เข้าสู่ระบบบทที่ 7 หมากกระดานนี้…ข้าไม่ได้เอาใจลงมาเล่น
กลางคืนในจวนแม่ทัพเงียบงันทว่าหัวใจของหลี่อินกลับเต็มไปด้วยเสียงคิดคำนวณและความเงียบเชียบของการตัดสินใจ
นางนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มองกระดานหมากไม้แกะลายที่วางอยู่อย่างแน่นิ่ง
หมากขาวดำสลับเรียงราย ราวเงารอยเท้าของผู้คนที่เคยก้าวเข้ามาในชีวิต
“หมากกระดานนี้…”
นางเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับพูดกับตนเอง
“ข้าไม่ได้อยากลงเล่นเลย…”
ดวงตาคู่งามทอดมองแสงจันทร์นอกหน้าต่างอย่างว่างเปล่า ในใจของนางรู้ดีหากมีทางเลือก หากมีหนทางใดให้นางถอยออกไปเงียบ ๆ โดยไม่ต้องแลกกับชีวิตของใคร นางจะเลือกทางนั้น
แต่โลกนี้ไม่ปรานีต่อผู้ไม่เลือกอะไรเลย
“หากข้าปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ ตระกูลหลี่…จะไม่เหลืออะไรเลย ทั้งบิดา และคนในจวน จะถูกเจ้าหนี้จัดการ”
นางรู้ว่าบิดาของนาง…แม้จะเด็ดขาดในถ้อยคำ แต่มิใช่บุรุษเลือดเย็น แม้น้ำตาไม่ไหลสักหยด แต่แววตากลับแดงเรื่อยามยกมือแนบไหล่ลูกสาวครั้งสุดท้าย
บ่าวไพร่ที่เหลืออยู่ คนเหล่านั้น…ไม่ผิด
บ่าวไพร่ที่คุกเข่าข้างทางในวันแต่งเข้าจวนแม่ทัพก็ไม่ผิด
ตระกูลที่เคยรุ่งเรือง…ก็เพียงแค่ต้องการที่ยึดเหนี่ยวนางคือผู้เดียวที่มีสิทธิ์แบกรับ และนางเลือกจะรับมันไว้
หลี่อินวางหมากลงบนกระดานอย่างแน่วแน่
เสียง ตึ้ก นั้นก้องกังวานในอก คล้ายเสียงคำมั่นในความเงียบ
“จะเล่นกับพวกนั้นอีกสักตา…จะเป็นไรไป เพียงครั้งนี้…ข้ามิได้เอาใจลงมาเล่นด้วย เพราะรู้แล้วว่าใจเขาอยู่ที่ผู้ใด”
ริมฝีปากของนางยกยิ้มบางไม่ใช่ยิ้มของผู้มีชัย แต่คือยิ้มของนักรบ…ที่รู้ว่าแม้หัวใจจะบาดเจ็บเพียงใด ก็ยังจำเป็นต้องเดินหน้า เพราะหากต้องพ่ายแพ้อีก…ครั้งนี้ นางก็จะไม่เจ็บปวดเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
แม้ในใจจะว่างเปล่าต่อเรื่องรักใคร่ แต่หลี่อินก็ไม่ใช่คนโง่ที่ปล่อยให้น้ำใจผู้คนเอนเอียงไปข้างซูเจินอย่างโดยง่ายเช่นครั้งแล้ว
นางรู้ดี…
“แข็งกระด้างเกินไป จะถูกมองว่าไร้การอบรม”
และในฐานะภรรยาเอก หากถูกตราหน้าว่าหยิ่ง เย็นชา หรือกระด้างในจวนแล้วไซร้ ต่อให้มีตราประทับอยู่ในมือ ก็เปล่าประโยชน์
ยิ่งอีกฝ่าย…เป็นถึง ดอกบัวขาวจากชายแดน ผู้มีภาพลักษณ์อ่อนโยนบริสุทธิ์ ผู้คนย่อมเอ็นดูโดยไม่รู้ตัว
“เช่นนั้น ข้าจะขาวกว่า” หลี่อินกล่าวกับตนเองหน้ากระจกบานทอง“แต่ไม่ใช่ขาวด้วยภาพลักษณ์…แต่ขาวด้วยเมตตา ด้วยหลักการ และด้วยใจของคนทั้งจวน”
วันต่อมา
หลี่อินเดินตรวจเรือนทาสเก่า และโรงซักล้างของจวนแม่ทัพ นางไม่ได้เอ่ยวาจาใดใหญ่โต ไม่ทำท่าทีโอ้อวด
เพียงยืนสังเกต แล้วค่อย ๆ สั่งให้ซ่อมบานหน้าต่างที่ปลวกกิน เปลี่ยนฟูกเก่าในห้องพักคนงาน และให้เพิ่มค่าจ้างฤดูหนาวให้สาวใช้ที่ทำงานต่อเนื่องมานาน
บ่าวแก่ผู้หนึ่งก้มกราบน้ำตาคลอ
“ฮูหยิน…ข้าน้อยไม่คิดเลยว่าจะมีใครมาแลพวกเราเช่นนี้”
หลี่อินเพียงยิ้มบาง “เจ้าทำงานให้จวนนี้ก็เพื่อข้าวเพื่อน้ำ มิใช่หรือ จะให้ข้านิ่งดูพวกเจ้าหนาวตายหรืออย่างไร”
