“พ่อ!”
เสียงร้องลั่นห้อง พร้อมกับร่างกำยำสะดุ้งเฮือกดวงตาเบิกกว้าง
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม ทั้งที่อากาศภายในห้องค่อนข้างเย็น ลมหายใจ
หอบถี่จนส่งให้อกกระเพื่อมเบา ๆ
ร่างเปลือยเปล่าสะบัดผ้าห่มผื่นหนาออกจากร่างกาย เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ สองแขนค้ำขอบอ่างมองใบหน้าตัวเองในกระจก
ภาพวันนั้นตามหลอกหลอนเขาในฝันทุกค่ำคืน กระสุนหลายนัดวิ่งเจาะหน้าอกผู้เป็นพ่อยังคงชัดเจน กลิ่นความของเลือดยังคงฝั่งแน่นในปลายจมูก แม้มันจะผ่านมาห้าปีแล้ว เขายังจับมือใครดมไม่ได้เลย
ใครกันที่ลอบฆ่าพ่อของเขา...
ฌอนสะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเองออกไป แล้วจัดการอาบน้ำชำระร่างกาย เดินออกมาจึงเห็นว่าเสื้อผ้าสำหรับวันนี้ถูกเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วหยิบมันขึ้นมาสวม ถึงตัวจะจากไปแต่ก็ยังคงรักษาคำพูด ด้วยการบังคับให้แต่งงานกับยายอ้วนนั้น ตอนแรกคิดว่าพ่อตายแล้วคงจะเฉดหัวเธอออกจากบ้านได้ง่าย ๆ แต่เขาคิดผิด
...เพราะเชน ไคโร ดันทำพินัยกรรมที่มีแต่คนบ้านเท่านั้นที่คิดได้
เจ้าของร่างสูงเดินลงมาประจำโต๊ะอาหารซึ่งมีความยาวพอให้นั่งได้เกือบยี่สิบคนได้ สุดท้ายเขาก็ยังคงต้องนั่งกินข้าวคนเดียวเหมือนเคย เพราะถ้าให้เมีย ไม่สิ! ต้องเรียกว่านางบำเรอที่ถูกต้องตามกฎหมายถึงจะถูก หากมาร่วมโต๊ะด้วยคงกระเดือกไม่ลง
“วันนี้เป็นขนมปัง แฮมหมู ไส้กรอกนะคะ”
มาเรียเดินเข้ามาพร้อมกับแม่บ้านอีกคน เขาได้ยินดังนั้นแล้วพ่น
ลมหายใจออกมา โดยปกติแล้วเขาชอบทานเป็นอาหารจำพวกข้าวมากกว่า
ทั้งที่ภูมิภาคของประเทศกอเทียร์เป็นภูเขาและผู้คนส่วนใหญ่เลือก
กินขนมปัง ยกเว้นเขาที่ชอบกินข้าวตามคนที่ทำให้กินมากกว่า
“นับหนึ่งไปไหน ทำไมไม่เตรียมมื้อเช้าให้ผม”
“เมื่อเช้าคุณอรนิด อาการกำเริบค่ะ คุณหนึ่งเลยรีบไปดูแล”ฌอนพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ หรือ ไม่แม้แต่จะถามถึงอาการของแม่ยายเลย
สักนิด
คนเกลียดกันจะถามถึงกันทำไม แค่หายใจร่วมอาณาเขตเดียวก็รู้สึก
สะอิดสะเอียนเต็มทน
มื้อเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะอาหารไม่ถูกปากเฉกเช่นทุกวัน
ฌอนเดินออกมาด้านนอกซึ่งมี ‘เดฟ ครูซ’ เปิดประตูรถรออยู่แล้ว
“Morimg ครับ คุณฌอน”
เป็นการกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มบางเบา แล้วก็หุบลงอย่างรอดเร็ว แม้จะเป็นคนเรียบนิ่งเหมือนกับผู้เป็นเจ้านาย แต่มั่นใจได้เลยว่าความเย็นชาไม่เท่ากันแน่นอน
