เวินเยวี่ยกัดริมฝีปาก สมองแล่นอย่างบ้าคลั่งในที่สุดก็มีความคิดหนึ่งปรากฏ เหมือนนึกถึงบางอย่างผิวเผินนางยังแสร้งทำสีหน้าน่าสงสาร “เยวี่ยเอ๋อร์เองก็ไม่รู้ หงอวี้บอกข้าแค่ว่านางไม่สบาย อยากไปหาหมอ ส่วนเรื่องอื่นเยวี่ยเอ๋อร์ไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ หากพี่รองสงสัย ก็ให้หงอวี้ออกมา แล้วพี่รองถามนางต่อหน้าดีหรือไม่?”ระหว่างที่พูด นางแอบส่งสายตาที่บอกใบ้และเต็มไปด้วยการตักเตือนให้หงอวี้ที่อยู่ด้านข้างหงอวี้ที่เข้าใจทันทีร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัวในขณะที่ทุกคนหันมองนาง นางเห็นกับตาว่าคุณหนูของนางอ้าปากพูดโดยไร้เสียงหลายคำอย่าลืมครอบครัวของเจ้าวินาทีนั้น หงอวี้ราวกับตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง เย็นเยือกไปทั้งใจเสียงดังตุบ!สุดท้ายหงอวี้ที่ยอมรับชะตากรรมคุกเข่าลงพื้น พร้อมร้องไห้ “บ่าวทำเองเจ้าค่ะ ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับคุณหนูของข้า...”“เป็ดทอดกรอบบ่าวไปซื้อในนามของคุณหนู ยาพิษบ่าวก็แอบวางยาเอง หลังจากวางยาแล้วบ่าวกลัวเรื่องจะแดงขึ้นมา จึงกำจัดยาพิษแล้วนำขวดไปซ่อนไว้ในห้องคุณชายสี่ ทุกสิ่งทุกอย่างบ่าวเป็นคนทำเองเจ้าค่ะ”“หงอวี้ นึกไม่ถึงว่าข้าเชื่อใจเจ้าขนาดนี้ เจ้ากลับกล้าวางยาพวกพี่ชายลับหลัง
“เอาละ ไม่ต้องพูดจาไร้สาระแล้ว”เวินเฉวียนเซิ่งได้ฟังมาถึงตรงนี้ รู้สึกว่าเรื่องราวก็คงจะประมาณนี้ เขาจึงขัดจังหวะคำพูดของนาง และตัดสินใจสรุปเรื่องราวทั้งหมด “ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากบ่าวรับใช้ผู้นี้ที่ล่วงเกินผู้เป็นนาย คิดร้ายหมายเอาชีวิตผู้เป็นนาย ความผิดเช่นนี้ ต่อไปพวกข้าจะจัดการตามกฎของตระกูล ส่วนที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนและธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว”ทว่าพอเขากล่าวจบ ก็ได้ยินเวินซื่อเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูหก เจ้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือ?”แน่นอนว่าเวินเยวี่ยยังคงแสร้งทำตัวน่าสงสารต่อไป “ไม่รู้จริงๆ ขอร้องพี่หญิงห้าท่าน...ธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดอย่าได้มีอคติกับเยวี่ยเอ๋อร์ เพียงเพราะความเข้าใจผิดในอดีตเลย”นางจงใจกล่าวอย่างอ้อมค้อมเป็นอย่างยิ่งแต่คนอื่นๆ ที่ได้ยินกลับรู้สึกว่าเวินซื่อกำลังหาเรื่องจับผิดนางเวินฉางอวิ้นกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง เวินซื่อก็หัวเราะออกมา “อคติอย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าไม่เคยแม้แต่จะชายตามองเจ้าด้วยซ้ำ”เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ในเ
“พวกเขาพูดเหลวไหล...พวกเขากำลังพูดจาเหลวไหล!”“พวกเขากำลังใส่ร้ายข้า พี่หญิงห้า เหตุใดท่านถึงให้พวกเขามาใส่ร้ายข้า?!”เวินเยวี่ยกัดฟันแน่นยืนกราน พยายามที่จะแก้ต่างให้ตัวเอง แต่เวินซื่อกลับยิ้ม ไม่พูดอะไรเจ้าของร้านขายยาคนหนึ่งล้วงมือเข้าไปในอก หยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมา “คิดว่าคุณหนูหกคงจะไม่ลืม สมุดเล่มนี้ที่เขียนไว้ในร้านยาของข้าเมื่อวานนี้กระมัง ถึงแม้ว่าชื่อและฐานะจะไม่เหมือนกับในมือของอีกสองคน แต่เวลาที่ซื้อยานั้นไม่มีทางผิดพลาด”เจ้าของร้านขายยาอีกสองคนก็หยิบสมุดในมือของพวกเขาออกมาเช่นกันหลังจากที่มอบให้เป่ยเฉินหยวนแล้ว เป่ยเฉินหยวนก็มอบให้กับเวินซื่อโดยตรงเวินซื่อดูสองสามครั้ง ก่อนจะให้คนนำไปมอบให้เวินเฉวียนเซิ่งเวินเฉวียนเซิ่งก้มลงกวาดตามองทีละแผ่น สุดท้ายเวินฉางอวิ้นที่ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อความจริงนี้ รับมาจากมือของท่านพ่อ หลังจากที่เขาเห็นเวลาที่ระบุไว้บนนั้นอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็ค่อยๆ หลับตาลงทันใดนั้น หัวใจของเวินเยวี่ยก็กระตุกนางกรอกสมุดอะไรไปกัน แต่ชื่อและฐานะอะไรพวกนั้นที่นางเขียนลงไปล้วนเป็นของปลอม แบบนี้จะใช้เป็นหลักฐานได้อย่างไร?เป็นไปได้อย่างไร?!“ไม่!
