ขายาวก้าวผ่านไปด้วยท่าทีเรียบเฉยก่อนปลายเท้าจะหยุดลง หางตาเขาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างจึงถอยหลังกลับไปยืนต่อหน้าผู้ชายคนหนึ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณฌอน”
“เด็กใหม่เหรอ?” ชายหนุ่มอายุราว ๆ ยี่สิบปีช้อนตามองผู้กุมบังเหียนของเดียร์มาสสองมือชื้นไปด้วยเหงื่อ ความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจแทบปิดไม่มิด
ข่าวลือที่ว่าหัวหน้าแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่งหน้ากลัวยิ่งกว่าพวกตำรวจ หรือ ฆาตกรโรคจิต สงสัยจะเป็นเรื่องจริง ขนาดแค่เขาเดินมาหยุดตรงหน้าทำเอาแทบหยุดหายใจกันเลยทีเดียว
“มาใหม่เหรอ?”
“ครับ” ขานรับพร้อมพยักหน้าน้อย ๆ
ได้รับคำตอบแล้วก็เดินผละออกไป สมกับเป็นผู้นำทั้งช่างสังเกตและรอบคอบ สายตาดุจเหยี่ยว จนบางครั้งมือขวาอย่างเดฟยังตามไม่ทัน
ภายในห้องประชุมหุ้นส่วนและสาสมาชิกแก๊งจากเขตปกครองต่าง ๆ มารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง บางคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเขาตั้งแต่สมัยก่อตั้งแก๊งเดียร์มาสใหม่ ๆ
ฌอน ไคโร ถูกยอมรับจากทุกคนทั้งด้านธุรกิจ การต่อรองหรือเจราจากับนักธุรกิจต่างชาติ รวมถึงฝีมือการต่อสู้ เป็นที่กล่าวขานว่าโหดเหี้ยมยิ่งกว่ารุ่นพ่อ ไม่มีความปราณีในพจนาณุกรมของเขาแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่ง
ดุจเพชรจึงถูกยอมรับโดยไม่มีข้อกังขา
ปึ่ก!
เสียงแฟ้มสีดำขนาดใหญ่ถูกโยนลงบนโต๊ะ สีหน้าเรียบนิ่งเปลี่ยนเป็นดุดัน เรียวลิ้นดันกระพุงแก้ม ดวงตากวาดมองไปเบื้องหน้า สมาชิกแก๊งและผู้ถือหุ้นต่างเสียวสันหลังไปตาม ๆ กัน
ลักษณะและท่าทางแบบนี้ หวั่นเกรงว่าระเบิดน่าจะลง
“ทำไม โครงการก่อสร้างห้างฯ แห่งใหม่ถึงไม่มีความคืบหน้า”
“คือว่ามีชาวบ้านบางส่วนที่รับเงินไปแล้ว เกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมย้ายออกครับ ทำให้โครงการเราทำงานได้แค่บางส่วน...”
คำตอบไม่เต็มเสียงทำเอาร่างสูงหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย โครงการนี้ล่าช้ามาสองเดือนแล้ว มีปัญหาแทบทุกสัปดาห์
“ปัญหาเดิม?” ทุกคนในห้องก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ใจเย็นครับคุณฌอน เรื่องนี้ผมว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง...”
ผู้ชายมีอายุราวสี่สิบปีซึ่งมีส่วนร่วมในการดูแลโครงการนี้ รีบเอ่ยทักท้วงขึ้น ฌอนหรี่ตาลงยืดตัวตรง ยกมือเท้าคาง จ้องมองไม่วางตา การที่เขาไม่ถามอะไรเพิ่มเติมนั่นหมายความว่ากำลังเฝ้ามองคำอธิบายอยู่ หากมีเหตุผลมากพอเขาก็ยินดีรับฟัง แต่ถ้าไม่ก็ไม่สมควรทำงานอีกต่อไป
“คนงานของเราเห็นคนแปลกหน้ามาพบชาวบ้านกลุ่มนั้นเพื่อต่อรองอะไรบางอย่าง พอเข้าไปถามชาวบ้านก็ปิดปากเงียบไม่ยอมบอกอะไรเลย ส่วนนี่เป็นรูปถ่ายของพวกมันครับ...”