‘เดฟ ครูซ’ บอดี้การ์ดมือขวาคนสนิท อายุสามสิบสองปี เป็นเพื่อนร่วมเรียนที่เดียวกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถูกฝึกและทรมานในรูปแบบการต่อสู้ต่างๆ จาก เชน ไคโร มาเป็นอย่างดี เพราะหวังว่าวันหนึ่ง หากตัวเองไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เดฟ จะเป็นเพื่อนร่วมคิดและตายแทนลูกชายตัวเองได้
“วันนี้ช่วงเช้ามีประชุมกับสมาชิกแก๊งและผู้ถือหุ้นของเดียร์มาสกรุ๊ป ส่วนตอนเที่ยงมีนัดทานข้าวกับคุณเรย์มีน”
พอได้ยินชื่อของผู้หญิงคนนี้เขาได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายอะไร ออกเดทด้วยก็เพราะอยากได้ข้อมูลบางอย่างจากพี่ชายของเธอที่เป็นหัวหน้าแก๊งไนไตร์ก็เท่านั้น
รถหรูทรงยุโรปด้านข้างติดโลโก้รูปเหลี่ยมเพชร Eighty Eight Cutชัดเจนว่าเป็นรถของผู้นำสูงสุดของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่งของประเทศ
กอเทียร์ และยังเป็นแก๊งอันดับต้น ๆ ของโลกที่มักถูกพูดถึงผ่านโลกออนไลน์
...เพียงเพราะมีผู้นำอายุน้อย และ หน้าตาดี
บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยทิวทัศน์ของภูเขาและป่าไม้ มีหยดน้ำเม็ดกลมเกาะติดอยู่บนใบไม้อยู่บ้างประปราย บ่งบอกว่าเมื่อคืนมีฝนตกลงมาหนัก
ประเทศกอเทียร์เป็นประเทศเล็ก ๆ อยู่กึ่งกลางระหว่างทวีปยุโรป และ ทวีปเอเชียตะวันออก มีเมืองหลัก ๆ อยู่แค่ห้าเมืองเท่านั้นคือ
ดาเรนเทียร์ เซียร์เดอร์ล่า ดิออสเทีย โดมินิค เดมิเชี่ยน
สามเมืองใหญ่มีแก๊งเดียร์มาส (Diamas) เป็นผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดคอยดูแลกิจการหลายอย่างทั้งถูกกฎหมายและวงการสีเทา แม้แต่รัฐบาลยังไม่ค่อยอยากเข้ามายุ่งเกี่ยว
ส่วนอีกสองเมือง ที่เหลือถูกแบ่งให้กับแก๊งไนไตร์และแก๊งสเตนปกครองและดูแลธุรกิจของตัวเอง แน่นอนว่าชื่อแก๊งเหล่านี้ย่อมเป็นชื่อแก๊งมาเฟียที่มาจากความแข็งแกร่งของแร่ธาตุ แต่น้อยกว่าเดียร์มาส จึงทำให้ผู้นำของแต่แก๊งไม่ค่อยชอบฌอนสักเท่าไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอำนาจ
ที่มีน้อยกว่าค่อนข้างมาก
แก๊ง ‘เดียร์มาส’ เป็นสำเสียงภาษาสเปนมาจากคำไดม่อนบวกกับ
คำว่า มาสเตอร์ ไดม่อน เป็นแร่ที่แข็งแรงที่สุด จึงเป็นที่มาของโลโก้ตาเพชรซึ่งคือสัญลักษณ์ของแก๊ง
รถหรูเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าตึกสูงระฟ้าแห่งหนึ่งใจกลางเมือง กลุ่มบอดี้การ์ดสวมชุดสูทสีดำหลายสิบคนออกมาตั้งแถวรอเพื่อทักทายเจ้านายยามเช้าเหมือนเช่นเคย
“แกเป็นยังไงบ้างเจ็บมากหรือเปล่า” วิลันดาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเพื่อนทำท่าเหมือนจะร้องไห้“เจ็บมากเลยแก เจ็บทั้งใจเจ็บทั้งตัวเสียทั้งลูก” ปากเรียวฉีกยิ้มให้กับเพื่อนแต่ดวงตากลับคลอไปด้วยหยดน้ำใส“โธ่ ยัยกรีน ทำไมแกต้องมาเจอเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ด้วยฉันไม่คิดเลยว่าคุณชรัณต์เขาจะทำร้ายแกได้ลง” ร่างเล็กของวิลันดาก้มลงกอดเพื่อนแม้จะมีเหล็กกั้นเตียงเป็นอุปสรรคอยู่บ้างแต่มันก็ไม่สามารถกั้นความเป็นห่วงของเพื่อนที่คอยดูแลกันมาตั้งแต่เด็กได้“ฉันขอบใจแกมากนะที่คอยไปดูร้านให้”“ไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้สบายมาก ว่าแต่แกเถอะจะเอายังไงต่อไปเรื่องคุณชรัณต์” ที่ถามแบบนี้เพราะหล่อนรู้ดีว่าเพื่อนเธอรักเขามากแค่ไหนแต่ว่าทำร้ายกันขนาดนี้ถ้าเพื่อนเธอยังให้อภัยได้ก็แกร่งเกินคนแล้ว ส่วนเธอก็เตรียมกินอาหารเม็ดแทนข้าวได้เลย“แกช่วยหาทนายเก่ง ๆ สักคนให้หน่อยได้ไหม”หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามเพื่อนแต่พอวิลันดาได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ารับและพอเข้าใจความหมายจึงไม่ได้ถามอะไรต่อจนกระทั่งพ่อกับย่าศรีไพรเข้ามาเยี่ยมเธอจึงขอตัวลากลับทางด้านอรจิราซึ่งก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่ตัวเองร่วมก่อจึงเดินทางมาเยี่ยมกวินตาเหมือนกันแต่เธอไม่ยอ
บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินชรัณต์ยังคงมองผ่านช่องกระจกใสเข้าไปด้านใน ทีมแพทย์และพยาบาลต่างวุ่นวายกับการรักษาเสียงร้องจากความเจ็บปวดของคนเป็นเมียดังเล็ดรอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ เสียงที่ได้ยินมันช่างบาดลึกลงไปก้นบึ้งของหัวใจ“ยัยกรีนอยู่ไหน หลานย่าอยู่ที่ไหน”หญิงชราเดินโอนเอนด้วยความเร็วเข้ามาโดยที่มีพ่อของกวินตาประคองเข้ามา ชรัณต์รีบเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะเอ่ยขอโทษที่ดูแลกวินตาไม่ดีโดยที่คิดว่าพวกท่านไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแรง ฝ่ามือจากคนเป็นพ่อตา“คุณพ่อ”“ไม่ต้องมาเรียกผมว่าพ่อ คุณทำกับลูกสาวผมแบบนี้ได้ยังไง” สองมือขยุ้มคอเสื้อสรรพนามที่เรียกลูกเขยเปลี่ยนไปเป็นห่างเหินจากที่เมื่อก่อนท่านเคยรักและเอ็นดูยามนี้แทบไม่อยากจะเผาผีผู้ชายตรงหน้าด้วยซ้ำ ใบหน้าคมคายสลดลงดวงตาแดงก่ำร่างสูงสั่นคลอนไปมาตามแรงเขย่า“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”“ไม่ได้ตั้งใจเหรอคุณกล้าพูดคำนี้ออกมาได้ยังไง ฮะ!” ยิ่งชรัณต์พูดก็เหมือนกับแก้ตัวมันกลับยิ่งเพิ่มแรงเขย่ามากขึ้นไปอีกจนก้านแก้วต้องรีบเข้ามาห้ามปราม“พอเถอะค่ะคุณ ต้นเหตุเรื่องทุกอย่างมันเป็นเพราะฉันเอง”“ก้านแก้ว เธอมาอยู่ที่นี่ได้ย
เสถียรรู้ดีว่าในสายตาของลูกชายเมียเก่าของเขานั้นเป็นเหมือนนางฟ้าใจที่มีจิตใจดี แต่ใครจะรู้ว่านั่นมันคือเปลือกนอก“ไม่จริง พ่อโกหกผมเพื่อปกป้องมัน” ดวงตาคมแดงก่ำลำคอแข็งเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่“ถ้าไม่เชื่อแกก็เอานี่ไปอ่าน จดหมายส่งมาจากเรือนจำถ้าอ่านแล้วแกไม่เชื่อก็ไปหาไอ้ภากรได้เลย ที่พ่อปิดเรื่องนี้เอาไว้ก็เพราะไม่อยากเห็นแกต้องเสียใจ คุณก้านแก้วเขายอมรับบทเป็นคนร้ายให้แกทำร้ายมานานเกินไปแล้วตารัณต์”คนเป็นพ่อยื่นจดหมายให้ลูกพร้อมกับเอื้อมมือไปตบไหล่ ชายหนุ่มมองหน้าพ่อตัวเองแล้วไม่อยากจะเชื่อกับความจริงที่ได้รับรู้ก้านแก้วเดินเข้าไปประคองเสถียรด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าช่วงนี้สุขภาพของคนเป็นสามีไม่ค่อยดี เธอได้แต่ยกมือไหว้และยิ้มขอบคุณที่อย่างน้อยสามีเธอก็เป็นคนมีเหตุผล ความผูกพันที่เธอได้อยู่กันมามันหล่อหลอมเป็นความเข้าใจมือสั่นเทาเปิดอ่านจดหมายทีละคำด้วยทุกบรรทัดมันได้เล่ารายละเอียดเรื่องราวที่ทำให้เขาฝั่งใจจนเก็บเป็นความแค้นเอาลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาช้า ๆ เขาร้องไห้มันออกมาโดยที่ไม่อายใครแต่แล้วความแค้นที่เขาได้ก่อไว้มันกำลังจะหวนกลับมาคืนสนองเ
รุ่งเช้าของวันใหม่กวินตาตื่นขึ้นมาภายในห้องนอนของตัวเอง เธอมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งมือบางสัมผัสเตียงนอนที่พวกเขามาเสวยสุขกันบนนี้เธอยิ่งรู้สึกรังเกียจร่างเล็กดีดตัวลุกจากเตียงแล้วกระชากผ้าปูที่นอนออกไปกองไว้กับพื้น แค่คิดถึงเรื่องอย่างว่าที่พวกเขาทั้งสองมาเหยียบย้ำหัวใจเธอมันก็เกิดอาการอยากอาเจียนขึ้นมาจึงรีบวิ่งเข้าไปอ้วกในห้องน้ำบนโต๊ะอาหารเช้าทุกคนต่างลงมานั่งรอทานอาหารด้วยกันเว้นเพียงกวินตาที่ยังไม่ได้ลงมาจากด้านบนเพียงแค่คนเดียว“แล้วนี่กวินตาไปไหน ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ฉันยังไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นลงมากินอาหารเช้าร่วมกับคนอื่นเลยนะ”อยู่ ๆ เสถียรก็ถามหากวินตาขึ้นมาทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่สนใจเสียด้วยซ้ำและไม่เคยยอมรับว่ากวินตาเป็นลูกสะใภ้“ฉันก็ไม่ทราบเลยค่ะ ยังไม่เห็นเธอลงมาจากบนห้องเลยตั้งแต่เช้า”ก้านแก้วเองก็รู้สึกเป็นห่วงลูกอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้ยินเรื่องเมื่อวานเย็นที่ป้านวลเห็นเรื่องบัดสีของชรัณต์กับอรจิราแล้วนำมาเล่าให้ฟังเธอยิ่งรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวจับใจบทสนทนาของคนเป็นพ่อกับแม่เลี้ยงอรจิราได้ยินทุกคำแล้วหันไปมองหน้าชรัณต์ที่นั่งกินข้าวเหมือนทองไม่รู้ร้
หายไปไหนมา รู้ไหมนี่มันกี่โมงแล้ว” น้ำเสียงที่ตะโกนถามตั้งแต่กวินตายังเดินไม่พ้นขอบประตูบ้านเสียด้วยซ้ำ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นใครไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินรังแตนจากที่ไหนมาถึงได้มาฉุนเฉียวใส่หน้าเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกของวัน“สองทุ่มค่ะ ยังไม่ได้ดึกด้วย” น้ำเสียงราบเรียบที่ตอบหญิงสาวไม่รู้เลยว่าได้สร้างความเดือดดาลให้กับชรัณต์มากขึ้นไปอีก“แล้ววันนี้ไปไหนมา ผมโทรไปที่ร้านคุณก็ไม่ได้เข้าไปที่นั่น” มือหน้าคว้าเข้าไปที่ต้นแขนพร้อมกับออกแรงบีบจนขึ้นรอยแดงแม้มันจะเจ็บแต่กวินตาก็ไม่เอ่ยร้องออกมาเหมือนทุกครั้งในเมื่อเขาอยากจะทรมานเธอเพื่อระบายความแค้นเธอก็จะยอมทนแต่เมื่อใดที่เธอหลุดพ้นไปแล้วเธอสัญญาว่าจะไม่หวนกลับมาอย่างแน่นอน“ไปกับวิมาค่ะ เรานัดทานข้าวด้วยกัน”“แล้วทำไมถึงไม่บอกคนที่บ้านไว้ ไปไหนมาไหนทำไมถึงไม่บอก”ชรัณต์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองกลายเป็นคนจู้จี้ไปตั้งแต่เมื่อไร เมื่อก่อนหญิงสาวจะไปไหนมาไหนเขาแทบจะไม่เคยเอ่ยปากถามเลยเสียด้วยซ้ำ“จำเป็นด้วยเหรอคะ เพราะยังไงการที่กรีนอยู่บ้านหลังนี้ก็เหมือนวิญญาณที่ไร้ตัวตนอยู่แล้ว จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ต่างกัน”คางเล็กเชิดขึ้นมองตาคนที่สูงกว่าเห
“ป้านวล หนูกรีนยังไม่ลงมาทานข้าวอีกเหรอ” ก้านแก้วหันไปถามแม่บ้านที่กำลังยกทัพพีตักข้าวให้กับเสถียร“คุณกรีนออกไปข้างนอกตั้งแต่รุ่งสางแล้วค่ะ ไม่ได้บอกไว้ว่าไปไหนแต่เห็นบอกว่าคืนนี้จะไม่กลับมานอนที่นี่นะคะ”ชรัณต์ที่นั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าอยู่เมื่อได้ยินอย่างนั้นถึงกับ ขบกรามแน่น เขาไม่พอใจที่เธอไปไหนมาไหนไม่บอกจึงวางช้อนลงพร้อมกับลุกออกจากโต๊ะอาหาร“คุณอิ่มแล้วเหรอคะรันต์ อรเห็นทานแค่ไม่กี่ช้อนเองนะ” อรจิราเอ่ยทักท้วงเมื่อเห็นเขาลุกขึ้นยืน“กินไม่ลง เห็นหน้าฆาตกรแล้วชวนอ้วก” ไม่ได้แค่เอ่ยประโยคทิ่มแทงออกมาแต่ดวงตาคมยังตวัดมองก้านแก้วซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกด้วยชรัณต์เดินออกมาบริเวณหน้าบ้านโดยที่มีอรจิราเดินตามหลังออกมาพร้อมกับถือกระเป๋าสะพาย“แล้วนี่คุณจะไปไหน” เมื่อเห็นหญิงสาวจะเดินไปยังโรงเก็บรถชรัณต์จึงเอ่ยปากถาม“คุณรันต์อย่าลืมสิคะว่าอรก็มีงานที่จะต้องทำไม่ได้มีหน้าที่เล่นละครรับบทบาทเป็นเมียหลวงอย่างเดียวนะ” รอยยิ้มอ่อนผุดขึ้นบนใบหน้าชรัณต์มองตามหลังรถของอรจิราที่เคลื่อนออกไปแล้วจึงยกโทรศัพท์โทรหากวินตาแต่ทว่าโทรไปเท่าไรเจ้าตัวก็เอาแต่ตัดสายทิ้งแถมสายล่าสุดยังปิดเครื