เห็นได้ชัดว่าการล้อมอารามสุ่ยเยว่เกิดขึ้นก่อน ส่วนการสืบหาความจริงและการปกป้องเกิดขึ้นทีหลัง แต่เมื่อเป่ยเฉินหยวนเป็นคนพูด กลับกลายเป็นว่าเวินเฉวียนเซิ่งจงใจใส่ร้ายเสียอย่างนั้นสีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งพลันเปลี่ยนเป็นมืดมนอย่างยิ่ง“พวกท่านต้องการอะไรกันแน่?”เวินซื่อกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าไม่ได้ต้องการอะไร ขอเพียงท่านเจิ้นกั๋วกงไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้าง เพียงเท่านี้ก็พอ”แต่การไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้าง...อดีตบิดาผู้นี้ของนางจะสามารถทำได้จริงๆ หรือ?หากนางยังไม่ได้ออกจากจวนเจิ้นกั๋วกง หากนางยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ หากวันนี้คนที่ก่อเรื่องเช่นนี้เป็นนาง เวินเฉวียนเซิ่งไม่มีทางที่จะลงโทษนางเพียงแค่กักบริเวณในโถงบรรพชนและให้สำนึกผิดเป็นแน่ดังนั้น วันนี้นางจะรอดูว่า บิดาผู้สูงส่งของนางจะสามารถไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างได้หรือไม่!เวินเฉวียนเซิ่งมองนางอย่างลึกซึ้งเมื่อเผชิญกับสายตาที่เต็มไปด้วยการพิจารณาและบีบบังคับ เวินซื่อไม่ยอมถอยแม้แต่น้อยในขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียดอย่างยิ่ง ร่างกายสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามาขวางหน้าเวินซื่อในทันที“เจิ้นกั๋วกง นี่เป็นสายตาแบบ
เมื่อเผชิญกับสายตาที่ซับซ้อนของทุกคน เวินซื่อค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมามอง “มองข้าทำไมกัน คุณชายรองของท่านก็พูดแล้วมิใช่หรือว่าไม่ตายหรอก ดังนั้นรีบโบยเถอะ”น้ำเสียงของนางที่ราวกับไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ทำเอาเวินเยวี่ยโกรธจนแทบจะกระอักเลือดนางกล้าเร่งเร้า ไม่ได้ดูเลยหรือไรว่าใครที่จะโดนโบย!หากมิใช่ว่าตอนนี้มีคนอยู่มากมาย เวินเยวี่ยคงอยากจะพุ่งเข้าไปฉีกปากเวินซื่อเสียเดี๋ยวนี้ท้ายที่สุด ภารกิจอันหนักอึ้งในการลงโทษตามกฎประจำตระกูลนี้ ก็ตกเป็นหน้าที่ของเวินฉางอวิ้นเวินเฉวียนเซิ่งออกคำสั่ง เวินฉางอวิ้นเป็นคนลงมือ เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อสองเดือนก่อนไม่มีผิดเพียงแต่ครั้งนี้ คนที่ถูกโบยเปลี่ยนจากนางกลายเป็นเวินเยวี่ยเวินฉางอวิ้นถือแส้ที่สะท้อนแสงเย็นเยียบอยู่ในมือ กลับรู้สึกว่าครั้งนี้ไม่รู้จะลงมืออย่างไรดีเขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเวินซื่อ ดูเหมือนว่ายังอยากจะพูดขอความเห็นใจแทนเวินเยวี่ย หากน้องห้ายกโทษให้ บางทีน้องหกอาจจะไม่ต้องถูกโบยก็ได้“น้องห้า ถึงอย่างไรน้องหกก็เป็นน้องสาวของเจ้า หรือว่า...”เวินฉางอวิ้นพูดประโยคที่เคยพูดเหมือนเมื่อก่อนอย่างไม่รู้ตัว แต่ครั้งนี้เขากลับ
“ตุบ”“น้องหก!”เวินฉางอวิ้นรีบวางแส้ลง ประคองเวินเยวี่ยด้วยความระมัดระวัง “น้องหก เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ยังทนไหวหรือไม่?”เวินเยวี่ยหลับตา ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเวินเฉวียนเซิ่งรีบเดินไปหานาง อยากจะดูว่าโบยแรงเกินไปจริงๆ หรือไม่ เป่ยเฉินหยวนกลับหัวเราะเยาะ “คุณหนูหกของจวนท่านช่างอ่อนแอเสียจริง ทั้งที่เป็นบุตรสาวบุญธรรมที่เพิ่งถูกตามตัวกลับมาได้ไม่นาน แต่ร่างกายกลับบอบบางยิ่งกว่าบุตรสาวที่แท้จริงที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมเสียอีก”น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “แค่ยี่สิบทีก็สลบไปแล้ว ไม่รู้ว่าตอนที่อู๋โยวถูกโบย