็จ"เดี๋ยวฉันจะไปบอกหัวหน้าว่าเธอทำงานไม่ไหว ขอพักคืนนี้"ลาริสาเ
ความเงียบปกคลุมทั่วห้องหลังบทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างภานุวัฒน์กับธีภพจบลงท่ามกลางความเงียบ...แต่ไม่ว่างเปล่าในห้วงความเงียบนั้นมีทั้งความเข้าใจ และภาระที่แต่ละคนแบกไว้ในเส้นทางที่ไม่อาจหันหลังคีรณัฐ ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตเรียบเฉียบที่นั่งพิงพนักนิ่ง ๆ กระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เฉือนลึกในทุกถ้อยคำ"ฉันเอง...ก็คงต้องถอนตัวจากฝั่งธุรกิจแล้วเหมือนกัน"เพียงคำพูดเดียวบรรยากาศในห้องพลันตึงขึ้นอย่างยากจะอธิบายธีภพละสายตาจากแฟ้มในมือภานุวัฒน์หยุดมือที่กำลังขยับแฟ้มเอกสารทั้งสองไม่ถามซ้ำ เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ เบื้องหลังหน้ากากผู้บริหารที่คีรณัฐสวมไว้ตลอดหลายปีคือเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษระดับสูง หนึ่งในผู้กวาดล้างขบวนการสกปรกในโลกมืดทั้งสารเสพติด อาชญากรรม และนักการเมืองที่ย่ำยีผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะ...ท่านรัฐมนตรี วิศรุต เกริกไกร เป้าหมายที่เขาเพ่งเล็งมาเนิ่นนานคีรณัฐหัวเราะเบา ๆ คล้ายไม่ยี่หระ"ถึงเวลาแล้วล่ะ...ต้องกลับไปทำในสิ่งที่ควรทำ"เสียงเขานิ่งและมั่นคงจนรอบห้องเหมือนจะอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆธีภพพยักหน้าเข้าใจไม่พูดมาก เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ไม่ต้องการถ้อยคำฟ
เวลาผ่านไปไม่นาน การ์ดในชุดดำเดินตรงมาหยุดที่หน้ากระจกที่ลาริสามานั่งก้มหน้าเงียบอยู่เขาไม่พูดพร่ำโยนถุงผ้าใบใหญ่ ๆ มาวางบนโต๊ะเครื่องแป้งจนฝุ่นฟุ้งกระจาย"เปลี่ยนชุดซะ" น้ำเสียงสั้น กระด้าง ไร้ความรู้สึกลาริสาเงยหน้าขึ้นอย่างสับสนการ์ดกระแทกคำอธิบายออกมาอย่างเย็นชา"ต่อไปนี้...เธอไม่ต้องเข้าไปในห้อง VIP อีก""ทำงานอยู่โซนข้างนอก เตรียมเครื่องดื่ม เสิร์ฟเหล้า แค่นั้น"พูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไปทิ้งไว้เพียงถุงผ้าหนักอึ้ง กับความเงียบที่กดทับตัวเธอลาริสาก้มหน้ามองถุงผ้ามือบางสั่นนิด ๆ ขณะเปิดมันออกชุดใหม่ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเรียบง่าย กับกางเกงขายาวสีดำไม่มีหน้ากากลูกไม้ ไม่มีเสื้อคอกว้าง ไม่มีกระโปรงสั้นเหนือเข่าเหมือนเมื่อก่อนมันคือชุดของพนักงานโซนด้านนอกจริง ๆ...ชุดที่อย่างน้อย จะไม่ต้องโดนแตะต้องโดยแขกอีกลาริสาเม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนหัวใจบีบรัดอย่างแรงในขณะที่เธอยังซึมซับคำสั่งใหม่เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นรอบตัว"ฮึ นึกว่าทำผิดแล้วจะโดนเตะออกซะอีก...""เส้นใหญ่นี่หว่า ได้ย้ายมาทำงานสบาย ๆ ข้างนอกแทน""อภิสิทธิ์พิเศษสำหรับคนหน้าตาดีสินะ..."เสียงกระซิบเหยียดหยันแทงทะล
หลังจากภานุวัฒน์กับพ่อสามารถหนีข้ามแดนไปได้เขาไม่เคยลืมไม่เคยลืมว่ามีใครคนหนึ่ง...ยอมเดินเข้ามาในไฟนรกเพื่อช่วยชีวิตเขาแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้อะไรเลย...และนั่นคือเหตุผลที่หลายปีต่อมาเมื่ออคินตกอยู่ในอันตรายกลางขบวนขนของเถื่อนเมื่อทุกคนทอดทิ้งเขาภานุวัฒน์ ในฐานะเด็กชายที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากอคิน จึงไม่มีวันยอมปล่อยให้ชายคนนี้ตายเหมือนหมาข้างทางเขาฝ่าแนวปืน ฝ่าอำนาจมืดเขาพาอคินกลับมา...แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองก็ตามหลังจากที่ธุรกิจของเขากับพ่อมั่นคงขึ้น เขาก็นำเงินมาลงทุนเปิดสถานที่แห่งนี้และมอบมันให้กับอคิน...อคินหลุบตาลงช้า ๆ เมื่อนึกถึงอดีตเหล่านั้นความขอบคุณ ความซาบซึ้งในใจ...ไม่เคยจางหายไปเลยตลอดชีวิตของเขาเขาเข้าใจดี ว่าหนี้บางหนี้...ไม่ต้องพูดแต่จะผูกมัดไว้จนวันสุดท้ายของลมหายใจและเพราะอย่างนั้น...ไม่ว่าภานุวัฒน์จะทำอะไรไม่ว่ามันจะขัดกับตรรกะ หรือทำให้เขาเดือดร้อนมากแค่ไหนเขาจะไม่มีวันหักหลังภานุวัฒน์อคินยิ้มจาง ๆ หันมามองคนที่เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อน"ฉันเข้าใจ..."เสียงเขาแหบพร่า แต่แน่วแน่"เพราะถ้าไม่มีแกวันนั้น ฉันก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกัน"ภา