สองวันถัดมา
นางแวะเยี่ยมเรือนของแม่นมเก่าในจวน อุ้มลูกสาวของบ่าวรับใช้คนหนึ่งกลับเรือนมาเพื่อให้หมอดูอาการ
และเมื่อแม่บ่าวคนนั้นมากล่าวขอบคุณ นางกลับเอ่ยเพียงว่า
“ข้าแค่ทำในสิ่งที่คนเป็นเจ้าบ้านควรทำ”
ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่ว
“ฮูหยินมิใช่เพียงใจกว้างกับว่าที่อนุ แม้แต่บ่าวไพร่ยังไม่ละเลย”
หลี่อินยืนมองเงาของตนในกระจกเงาฝังมุกนางสัมผัสที่อกเสื้อเบา ๆ ดั่งคนตรวจเครื่องแบบก่อนออกรบ
“ไม่ได้ใจสามี…แต่ข้าต้องได้ใจคนในจวน” เพราะนั่นคือพลังที่แม้ดอกบัวขาวแสนบริสุทธิ์…ก็มิอาจเบ่งบานอยู่ลำพัง
ในขณะที่ซูเจินนั่งชื่นชมข้าวของที่หลี่อินมอบให้ด้วยดวงตาเป็นประกาย หูก็ได้ยินสาวใช้กระซิบถึง ฮูหยินเอกผู้แสนอ่อนโยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางค่อย ๆ วางปิ่นลง…กำมือแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ตอนพิเศษ 3 ผลลัพธ์แห่งการรอคอยยามสนธยา ลมเย็นพัดผ่านสวนด้านหลังเรือนใหญ่ หลงอวี้จงยืนพิงเสาไม้ หันมองหญิงสาวในชุดคลุมเรียบง่ายที่กำลังจัดช่อดอกไม้ลงแจกัน นัยน์ตาของเขาสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟ และความรู้สึกบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ลึกเกินกว่าจะเอ่ยหลี่อินเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนหยุดยืนข้างเขา“คิดอะไรอยู่” นางถามเบา ๆเขาไม่ตอบในทันที แค่ทอดสายตาไปยังลานฝึกที่บุตรสาวกำลังลองดาบใหม่กับอาจารย์ และบุตรชายก็กำลังนั่งเขียนฎีกาเงียบ ๆ ไม่ไกลจากกันผ่านไปครู่ใหญ่…เขาจึงเอ่ย“ชาติที่หนึ่ง…” เขาเริ่ม“พวกเราแต่งงานกัน มีความสุขไม่นาน ก่อนที่ข้าจะถูกสั่งให้แต่งงานกับอดีตองค์หญิง”“ชาติที่สอง…” หลี่อินต่อคำเสียงแผ่ว “ข้าแต่งเป็นฮูหยินของท่านเพื่อที่จะได้อยู่นอกวังอย่างสงบ…แต่กลับต้องพัวพันการแย่งชิงอยู่ดี”หลงอวี้จงพยักหน้าช้า ๆ แววตาแดงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยืนนิ่ง ราวกับใจหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม“ข้าคิด…ว่าเราถูกสวรรค์ลงโทษในสิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยทำผิดอะไรไว้”“แต่ชาติที่สามนี้…” หลี่อินพูดพลางมองลูกทั้งสอง “ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเจ็บปวดเพียงใด พวกเขา…คือคำตอบที่ดีที่สุดจากฟ้าดิน”อวี้เหมยที่ลุกขึ้นปร
ตอนพิเศษ 2 บ้านที่มีรักเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ลมอ่อนพัดพาไอแดดอบอุ่นเข้ามาในลานเรือน หลังอาหารเช้า หลี่อินกำลังนั่งจัดสมุนไพรอยู่หน้าต่าง ส่วนหลงอวี้จงนั้นนั่งอ่านรายงานกองทัพด้วยสีหน้าจริงจังตามปกติอวี้เหอ เด็กชายวัยสิบปีกำลังง่วนกับการผูกผ้าโพกหัวที่ดูยังไงก็เบี้ยว“ท่านพ่อขอรับ มัดยังไงก็ไม่ตรง!”