นางทนถูกโบยห้าสิบทีนั้นมาได้อย่างไรกัน”น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความโกรธเขาสั่งให้ลูกน้องไปสืบว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเวินซื่อได้ประสบพบเจอกับอะไรบ้างในจวนเจิ้นกั๋วกง แม้จะสืบมาได้มากมาย แต่ก็ไม่พบที่มาของบาดแผลเหล่านั้นที่อยู่บนหลังของนาง บาดแผลที่เขาเห็นในวันที่เขาพบกับนางครั้งแรกที่นอกห้องทรงพระอักษรและในวันนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว เดิมทีรอยแผลเหล่านั้นล้วนเกิดจากน้ำมือของญาติพี่น้องของนางเองนางทำผิดอะไรถึงต้องถูกโบยห้าสิบที?แส้แบบนั้น ฟาดลงบนร่า
เวินเฉวียนเซิ่งมองเวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนด้วยสีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง“เรื่องวันนี้ข้าจดจำไว้แล้ว ตอนนี้คนก็ได้รับโทษแล้ว เช่นนั้นธิดาศักดิ์สิทธิ์ควรจะมอบยาแก้พิษออกมาได้หรือยัง?”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ท่านเจิ้นกั๋วกงต้องการยาแก้พิษ ไม่ใช่ว่าควรจะไปขอจากบุตรสาวคนเล็กของท่านหรือ? คนที่วางยาพิษคือนาง มิใช่ข้า”เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านรู้ว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร”พิษที่ทำให้จื่อเยวี่ยกระอักเลือดจนหมดสติไปนั้นเป็นฝีมือของเยวี่ยเอ๋อร์ก็จริง แต่ก่อนหน้านั้นก็ยังมีพิษที่เวินซื่อลงมือกับเขาอยู่อีกพิษที่ล่อลวงจื่อเยวี่ย ทำให้เขาพูดจาพล่อยๆ ในงานเลี้ยง!เวินซื่อยิ้มเล็กน้อย “เหตุใดท่านเจิ้นกั๋วกงถึงได้ใส่ความข้าอีกแล้ว หมอผู้นี้ท่านเป็นคนเชิญมาเอง ท่านลองถามเขาด้วยตัวเองดูสิว่า ในร่างกายของคุณชายสามของจวนท่านมีพิษชนิดที่สองอยู่หรือไม่”เวินเฉวียนเซิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อยจากนั้นเขาก็หันไปมองหมอชราผู้นั้น หมอชราก็ส่ายหน้าตามคาดเมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยจากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จวนของข้าก็ไม่มีอะไรจะรั้งท่า
เวินจื่อเฉินเอ่ยถามด้วยแววตาที่คาดหวัง “ได้หรือไม่ น้องห้า?”“ไม่ได้”แต่เวินซื่อกลับทำลายความหวังของเขาอย่างไร้เยื่อใยสายตาของนางเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “เหตุใดข้าต้องให้โอกาสเช่นนี้แก่ท่านด้วย?”ชาติที่แล้วนางก็เคยขอร้องนับครั้งไม่ถ้วน แต่มีใครเคยให้โอกาสนางบ้าง?!“ต่อไปอย่ามายุ่งกับข้าอีก”หลังจากพูดประโยคที่ตัดเยื่อใยนี้ เวินซื่อก็ยกเท้าก้าวผ่านเขาไป แล้วเดินออกจากที่นี่โดยตรงเหลือเพียงเวินจื่อเฉินที่ยืนอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง ไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เป็นเวลาเนิ่นนานหลังจากผ่านไปเนิ่นนานแล้ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาทำอย่างไรดี...เขาจะทำอย่างไรได้อีก?เวินจื่อเฉินที่ไม่สามารถหาวิธีใดๆ เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับน้องสาวของเขาได้อีกต่อไป ในตอนนี้เขารู้สึกสับสนเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง“...ท่านแม่ หากท่านยังอยู่ที่นี่ก็คงดี”ท่านแม่เก่งเรื่องง้อน้องสาวที่สุด ถ้าท่านแม่ยังอยู่ นางจะต้องสอนวิธีง้อน้องสาวให้กลับมาได้แน่ๆ ……ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งหลังจากที่เวินซื่อออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ก็ขึ้นรถม้าอีกคันที่เป่ยเฉินหยวนจัดเตรียมไว้ให้นาง
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม