ตอนที่ 7
กล่าวจบก็รีบสาวเท้าออกจากเรือนด้วยความร้อนรน
ราวกับมีเงามรณะกำลังตามหลอกหลอนอยู่เบื้องหลัง!
แต่เพียงก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ลมเย็นยะเยือกก็พัดวูบผ่านแผ่นหลัง เสมือนมือผีที่คืบคลานมาแตะต้อง
“ปัง!”
บานประตูไม้เก่าเบื้องหน้า ก็ปิดดังสนั่นเองโดยไร้ผู้ใด
แตะต้อง ความสลัวในห้องพลันมืดทึบหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม
ฮูหยินรองสะดุ้งเฮือกรีบยื่นมือออกไปผลักประตู
ด้วยแรงทั้งหมด ทว่าประตูกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
ยิ่งออกแรงมากเท่าไร ความหวาดกลัวก็ยิ่งกัดกินมากขึ้นเท่านั้น
แล้วในวินาทีนั้นเอง ร่างที่นอนแน่นิ่งบนเตียงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ
หลินเยว่ซินค่อยๆ หันหน้าไปยังสาวใช้ตัวเล็ก
ที่ยืนแข็งทื่ออยู่ปลายเตียง สายตาไร้อารมณ์ราวกับไม่ใช่มนุษย์ ก่อนจะก้าวตรงไปยังประตูด้วยท่าทีเยือกเย็น…
เรือนผมสีม่วงหม่นพลิ้วสะบัดในสายลมวังเวง เลือดสดไหลรินจากหน้าผากเป็นสายย้อมแก้ม ริมฝีปาก และปลายคางจนชุ่มฉ่ำ
ในเงามืดเย็นเยียบ ดวงตาสีม่วงลึกล้ำกลับไร้แววใดๆ
ดำมืดราวเหวลึกอเวจี ริมฝีปากที่เปรอะด้วยโลหิตค่อยๆ แย้มรอยยิ้มเย็นชาน่าขนลุก ดุจปีศาจที่คลานกลับมาจากนรก
“อะ… อ๊ากกกก! ฮู…ฮูหยิน! น…นาง…นางฟื้นขึ้นมาแล้วววขะ..ขอรับ!” องครักษ์สองคนที่เห็นภาพนั้นเบิกตากว้าง
ร่างกายแข็งทื่อราวถูกสาป เสียงที่เปล่งออกมาแทบขาดห้วง
พูดตะกุกตะกักด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“จะโวยวายอะไรนักหนา! เสียงดังเหมือนพวกเจ้าเห็นผีเสียจริง!”
เสียงแหลมของฮูหยินรองดังลั่น
นางยังคงพยายามดันบานประตูที่ปิดแน่นอยู่
มือสั่นเหงื่อแตกพลั่กทั้งที่อากาศหนาวเย็นจนแทบกัดผิว
หัวใจเริ่มเต้นโครมครามราวจะหลุดออกมา
“ฮู…ฮูหยิน… มัน… มันคือผีจริงๆ ขอรับ!”
องครักษ์ผู้หนึ่งพึมพำเสียงขาดห้วง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสยดสยอง ร่างสั่นเทาแทบร้องไห้ออกมา
เหงื่อเย็นไหลอาบทั่วแผ่นหลัง เสื้อหนาที่ใส่อยู่เปียกชุ่มราวเพิ่งตกบึงน้ำ
‘ใช่แล้ว… ถ้านั่นไม่ใช่ผีแล้วมันคืออะไรกันเล่า!’
ทันใดนั้นเองฮูหยินรอง ก็รู้สึกได้ถึง “สัมผัสเย็นเยียบ”
หนักอึ้งราวหินผา วางลงบนบ่าของตน!
หัวใจของนางแทบหยุดเต้น เลือดในกายพลันเย็นแข็ง
นางค่อยๆ หันหน้าช้าๆ ไปด้านหลังด้วยความหวาดผวาจนแทบขาดใจ…
“กรี๊ดดดดด!!!”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงสะท้านสะเทือนห้องทั้งห้อง
ราวกับเสียงของผู้หญิงที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง
หลินเยว่ซินเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากกระตุก นางแทบอยากยกมือขึ้นปิดหูเสียด้วยซ้ำ
ในความมืดเย็นเยือกนั้น ดวงตาสีม่วงลึกล้ำไร้ประกายชีวิตคู่นั้น สบเข้ากับดวงตาแตกตื่นของ ฮูหยินรองโดยตรง
ริมฝีปากที่เปื้อนเลือดค่อยๆ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ เสียงนั้นช่างเยือกเย็นและชวนขนหัวลุกยิ่งกว่าลมจากขุมนรก
“ท่าน…แม่รอง~”
เสียงลากยาว ฟังราวกับเสียงคร่ำครวญของวิญญาณไร้ที่พึ่ง
ก้องสะท้อนในอกผู้ฟังจนหัวใจแทบหล่นร่วง
“อ๊ากก! อย่าเข้ามา! ไม่ใช่ข้านะ! ข้าไม่ได้ทำ! เป็นพวกมัน…ใช่แล้ว! สององครักษ์นั่นต่างหากที่ทำให้เจ้าตาย!”
ฮูหยินรองกรีดร้องเสียงแตกพร่า
รีบชี้มือสั่นระริกไปยังองครักษ์ทั้งสองที่ยืนหน้าเผือดอยู่ไม่ห่าง
องครักษ์ทั้งคู่ถึงกับเข่าอ่อน ร่างสั่นสะท้านเหมือนจะทรุด
พยายามพุ่งไปเปิดหน้าต่างหนี แต่หน้าต่างกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย ตอกย้ำความเชื่อในใจ นี่มิใช่มนุษย์
หากแต่เป็น “วิญญาณล้างแค้น” จริงๆ!
รอยยิ้มชวนสยองค่อยๆ แผ่ซ่านบนริมฝีปากเปื้อนโลหิตของ
หลินเยว่ซิน นางยื่นแขนออกไปเชื่องช้า เลือดไหลหยดติ๋งตามท่อนแขนขาวซีด เสียงเย็นเยียบพร่าแผ่วแต่ชัดเจน
“ท่านแม่รอง… ข้าหนาวเหลือเกิน… มากอดข้าสักครั้งได้หรือไม่…”
“ไม่! ข้าไม่เอา! อย่าเข้ามาาาาา!”
เสียงกรีดร้องโหยหวน แทบแตกคอฮูหยินรอง
ถอยกรูดจนแผ่นหลังแนบติดบานประตูสั่นคลอน ร่างสั่นระริกเหมือนสัตว์จนมุม เครื่องประดับหรูหราที่เคยปักบนศีรษะค่อยๆ หล่นกระจายเต็มพื้น ความสง่างามที่เคยภาคภูมิสิ้นสลายไม่เหลือเค้า
หลินเยว่ซินก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว
ระยะห่างระหว่างทั้งสองแคบลง
จนลมหายใจเย็นเยียบปะทะปลายจมูก ดวงตาสีม่วงไร้แววมืดดำราวเหวลึกนรกจ้องตรงไม่กะพริบ
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยต่อมานั้น… เย็นชาแต่เจือแววน้อยใจอย่างน่าขนลุก “เหตุใดเล่า… หรือท่านแม่รอง…รังเกียจข้ารึ”
ฮูหยินตัวแข็งทื่อ มือสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ริมฝีปากแห้งผากพยายามฝืนยิ้ม พูดเสียงตะกุกตะกักอย่างสิ้นท่า
“ไม…ไม่เลย... เยว่ซิน…เจ้า…เจ้าช่างน่ารัก…ข้า ยังรักไม่พอเลยจะไปรังเกียจเจ้าได้อย่างไรกัน…”
ถ้อยคำปนเสียงสะอื้นตะกุกตะกักนั้น
มิได้มีความจริงใจแม้แต่น้อย หากแต่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ที่พยายามพร่ำโกหกเพื่อเอาชีวิตรอด
ในใจของนางตอนนี้มีแต่ความสำนึกผิดผสมความสิ้นหวัง
หากรู้ว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้… นางก็คงไม่มาเหยียบที่เรือนเก่าโทรมเช่นนี้หลอก! นี่มัน อัปมงคลจริงๆเลย!
“ถ้าอย่างนั้น… มากอดกันหน่อยนะ~”
เสียงพร่าแผ่วราวกับลมจากขุมนรก เอื้อนเอ่ยออกจากริมฝีปากซีดเลือดหลินเยว่ซินยื่นแขนขาวซีดที่เปื้อนโลหิตออกไปช้าๆ
จงใจลากการเคลื่อนไหวให้ยืดยาว เย็นเยียบจนแทบจะแตะร่างตรงหน้าในอีกเพียงเสี้ยวอึดใจ
“อ๊าาาา!!” เสียงกรีดร้องแตกพร่าดังลั่น
เมื่อฮูหยินรองกัดฟันแน่นสะกดความหวาดกลัว ผลักร่างตรงหน้าออกไปเต็มแรง พลางคว้าไม้เก่าข้างกายขึ้นมากำไว้แน่นจนมือสั่น ยกขึ้นบังตรงหน้าเหมือนโล่ป้องกันสุดท้าย
“อย่าเข้ามา! ข้าบอกให้เจ้าอย่าเข้ามา!”
เสียงของฮูหยินรองสะบัดออกมาอย่างสิ้นท่า สั่นระริกปนโกรธแค้นแต่แฝงด้วยความหวาดผวาเกินกว่าจะปิดบัง
ริมฝีปากของหลินเยว่ซินกระตุกมุมปากค่อยๆ
ยกขึ้นราวกับจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหน้าถอดสีจนแทบเสียสติ นางยิ่งรู้สึกสะใจลึกในอก
“คุณหนู…” เสียงกระซิบสั่นเครือดังขึ้นจากด้านข้างเสี่ยวถิง
ยืนอึ้งตาค้าง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ภาพที่เห็นตรงหน้ามันเหนือจริงเกินกว่าจะเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าจะน่ากลัวเพียงใด
ในใจของนางกลับไม่มีแม้เงาความกลัว… เพราะนางรู้ดีว่า
‘คุณหนูของนาง ไม่มีวันทำร้ายตนเอง’
“ท่านแม่รอง…ยังดุเหมือนเดิมเลยนะ~”
เสียงพร่าเย็นเยียบลากยาวดังขึ้น ราวกระซิบจากหลุมศพ
สะท้อนเข้าหูจนหนังศีรษะของฮูหยินรองชาหนึบ ดวงตาสั่นระริกไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบ ในจังหวะเดียวกันนั้น เสียงโครมครามก็ดังลั่นขึ้น
องครักษ์ทั้งสอง ที่ถูกความหวาดกลืนกินจนแทบสติแตก
พากันใช้แรงเฮือกสุดท้ายทุบหน้าต่างผุพังไม่หยุด เสียงไม้เก่าเปราะแตกดังสนั่น ก่อนที่บานหนึ่งจะพังลง
ร่างทั้งคู่เบียดกันแย่งหนี ออกไปทางหน้าต่างแทบชนกัน
กลิ้งล้มตะเกียกตะกายเหมือนสัตว์ป่าถูกต้อนจนมุม แต่ละคนทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอด
ราวกับว่าหากช้ากว่านี้แม้เพียงลมหายใจเดียว… พวกตนอาจเป็นรายต่อไปที่ต้องถูกผีสางลากลงนรก!
หลินเยว่ซินก้าวช้าๆ ทีละก้าว เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังสะท้อนในความเงียบงัน ราวกับเสียงเคาะโลงศพ
“รีบร้อนเช่นนั้น… จะหนีไปไหนกันหรือ”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มเลือดชวนขนลุก ทำเอาเงาหวาดกลัวปกคลุมทั่วทั้งเรือนในบัดดล…
เสียงแห่งความตายดังก้องสะท้อนอยู่ด้านหลัง ทำเอาองครักษ์ทั้งสอง ที่กำลังหนีเอาชีวิตรอดสะดุดล้มกระแทกพื้นเต็มแรง
เลือดสาดกระเด็นเล็กน้อยยิ่งตอกย้ำความสยดสยองในใจ
“เงียบกันหมดเช่นนี้…ชักน่าเบื่อแล้วสิ”
เสียงกระซิบของหลินเยว่ซินกังวานแผ่วเบา
แต่แฝงรอยยิ้มเย็นยะเยือก ก่อนที่มือขาวซีดของนางจะแตะลงบนบ่าพวกเขาอย่างแผ่วเบา
โดยไม่ทันรู้ตัวเข็มทองเล่มจิ๋ว ก็ปักลึกเข้าสู่ร่างกายพวกเขาอย่างไร้เสียง
ร่างทั้งสองสะท้านวูบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พวกเขาพบว่าตนเองไม่อาจขยับแม้แต่นิ้ว
ความเย็นเยียบวิ่งไต่ขึ้นตามสันหลัง ดั่งถูกปีศาจโอบรัดจากขุมนรก
“จำไว้ให้ดี…ในหมู่เจ้าสองคน จะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่รอด ฮ่าๆๆ!!! ”
เสียงหัวเราะพร่าแผ่วแฝงความวิปริตสะท้อนเข้าหูพวกเขา ราวกับถูกขังในฝันร้ายไร้ทางออก
ใต้แขนเสื้อกว้าง นิ้วเรียวยาวของนางบิดพลังบางอย่าง
แสงสีขาวจางๆ พลันสว่างขึ้นเพียงชั่ววู องครักษ์ทั้งสองถูกควบคุม ราวกับหุ่นเชิดมือที่เคยสั่นระริกกลับคว้าดาบยาวขึ้นมา และฟาดฟันใส่กันอย่างบ้าคลั่ง! เสียงโลหะปะทะโลหะดังสนั่น
“เคร้ง! เคร้ง!” ตามด้วยเสียงฟันแทงทะลุเนื้อ เสียงกระดูกแตกหัก “ฉึบ! กร๊อบ!” และเสียงโหยหวนเจ็บปวดที่สะท้อนก้องทั่วทั้งห้องราวโรงเชือด
เลือดกระเซ็นไปทั่ว แขนขาขาดสะบั้น พื้นไม้ผุพังถูกย้อมแดงกลายเป็นบึงโลหิตในพริบตา ราวกับอยู่ท่ามกลางนรกโลกันต์
เสี่ยวถิง ยืนสั่นราวใบไม้ไหว ใบหน้าซีดเผือด ไร้สีเลือด
เมื่อท้องไส้ปั่นป่วนจนทนไม่ไหว นางอาเจียนออกมาด้วยเสียงโฮก ร่างสั่นจนควบคุมไม่ได้
ดวงตาเบิกโพลงราวกับสูญสิ้นความหวัง
“คุณหนู…ท่าน…ท่านกลายเป็นคนโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ได้อย่างไร…
อ๊วกกก!”
เสียงร้องสลับเสียงเลือดสาดยังไม่ทันสิ้น
จู่ๆ ศีรษะขององครักษ์คนหนึ่ง ถูกฟันจนขาดกระเด็นกลิ้งกลุกๆ
ไปหยุดอยู่แทบเท้า ฮูหยินรองนางเบิกตากว้างสุดขีด ก่อนจะช็อกหมดสติ ล้มตึง! ร่างหนักๆ กระแทกพื้นดังสนั่น
ส่วนอีกคน แม้ยังมีลมหายใจ แต่แขนข้างหนึ่งถูกฟันขาด
เลือดไหลไม่หยุด เหลือเพียงมือเดียวกำดาบเปื้อนเลือดแน่นจนเส้นเลือดปูด เขาทรุดลงกับพื้นหอบหายใจแรง
ร่างสั่นเทา พลังที่ถูกควบคุมก็พลันหายวับไป
เสียงดาบร่วงกระทบพื้น “เพล้ง!” ก้องกังวานในบรรยากาศเงียบงัน ราวกับระฆังศพตีส่งดวงวิญญาณ
และแล้ว…
“ฉึก!”
เสียงสุดท้ายกรีดก้องกลางห้องโลหิต กรีดลึกลงในขั้วหัวใจของผู้ที่ยังเหลืออยู่…
เสียงของคมดาบแทงทะลุเนื้ออกดังฉึกสนั่นก้อง
องครักษ์คนนั้นเบิกตาโพลง ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ มองตามแนวดาบที่พุ่งทะลุร่างของตน