เขาบ่นอย่างหัวเสีย ขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหมือนรังนกหลงอวี้จงละสายตาจากเอกสาร มองลูกชายแล้วถอนหายใจ“มานี่ ข้าจะทำให้ดูอีกครั้ง…แต่พรุ่งนี้เจ้าต้องมัดเองให้ได้นะ จะไปสนามฝึกแบบหัวยุ่งไม่ได้ เดี๋ยวครูฝึกจะหัวเราะเอา”“แต่เขาก็หัวเราะอยู่ดีนี่นา…” อวี้เหอพึมพำเบา ๆ พลางเดินเข้าไปใกล้ขณะเดียวกัน อวี้เหมยบุตรสาวคนโตก็เดินผ่านเข้ามาในลาน สะพายตะกร้าผักไว้ด้านหลัง“ท่านแม่ ท่านพ่อ อวี้เหอแอบเอาขนมไปซ่อนไว้ใต้หมอนอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางรายงานพลางยิ้มขัน ๆ“ข้าแค่…แค่ไม่อยากให้บ่าวเอาไปเก็บ!” เด็กชายรีบเถียงเสียงสูงหลี่อินไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบา ๆ“พอเถอะ เหลือไว้ให้มดเผื่อกินบ้างเถิดลูก…”หลงอวี้จงหัวเราะในลำคอ“แม่ของเจ้ากำลังจะเริ่มเทศน์เรื่อง ‘ของกินที่วางไว้ไม่ถูกที่คือความสูญเปล
ตอนพิเศษ 1 ของขวัญจากสวรรค์ในวัยห้าสิบหลี่อินมองเงาตนเองในกระจกทองเหลือง ดวงหน้าของหญิงวัยห้าสิบที่มีร่องรอยของการต่อสู้กับชีวิตและความเศร้ามากมาย แต่แววตานั้น…กลับเปล่งประกายอ่อนโยนอย่างที่ตนไม่เคยเห็นในตัวเองมาก่อนเสียงร้องจุ๊กจิ๊กจากเปลไม้ด้านหลังทำให้นางหันกลับไปพร้อมรอยยิ้มหลงอวี้จงเดินเข้ามาพร้อมขันน้ำอุ่นในมือ เขาก้มหน้ามองทารกน้อยที่นอนหลับสนิทในผ้าอ้อม แล้วนั่งลงข้างภรรยา“นางเหมือนเจ้านัก โดยเฉพาะเวลาขมวดคิ้ว” เขาพูดเบา ๆ กลัวจะรบกวนเจ้าตัวเล็กหลี่อินหัวเราะแผ่ว“ท่านไม่ใช่หรือที่บอกว่าลูกชายหน้าเหมือนข้าจนบ่าวแยกไม่ออกว่าลูกใคร แต่คนที่ตะโกนลั่นบ้านตอนรู้ว่าตัวเองจะมีลูกตอนอายุห้าสิบ…ก็ท่าน” หลี่อินหันไปยิ้มเย้าหลงอวี้จงหน้าแดง ไม่กล้าสบตาภรรยา “ข้าแค่ตกใจ…ก็ใครบ้างจะคิดว่าจะมีลูกในวัยนี้ ข้ายังไม่หายตกใจเลย เจ้าคิดดูสิ ข้าเคยสู้ศึก เคยฆ่าคน เคยวางแผนโค่นล้มตระกูลกบฏ เคยเกือบตายเพราะยาพิษ… แต่กลับมาหวั่นไหวเพราะเสียงเด็กร้องกลางดึก”“นั่นเพราะพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อ่อนแอที่สุด แต่กลับจับหัวใจข้าไว้แน่นที่สุด”หลงอวี้จงยกมือลูบผมลูกชายที่นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเ
บทที่ 56 ไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกแล้วยามเย็นวันหนึ่ง ขณะที่แสงอาทิตย์โรยลงบนปลายไม้หลี่อินเดินกลับจากตลาด มือหนึ่งหิ้วตะกร้า อีกมือแนบจดหมายในแขนเสื้อกระดาษเพียงแผ่นเดียวไม่ใช่หนังสือหย่าไม่ใช่คำอธิบายแต่เป็นจดหมายจากคนที่เคยเป็นแผลในอดีตซูเจินเนื้อความไม่ยาว มีเพียงไม่กี่บรรทัดว่า นางแต่งงานแล้วกับขุนนางที่เคยเป็นคนที่หลงอวี้จงฝากฝังนางเอาไว้ชีวิตไม่ได้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ส่วนแม่ทัพหลง…นางไม่อยากกล่าวถึงอีกหลี่อินพับจดหมายนั้นเก็บลงลิ้นชักไม้ไม่พูดถึงให้หลงอวี้จงรู้เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วไม่มีเหตุผลที่ต้องรื้อฟื้น ไม่มีสิ่งใดต้องแข่งขันไม่มีความคาใจ ไม่มี ถ้าหาก…“วันนี้ในตลาดมีสาลี่หวาน พ่อค้าให้มาตั้งหลายลูก”นางเอ่ยขึ้นขณะช่วยเขาล้างถ้วยที่อ่างน้ำเล็กหลังเรือน“เจ้าเคยชอบกินตอนเป็นเด็ก” เขาพูดเรียบ ๆ ขณะตักน้ำรินให้“ข้าเกิดที่เมืองหลวง ท่านอยู่ชายแดน พวกเราไม่เคยได้กินด้วยกันตอนเป็นเด็กเสียหน่อย สับสนกับความทรงจำชาติไหนของท่าน”นางตอบพร้อมรอยยิ้มจาง ๆรอยยิ้มที่ไม่มีอดีตผูกพันแต่มีความอ่อนโยนที่เลือกจะอยู่กับ ปัจจุบันเมื่อค่ำลงแสงโคมในเรือนเล็ก ๆ ริบหรี่เช่นเคย กล
บทที่ 55 เพื่อนคู่คิดกลางฤดูใบไม้ผลิดอกเหมยที่บานผิดฤดูโปรยกลีบลงบนระเบียงไม้ของบ้านหลังเล็กหลี่อินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคาในมือลูบผ้าปักลายมังกรที่ยังเย็บไม่เสร็จ กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยจากกาน้ำข้างกายเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนจะมีเงาร่างหนึ่งนั่งลงอีกฟากของโต๊ะหลงอวี้จงไม่พูดอะไร เพียงนั่งเงียบอยู่ข้างกัน ราวกับการมีอยู่ของเขานั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้วเวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งนางพูดขึ้น“ยังคิดอยู่หรือ ว่าชาติหน้าจะเกิดใหม่จริง ๆ”เขาเงยหน้าขึ้นแววตานั้นยังคงเป็นดวงตาเดิมที่มองนางในทุกชาติ หากแต่ในตอนนี้ มันนิ่ง สงบ และอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็น“ข้าไม่รู้” เขาตอบตรง “แต่ข้าจำได้ว่าเคยลั่นวาจาไว้…”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างคนที่ไม่ต้องการคำสัญญาอีก“หากชาติหน้ามีอยู่จริง…ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด อยู่ในฐานะใดข้าจะมองเพียงเจ้าผู้เดียว”หลี่อินนิ่งเงียบไปนานลมหายใจของนางหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย มือที่จับเข็มปักเริ่มสั่นเล็กน้อย“…ท่านจะไม่เหนื่อยหรือ เพียงได้มอง ไม่ได้ขอครอง” เขาตอบเบา ๆ “ข้าไม่เคยเหนื่อย”แสงตะวันเช้าสาดเข้ามาในเรือนอย่างนุ่ม
บทที่ 54 ใกล้กันจนผมเริ่มมีสีดอกเลาเสียงด้ายขูดผ่านผืนผ้าเบา ๆแสงอ่อนในยามเช้าเริ่มลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ไอเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิแตะผิวแก้มนางอย่างแผ่วเบาหลี่อินยกมือรวบเส้นผมขึ้นอย่างเคยชิน แต่ในจังหวะนั้นเอง ด้านหลังพลันมีเงาร่างหนึ่งยื่นมือมาช่วยเก็บปิ่นปักผมที่ตกลงพื้น“ข้าทำให้ตก…” เขาว่าเบา ๆเสียงนั้นไม่ดังนัก แต่ใกล้มาก ใกล้จนกลิ่นจากชุดคลุมสีหม่นของเขาแตะปลายจมูกนางมือของเขายื่นมาช้า ๆ อย่างลังเลก่อนจะรวบเส้นผมนางขึ้น แล้วใช้ปิ่นปักให้อย่างเบาแรงนางไม่พูดเพียงแต่รู้สึกได้ว่า มือคู่นั้น…เริ่มหยาบขึ้นกว่าที่จำได้เพราะฝึกทำอาหารเองบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลี่อินยืนนิ่งและนั่นทำให้เขากล้าก้มลงกระซิบเบา ๆ“เจ้าเห็นไหม…”“เห็นอะไร” นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเขาชี้ไปยังข้างขมับตนเอง“ผมข้าเริ่มมีสีขาวปนอยู่หนึ่งเส้น” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เจ้าคงจะบอกว่าไม่แปลก…แต่รู้หรือไม่ว่ามันเป็นเส้นแรกที่ข้าอยู่ข้าง…เจ้า” เสียงเขาแผ่วเบา“แต่มันเพิ่งเริ่มกลายเป็นสีดอกเลา…ก็ในวันที่เราอยู่ใกล้กันมากที่สุด”หลี่อินเงียบ…ความรู้สึกอุ่นแปลก ๆ ค่อย ๆ ไหลซึมขึ้นกลางอกเงาร่างเขายังยืนอยู่ข้างหลัง