หันกลับไปกดปุ่มรีโมต เปิดภาพขึ้นโชว์หน้าจอโปรเจ๊กเตอร์ เขาจดจ้องรูปนั้นครู่ใหญ่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งจนเดาไม่ออกว่า กำลังคิดอะไรอยู่...
“คนของแก๊งไนไตร์ครับ” เดฟ ก้มลงกระซิบข้างหูคนเป็นเจ้านาย หลังจากยืนฟังอยู่ด้านหลังและเห็นรูปถ่ายนั้น
“อือ ฉันรู้”
ทำไมเขาจะจำไม่ได้เพราะเคยเห็นมันมารับเรย์มีนที่ร้านอาหารอยู่
ครั้งหนึ่ง ต่อให้เป็นแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้แม่นเพราะมันมีรอยสักรูปแมงมุมตรงลำคอ
ก่อนหน้านั้นแก๊งไนไตร์อยากได้โครงการห้างสรรพสินค้าไปสร้างที่เมืองของตัวเอง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และ นักพนันจึงได้เข้าร่วมประมูลโครงการนี้ด้วย แต่ก็ต้องพ่ายแก้เม็ดเงินและอำนาจของเดียร์มาส
ถึงอย่างนั้น เรย์เดน ไทสันก็แอบกัดลับหลัง เพื่อหาทางให้โครงการนี้เปลี่ยนทำเลไปยังเมืองของตัวเองแทน
“พวกคุณจัดการควบคุมงานก่อสร้างต่อไป ส่วนเรื่องนี้ผมจะให้เดฟเป็นคนจัดการเอง”
เขาบอกเสียงเรียบ และ หันไปมองหน้าลูกน้องคนสนิทซึ่งพยักหน้ารับรู้กับคำสั่งที่ต้องบอกว่าให้ทำอะไร เพียงแค่สบตาก็เห็นความคิดของกัน
หลังจากประชุมแล้ว ฌอนก็เดินกลับห้องทำงานของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของตัวตึก จังหวะนั้นเองเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของเดฟดังขึ้น ฝีเท้าจึงชะลอลงเมื่อเปิดอ่านแล้วเขาจึงรีบโทรกลับทันที
ฌอนเองไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าใครติดต่อมา เพราะหากมีคนต้องการเจอหรือติดต่อธุระกับเขาต้องติดต่อผ่านเดฟเท่านั้น ทว่าประโยคถัดมาทำให้ฝีเท้าเขาหยุดลง
"คุณนับหนึ่งออกไปกับใคร ได้บอกไหมว่าไปไหน...”
สีหน้าของเดฟ ครูซ เริ่มไม่สู้ดี ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องที่อารักขาอยู่ที่คฤหาสน์ ออกไปตามหามาดามของไคโรให้เจอ ต่อให้จะรู้ดีว่าเจ้านายไม่ได้มีใจใคร่รัก แต่ถึงอย่างไรแล้วเธอก็เป็นนายหญิงแห่งเดียร์มาสอยู่ดี
และที่สำคัญผู้นำคนเก่าฝากฝังให้เขาปกป้องเธอกับคุณฌอนเท่าชีวิต เพราะทั้งคู่มีค่าต่อหัวใจของเชน ไคโร
“นับหนึ่งไปไหน?” ถามเสียงเข้ม สองแขนยกขึ้นกอดอก
“ไม่ทราบครับ เธอออกจากบ้านไปหลังจากที่เราออกมาได้ยี่สิบนาที”
เขาขบฟันเล็กน้อย เคยเตือนแล้วว่าอย่าออกไปไหนหากไม่มีคนติดตามไปด้วย และอย่าแสดงตัวตนว่าเป็นเมียเขาเด็ดขาด ต่อให้มีทะเบียนสมรสยัยอ้วนนั้นก็เป็นได้แค่นางบำเรอแก้ขัดในบ้านก็เท่านั้น...
