กฏของการเป็นเมียมาเฟียคือห้ามรัก กฏของการแอบรักสามีคือต้องเจียมตัว “ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้เธอก็ไปซะ”
Lihat lebih banyakบนเตียงกว้างขนาดคิงไซน์ เสียงครวญครางของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังร่วมรักกันดังสนั่นห้อง โดยไม่กลัวว่าใครจะเดินผ่านมาได้ยิน
“อ้า”
“อืม”
เสียงคำรามผ่านลำคอดังขึ้นถี่ พร้อมทั้งมือหนาเอื้อมไปจับสะโพกของเธอขณะที่ทิ้งตัวลงทับท่อนเอ็นลำใหญ่อย่างเป็นจังหวะ ร่างอวบอ้วนออกแรงโยกพลางเงยหน้าขึ้นสูดปากด้วยความเสียวซ่าน
กิจกรรมเข้าจังหวะดของสามีภรรยาดำเนินมาเกือบสามชั่วโมงโดยไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง ค่ำคืนนี้ไม่รู้ว่าเจ้าของความสูงร้อยแปดสิบห้าไปอดอยากปากแห้งมาจากไหนทั้งที่เรียกเธอเข้ามาปรนเปรอแทบทุกคืน
“อืม...จะเสร็จ”
แผ่นอกกระเพื่อมน้อยๆ หน้าท้องเกร็ง เมื่อบางอย่างกำลังจะพุ่งทุยานออกมา ร่างกำยำเลยกระแทกลำเอ็นสวนกลีบเนื้ออูมเร็วและถี่ ร่างอ้วน
สั่นสะท้านจนต้องเอื้อมมือไปจับเข่าของคนใต้ร่าง
เจ้าของร่างแกร่งกระตุก ก่อนจะปลดปล่อยสายน้ำสีขาวพวยพุ่งออกมา ช่องทางที่รองรับบีบรัดราวกับยินดีกับการปลดปล่อยน้ำอุ่นร้อนเข้ามาด้านใน
น้ำขาวขุ่นเปรอะเปื้อนร่องสวาทจนเออล้น มันไม่ใช่รอบแรกของ
ค่ำคืนนี้ แต่เป็นรอบที่ห้าแล้ว และเธอคิดว่ามันคงจะเป็นรอบสุดท้าย
ทว่า...เธอกลับคิดผิด
ร่างสูงตวัดคนเจ้าเนื้อให้นอนลงในท่านอนหงาย จับสองขาอวบยกขึ้นพาดไหล่และดันขึ้นสุด ก่อนจะสอดผ่านลำเอ็นขนาดใหญ่ดันพรวดเดียวเข้าสุดลำ
มืออวบขยุ้มผ้าปูที่นอนจนขึ้นข้อขาว ทั้งเจ็บ ทั้งจุก แต่ก็รู้สึกดีจนไม่เอ่ยปากห้ามปราม ถึงเธอต่อต้านไปก็เท่านั้นเพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ฝืนใจเธออยู่ดี ทุกการกระทำไม่ได้เกิดจากความรักมันเกิดจากความเกลียดล้วน ๆ
ฌอน ไคโร คือมาเฟียหนุ่มวัย 30 ปี เป็นผู้นำแก๊ง.... คนปัจจุบันและเป็นสามีของนับหนึ่ง สาวไทยที่เป็นลูกติดของภรรยาใหม่พ่อเขา ทั้งที่เกลียดสองแม่ ลูก แทบตาย แต่ก็จำใจต้องแต่งงานด้วยเพราะข้อตกลลงบ้า ๆ
จากอดีตหัวหน้าแก๊ง
หากเขาไม่ยอมแต่งงานกับยัยอ้วนนับหนึ่ง พ่อก็จะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้เธอ รวมถึงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งด้วย เรื่องอะไรเขาต้องสูญเสียทุกอย่างไป แค่เสียแม่คนเดียวเพราะตรอมใจมันก็มากเกินพอแล้ว
‘แม่ไม่อยู่ ฌอน...ต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก’
เสียงแหบพร่าแผ่วเบาของหญิงวัยกลางคนซึ่งนอนติดเตียงอยู่นาน
นับปี รูปร่างผ่ายผอมจนเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก ไม่นานมือเหี่ยวย่นก็หมดแรงร่วงหล่นลงบนเตียงนอน
ลมหายใจขาดห้วง ดวงตาค่อย ๆ หลับลง เหลือเพียงแค่คราบน้ำตาไหลลงสองแก้ม วินาทีนั้นรู้ได้ทันทีว่ามาดามของบ้านได้จากโลกนี้ไปอย่าง
ไม่มีวันหวนกลับมา
“แม่! แม่ครับ อย่าทิ้งผมไป”
เด็กหนุ่มวัยสิบหกปีกอดร่างไร้วิญญาณร้องไห้ปานจะขาดใจ เสียง
คร่ำครวญของหญิงรับใช้ที่ยืนอยู่เต็มห้องดังระงมเมื่อรับรู้ว่ามาดามได้
จากไปแล้ว
ดวงตาคมเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาต สาเหตุที่มารดาต้องตายเป็นเพราะตรอมใจ ถ้าพ่อไม่พาสองแม่ ลูกนั่นเข้ามาอยู่ที่นี่ แม่คงไม่เป็นแบบนี้
สองมือกำแน่นเดินตรงไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ขณะนั้นนับหนึ่งในวัย 13 ปี เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน เห็นคุณหนูของตระกูลไคโร กำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านรับรองพร้อมไม้เบสบอลในมือ
เด็กหญิงเจ้าเนื้อรีบวิ่งตามไปทันที ดูจากอารมณ์และสีหน้าพร้อมอาวุธในมือ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ และน่าจะเลวร้ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
โครม! เพล้ง!
ข้าวของในบ้านรรับรองหลังเล็ก ถูกไม้เบสบอลฟาดจนแตกหัก กระจัดกระจาย พ่อบ้าน แม่บ้าน ชายหญิงได้แต่ยืนดู หากคุณของบ้านได้ทำอะไรแล้วไม่มีใครกล้าห้ามปรามนอกจากมาดามของของตระกูลเท่านั้น
“พี่ฌอน...อย่าค่ะ” เด็กหญิงตัวป้อมวิ่งเข้าไปดึงแขน
เด็กหนุ่มสะบัดแขนออกอย่างแรงทำเอานับหนึ่งลงไปนอนกองกับพื้น ซ้ำร้ายบริเวณศีรษะยังฟาดกับขอบโต๊ะจนได้แผลขนาดเล็กมา
“ใครเป็นพี่เธอ! ฉันไม่เคยนับญาติกับลูกติดเมียน้อยว่าเป็นน้อง เพราะเธอกับแม่เข้ามาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างมันเลยเลวร้ายไปหมด แม่ฉันเลยต้องตายเพราะแม่ของแก!”
ตะโกนลั่นพร้อมกับยกไม้เบสบอลขึ้นเหนือหัว ราวกับจะฟาดลงลำตัวของอีกฝ่าย แขนป้อมยกขึ้นป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ มือชะงักค้างไว้กลางอากาศแล้วปล่อยไม้ร่วงลงพื้นเสียงดัง
“มาดาม... ฮึก ๆ ตายแล้วจริง ๆ เหรอคะ” เด็กหญิงลดมือลงเผยให้เห็นใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
ไหล่เล็กสั่นสะท้านจากแรงสะอื้น เธอจำได้ว่านับตั้งแต่หนีตายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ มาดามดีกับเธอและแม่มาก เอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง
ดวงตาคู่คมฉาบความเย็นชา มองคนตัวป้อมด้วยความเกลียดชัง เขาไม่ตอบคำถามใดๆ เพราะรู้สึกเจ็บปวดจนไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาได้
“เกิดอะไรขึ้น!”
สิบห้าปีที่แล้ว...“หนึ่งหลับตาลูก อย่าดู” มือเรียวยกขึ้นปิดตาเด็กหญิงตัวป้อมพลางกดหัวลงต่ำราวกับว่ากลัวใครมาเห็น เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามไรผมจนไหลหยดลงมาข้างแก้มตกสู่คางเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเห็นเธอกับลูกเลย อุตส่าห์หนีมาอยู่ไกลถึงที่นี่แล้ว อรนิดกระชับลูกไว้ในอกแน่น “อรนิด” เสียงเรียกนั้นมาพร้อมกับการเอื้อมมือมาแตะไหล่ เธอสะดุ้งเฮือกใหญ่ “อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย” ร่างเล็กร้องขอชีวิตออกมาสุดเสียง สองมือพนมไหว้สั่นงก ทั้งที่ดวงตายังไม่ทันได้ลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ“อรนิด ฟังก่อน! นี่ผมเอง” มือหนาเอื้อมมาจับสองไหล่เขย่าแรง ๆ สติของเธอจึงกลับมา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นสามีของเพื่อน“คุณเชน”“คุณกับลูกปลอดภัยดีใช่ไหม” หญิงสาวพยักหน้ารับ ขอบคุณเขาที่มาช่วย แม้จะหอบลูกหนีกลับมาประเทศไทย ไม่คิดเลยว่าเดลเลอร์จะส่งคนมาตามล่า แค่ชีวิตสามีเธอมันยังไม่พออีกเหรอ“คุณอยู่ประเทศไทยไม่ปลอดภัย ภรรยาผมให้มาตามคุณกลับไปกอเทียร์”“ขนาดหนีมาไกลถึงที่นี่ยังไม่ปลอดภัย คิดเหรอว่ากลับไปที่นั้นแล้วชีวิตฉันกับลูกจะมีความสุข” หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอ
เสียงพูดคุยกันของใครบางคนดังอยู่ในรับรองทำให้เรียวขาสวยหยุดลงแล้วถอยกลับไปหลบอยู่มุมหนึ่งของประตูทางเข้า คนหนึ่งเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นพี่ชายตัวเอง แต่อีกคนเธอไม่คุ้นน้ำเสียงมาก่อนแม้ว่าจะพยายามเอียงหูฟังเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดียร์มาสกรุ๊ปหรือเปล่า เธอแค่อยากรู้เรื่องเดียวก็คือกระดุมเม็ดนั้นเป็นของใคร “คุณเรย์มีนมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”เสียงทักนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปเจอแม่บ้านสาวยืนอยู่ เธอถลึงตาใส่ เรย์เดนได้ยินเสียงพูดคุยอยู่หน้าห้องจึงจบบทสนทนาแล้วเดินไปเปิดประตู“มีอะไรกันแล้วมายืนทำอะไรหน้าห้อง”มองสาวรับใช้สลับกับน้องสาว เรย์มีนยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะแก้ตัวว่ามาชวนเขาออกไปกินข้าวด้านนอก เพราะเบื่ออาหารที่แม่บ้านทำแล้ว“อารมณ์ไหนถึงได้มาชวนพี่ไปกินข้าว วันนี้พี่นึกว่าแกจะนอนกอดหมอนร้องไห้ เพราะสุดดวงใจเพิ่งประกาศว่ามีเมียไปเมื่อคืน”รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นมุมปากสองแขนยกขึ้นกอดอก หญิงสาวหันขวับไปมองผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาไม่พอ “อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม ตกลงจะไปหรือไม่ไป”“อ๊ะๆ ไปก็ได้ ... คุณกลับไปก่อนนะ เราค่อยไปคุยกัน
บรรยากาศในรถเงียบเชียบจนได้ยินเครื่องปรับอากาศ คนที่ร้อน ๆ หนาว ๆ คงหนีไม่พ้นคนขับรถ ต่อให้เคยชินกับการนิ่งเงียบใส่กันของผู้เป็นเจ้านาย แต่บรรยากาศก็ไม่มืดครึ้มขนาดนี้“ขะ ...ขอโทษ” เอ่ยเสียงเบาผ่านลำคอ ได้รับเพียงความเงียบกลับคืนมา เธอชำเลืองมองเขาด้วยหางตา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองตรง ๆ คนเป็นมาเฟียยังคงนิ่งเงียบ ... เงียบกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เธอไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยส่งสายตาเย็นชามาก็ยังดี “คุณฌอนคะ หนึ่ง...”รถจอดเทียบชานบันไดหน้าคฤหาสน์ ขายาวก้าวลงจากรถโดยไม่สนใจคนเจ้าเนื้อที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา เธอตัดสินใจวิ่งไปดักหน้า สองมือกางออกขวางทางเพื่อไม่ให้เขาเดินผ่านเธอไป มาเฟียหนุ่มตวัดนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองคนเจ้าเนื้อ โกรธ โมโห เขาไม่รู้ว่าจะเลือกใช้คำไหน เพราะมีคำว่า ‘เป็นห่วง’ เข้ามาแทนที่ทั้งหมด“หนึ่งขอโทษ ขอโทษจริงๆ หนึ่งแค่...”“แค่เห็นแก่เงิน” เขาสวนขึ้นเสียงเข้มเธอเม้มปากขึ้นเส้นตรงไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว เพราะมันคือความจริง เงินจำนวนนั้นมั่นล่อตาล่อใจ จนเธอตกปากรับคำภายในเสี้ยววินาทีโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนสองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าจ้องหน้าน
“สวัสดีครับทุกท่าน” เสียงแหบพร่ากล่าวทักทายคนในงานดวงตาทุกดวงจับจ้องไปยับนับหนึ่งเป็นตาเดียวเพื่อฟังว่าตาเฒ่าแห่งแก๊งสเตนกำลังจะพูดอะไรต่อกันแน่ก่อนที่เดลเลอร์จะกล่าวอะไรต่อ พนักงานก็เริ่มเดินเสิร์ฟขนมไทยสีเหลืองฉ่ำวาวให้กับทุกโต๊ะ“ก่อนที่ผมจะประกาศเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกปิดบังมาอย่างยาวนานให้กับทุกคนได้ทราบ และร่วมยินดี ผม ... อยากให้ทุกคนได้ลองชิมขนมตรงหน้าดูก่อน”เดลเลอร์มองสบตาไปยังฌอน พร้อมกับยิ้มเหยียดมุมปากฌอนรู้ได้ทันทีว่าสเตนต้องการประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับนับหนึ่งออกไปให้คนอื่นรู้ เพราะคิดว่าเธอเป็นจุดอ่อนของตัวเขา มันอาจจะใช่และก็ไม่ใช่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าตาเฒ่านั้นเล่นถูกจุดอยู่ไม่น้อยบอดีการ์ดนับสิบคนเดินเข้ามาประจำจุดของตัวเองตามที่ได้รับคำสั่ง เขาไม่สนใจกฎระหว่างแก๊งแล้ว หากกล้าหยามหน้ากันขนาดนี้ เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกันร่างสูงลุกขึ้นเต็มสูบราวกับว่าจะประกาศศึกกับอีกฝ่าย ผู้คนในงานต่างเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของงานเลี้ยงในวันนี้ แม้แต่ประธานาธิบดีเองยังเดินทางกลับก่อนเวลา“ขนมที่ทุกท่านได้ทานอร่อยดีใช่ไหมครับ”เป็นคำถา
ดนตรีในงานบรรเลงสบาย ๆ แบบผ่อนคลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับอารมณ์ผู้ทรงอำนาจของผู้นำเดียร์มาสกรุ๊ป เรย์มีนซึ่งนั่งอยู่อีกกลุ่มโต๊ะหนึ่งไม่ไกลเท่าไรสังเกตเห็นสีหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาไม่สู้ดี แต่ก็ยังไม่กล้าเดินเข้าไปหาเพราะมีพี่ชายนั่งคุมอยู่ไม่ห่างมือหนายังคงรัวพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์ เพื่อสั่งงานกับลูกน้อง‘ส่งคนของเราออกตามหาให้ทั่ว ตรวจกล้องวงจรปิดทุกตัวบริเวณนั้น’ผู้รับคำสั่งเปิดอ่านทุกตัวอักษรแล้วพิมพ์ตอบรับคำสั่งด้วยมือสั่นเทา ขนาดบอกผ่านตัวหนังสือยังรู้สึกเสียวไปทั้งสันหลัง หากต้องอยู่ต่อหน้าไม่อยากจะคิดเลยว่าสีหน้าผู้เป็นนายจะเป็นอย่างไร“เฮ้ย! ตรวจดูให้ทั่วทุกตารางนิ้ว” หันกลับไปสั่งบอดีการ์ดที่ถูกตามมาช่วยงานสำคัญ ทุกอย่างต้องทำแบบเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนแตกตื่น และสำคัญเลยคือ ... อย่าให้ต่างแก๊งรู้เรื่องนี้ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำไม่ได้กังวลเรื่องการเจรจาเรื่องธุรกิจแล้ว ยามนี้เขาเป็นห่วงคนตัวกลมเสียมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานมาว่าบอดี-การ์ดที่คอยติดตามเธอถูกพบหมดสติอยู่ด้านหลัง สอบถามได้ความเพียงว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนรุมทำร้ายเขา และถามหามาดามหญิงของไคโรดวงตาคู่คมกวา
สบถออกมาได้แค่คำนั้น รู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง เพียงชั่วพริบตา ร่างเธอก็ถูกชายฉกรรจ์ลากไปจากตรงนั้นโดยไร้เสียงร้องขอความช่วยเหลือแสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนถูกเปิดไปทั่วบริเวณ แม้ไม่สว่างมากแต่ก็มองเห็นใบหน้าของผู้มาร่วมงานอย่างชัดเจน ผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานมีทั้งชาวกอเทียร์ และชาวต่างชาติการปรากฏตัวของฌอน ไคโร ทำเอาผู้คนต่างหันมามองเป็นตาเดียว รูปร่าง หน้าตา มีสง่า และทรงอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ“ผมสั่งเปลี่ยนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วครับ”เดฟ ซึ่งเดินประกบหลังเมื่อครู่ก้าวเท้าขึ้นมาเดินเทียบข้าง เอ่ยบอกเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปยังอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะเป็นโต๊ะเดียวกันกับประธานาธิบดีเหมือนเช่นทุกงานที่ได้ไปเขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปทักทายผู้นำของประเทศตามมารยาท แม้จะถูกเลื่อนเก้าอี้เชิญให้นั่ง ทว่าเขากลับปฏิเสธแล้วเดินไปยังโต๊ะของนักธุรกิจชาวไทย“คนนั้นเหรอที่เดียร์มาสกรุ๊ปอยากร่วมงานด้วย” หนึ่งในผู้มาร่วมงานเอ่ยถามเพื่อนร่วมโต๊ะ พลางพยักพเยิดหน้าไปยังผู้นำของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่ง“อืม ... ใช่ เห็นว่าคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่มีอำนาจกว้างขวางในเมืองไ
Komen