สิบห้าปีที่แล้ว...“หนึ่งหลับตาลูก อย่าดู” มือเรียวยกขึ้นปิดตาเด็กหญิงตัวป้อมพลางกดหัวลงต่ำราวกับว่ากลัวใครมาเห็น เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามไรผมจนไหลหยดลงมาข้างแก้มตกสู่คางเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเห็นเธอกับลูกเลย อุตส่าห์หนีมาอยู่ไกลถึงที่นี่แล้ว อรนิดกระชับลูกไว้ในอกแน่น “อรนิด” เสียงเรียกนั้นมาพร้อมกับการเอื้อมมือมาแตะไหล่ เธอสะดุ้งเฮือกใหญ่ “อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย” ร่างเล็กร้องขอชีวิตออกมาสุดเสียง สองมือพนมไหว้สั่นงก ทั้งที่ดวงตายังไม่ทันได้ลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ“อรนิด ฟังก่อน! นี่ผมเอง” มือหนาเอื้อมมาจับสองไหล่เขย่าแรง ๆ สติของเธอจึงกลับมา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นสามีของเพื่อน“คุณเชน”“คุณกับลูกปลอดภัยดีใช่ไหม” หญิงสาวพยักหน้ารับ ขอบคุณเขาที่มาช่วย แม้จะหอบลูกหนีกลับมาประเทศไทย ไม่คิดเลยว่าเดลเลอร์จะส่งคนมาตามล่า แค่ชีวิตสามีเธอมันยังไม่พออีกเหรอ“คุณอยู่ประเทศไทยไม่ปลอดภัย ภรรยาผมให้มาตามคุณกลับไปกอเทียร์”“ขนาดหนีมาไกลถึงที่นี่ยังไม่ปลอดภัย คิดเหรอว่ากลับไปที่นั้นแล้วชีวิตฉันกับลูกจะมีความสุข” หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอ
เสียงพูดคุยกันของใครบางคนดังอยู่ในรับรองทำให้เรียวขาสวยหยุดลงแล้วถอยกลับไปหลบอยู่มุมหนึ่งของประตูทางเข้า คนหนึ่งเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นพี่ชายตัวเอง แต่อีกคนเธอไม่คุ้นน้ำเสียงมาก่อนแม้ว่าจะพยายามเอียงหูฟังเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดียร์มาสกรุ๊ปหรือเปล่า เธอแค่อยากรู้เรื่องเดียวก็คือกระดุมเม็ดนั้นเป็นของใคร “คุณเรย์มีนมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”เสียงทักนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปเจอแม่บ้านสาวยืนอยู่ เธอถลึงตาใส่ เรย์เดนได้ยินเสียงพูดคุยอยู่หน้าห้องจึงจบบทสนทนาแล้วเดินไปเปิดประตู“มีอะไรกันแล้วมายืนทำอะไรหน้าห้อง”มองสาวรับใช้สลับกับน้องสาว เรย์มีนยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะแก้ตัวว่ามาชวนเขาออกไปกินข้าวด้านนอก เพราะเบื่ออาหารที่แม่บ้านทำแล้ว“อารมณ์ไหนถึงได้มาชวนพี่ไปกินข้าว วันนี้พี่นึกว่าแกจะนอนกอดหมอนร้องไห้ เพราะสุดดวงใจเพิ่งประกาศว่ามีเมียไปเมื่อคืน”รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นมุมปากสองแขนยกขึ้นกอดอก หญิงสาวหันขวับไปมองผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาไม่พอ “อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม ตกลงจะไปหรือไม่ไป”“อ๊ะๆ ไปก็ได้ ... คุณกลับไปก่อนนะ เราค่อยไปคุยกัน
บรรยากาศในรถเงียบเชียบจนได้ยินเครื่องปรับอากาศ คนที่ร้อน ๆ หนาว ๆ คงหนีไม่พ้นคนขับรถ ต่อให้เคยชินกับการนิ่งเงียบใส่กันของผู้เป็นเจ้านาย แต่บรรยากาศก็ไม่มืดครึ้มขนาดนี้“ขะ ...ขอโทษ” เอ่ยเสียงเบาผ่านลำคอ ได้รับเพียงความเงียบกลับคืนมา เธอชำเลืองมองเขาด้วยหางตา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองตรง ๆ คนเป็นมาเฟียยังคงนิ่งเงียบ ... เงียบกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เธอไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยส่งสายตาเย็นชามาก็ยังดี “คุณฌอนคะ หนึ่ง...”รถจอดเทียบชานบันไดหน้าคฤหาสน์ ขายาวก้าวลงจากรถโดยไม่สนใจคนเจ้าเนื้อที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา เธอตัดสินใจวิ่งไปดักหน้า สองมือกางออกขวางทางเพื่อไม่ให้เขาเดินผ่านเธอไป มาเฟียหนุ่มตวัดนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองคนเจ้าเนื้อ โกรธ โมโห เขาไม่รู้ว่าจะเลือกใช้คำไหน เพราะมีคำว่า ‘เป็นห่วง’ เข้ามาแทนที่ทั้งหมด“หนึ่งขอโทษ ขอโทษจริงๆ หนึ่งแค่...”“แค่เห็นแก่เงิน” เขาสวนขึ้นเสียงเข้มเธอเม้มปากขึ้นเส้นตรงไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว เพราะมันคือความจริง เงินจำนวนนั้นมั่นล่อตาล่อใจ จนเธอตกปากรับคำภายในเสี้ยววินาทีโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนสองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าจ้องหน้าน
“สวัสดีครับทุกท่าน” เสียงแหบพร่ากล่าวทักทายคนในงานดวงตาทุกดวงจับจ้องไปยับนับหนึ่งเป็นตาเดียวเพื่อฟังว่าตาเฒ่าแห่งแก๊งสเตนกำลังจะพูดอะไรต่อกันแน่ก่อนที่เดลเลอร์จะกล่าวอะไรต่อ พนักงานก็เริ่มเดินเสิร์ฟขนมไทยสีเหลืองฉ่ำวาวให้กับทุกโต๊ะ“ก่อนที่ผมจะประกาศเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกปิดบังมาอย่างยาวนานให้กับทุกคนได้ทราบ และร่วมยินดี ผม ... อยากให้ทุกคนได้ลองชิมขนมตรงหน้าดูก่อน”เดลเลอร์มองสบตาไปยังฌอน พร้อมกับยิ้มเหยียดมุมปากฌอนรู้ได้ทันทีว่าสเตนต้องการประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับนับหนึ่งออกไปให้คนอื่นรู้ เพราะคิดว่าเธอเป็นจุดอ่อนของตัวเขา มันอาจจะใช่และก็ไม่ใช่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าตาเฒ่านั้นเล่นถูกจุดอยู่ไม่น้อยบอดีการ์ดนับสิบคนเดินเข้ามาประจำจุดของตัวเองตามที่ได้รับคำสั่ง เขาไม่สนใจกฎระหว่างแก๊งแล้ว หากกล้าหยามหน้ากันขนาดนี้ เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกันร่างสูงลุกขึ้นเต็มสูบราวกับว่าจะประกาศศึกกับอีกฝ่าย ผู้คนในงานต่างเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของงานเลี้ยงในวันนี้ แม้แต่ประธานาธิบดีเองยังเดินทางกลับก่อนเวลา“ขนมที่ทุกท่านได้ทานอร่อยดีใช่ไหมครับ”เป็นคำถา
ดนตรีในงานบรรเลงสบาย ๆ แบบผ่อนคลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับอารมณ์ผู้ทรงอำนาจของผู้นำเดียร์มาสกรุ๊ป เรย์มีนซึ่งนั่งอยู่อีกกลุ่มโต๊ะหนึ่งไม่ไกลเท่าไรสังเกตเห็นสีหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาไม่สู้ดี แต่ก็ยังไม่กล้าเดินเข้าไปหาเพราะมีพี่ชายนั่งคุมอยู่ไม่ห่างมือหนายังคงรัวพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์ เพื่อสั่งงานกับลูกน้อง‘ส่งคนของเราออกตามหาให้ทั่ว ตรวจกล้องวงจรปิดทุกตัวบริเวณนั้น’ผู้รับคำสั่งเปิดอ่านทุกตัวอักษรแล้วพิมพ์ตอบรับคำสั่งด้วยมือสั่นเทา ขนาดบอกผ่านตัวหนังสือยังรู้สึกเสียวไปทั้งสันหลัง หากต้องอยู่ต่อหน้าไม่อยากจะคิดเลยว่าสีหน้าผู้เป็นนายจะเป็นอย่างไร“เฮ้ย! ตรวจดูให้ทั่วทุกตารางนิ้ว” หันกลับไปสั่งบอดีการ์ดที่ถูกตามมาช่วยงานสำคัญ ทุกอย่างต้องทำแบบเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนแตกตื่น และสำคัญเลยคือ ... อย่าให้ต่างแก๊งรู้เรื่องนี้ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำไม่ได้กังวลเรื่องการเจรจาเรื่องธุรกิจแล้ว ยามนี้เขาเป็นห่วงคนตัวกลมเสียมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานมาว่าบอดี-การ์ดที่คอยติดตามเธอถูกพบหมดสติอยู่ด้านหลัง สอบถามได้ความเพียงว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนรุมทำร้ายเขา และถามหามาดามหญิงของไคโรดวงตาคู่คมกวา
สบถออกมาได้แค่คำนั้น รู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง เพียงชั่วพริบตา ร่างเธอก็ถูกชายฉกรรจ์ลากไปจากตรงนั้นโดยไร้เสียงร้องขอความช่วยเหลือแสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนถูกเปิดไปทั่วบริเวณ แม้ไม่สว่างมากแต่ก็มองเห็นใบหน้าของผู้มาร่วมงานอย่างชัดเจน ผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานมีทั้งชาวกอเทียร์ และชาวต่างชาติการปรากฏตัวของฌอน ไคโร ทำเอาผู้คนต่างหันมามองเป็นตาเดียว รูปร่าง หน้าตา มีสง่า และทรงอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ“ผมสั่งเปลี่ยนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วครับ”เดฟ ซึ่งเดินประกบหลังเมื่อครู่ก้าวเท้าขึ้นมาเดินเทียบข้าง เอ่ยบอกเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปยังอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะเป็นโต๊ะเดียวกันกับประธานาธิบดีเหมือนเช่นทุกงานที่ได้ไปเขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปทักทายผู้นำของประเทศตามมารยาท แม้จะถูกเลื่อนเก้าอี้เชิญให้นั่ง ทว่าเขากลับปฏิเสธแล้วเดินไปยังโต๊ะของนักธุรกิจชาวไทย“คนนั้นเหรอที่เดียร์มาสกรุ๊ปอยากร่วมงานด้วย” หนึ่งในผู้มาร่วมงานเอ่ยถามเพื่อนร่วมโต๊ะ พลางพยักพเยิดหน้าไปยังผู้นำของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่ง“อืม ... ใช่ เห็นว่าคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่มีอำนาจกว้างขวางในเมืองไ