ในวังวนแห่งอำนาจและการล้างแค้น ท่ามกลางความมืดมิดของเล่ห์เหลี่ยมกลโกง ดอกเหมยบริสุทธิ์จะบานสะพรั่ง พร้อมนำแสงแห่งความจริงกลับคืนมา และร้อยเรียงหัวใจสองดวงให้เป็นหนึ่งเดียว...
더 보기10 ปีก่อน รัชสมัยของฮ่องเต้เซียงเหวิน ซึ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียง 5 ปี ณ เมืองหลวงแคว้นต้าเซียง ในยุคที่ดูเหมือนจะสงบสุขร่มเย็น แต่แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ในราชสำนัก ไช่ไท่ฟู่ ราชครูผู้ทรงคุณธรรมและเปี่ยมด้วยปัญญา เป็นที่เคารพรักของราษฎรและขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ชีวิตของเขายึดมั่นหลักการแห่งคุณธรรมและความยุติธรรมมาตลอดตั้งแต่รัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ไช่ไท่ฟู่เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พร่ำสอนหลักการปกครองที่คำนึงถึงความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นหลัก คำพูดของเขามีน้ำหนักในราชสำนัก การตัดสินใจของเขามักนำมาซึ่งความรุ่งเรืองและสงบสุขแก่แคว้นต้าเซียง
บ่ายวันหนึ่งที่อากาศมืดครึ้มอย่างแปลกประหลาดทั้งที่ไม่ใช่ฤดูฝน ทหารจากกรมอาญาจำนวนมากเคลื่อนพลไปล้อมจวนไช่ไท่ฟู่เอาไว้อย่างแน่นหนา เจ้ากรมอาญาเรียกทุกคนในจวนตระกูลไช่มารับราชโองการ ชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์ต่างมามุงดูว่าเกิดอันใดขึ้นที่จวนไท่ฟู่ซึ่งพวกเขาเคารพรัก
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ไช่ไท่ฟู่ที่ได้รับพระเมตตามาตลอดกลับทำให้เราผิดหวังนัก มีหลักฐานมากมายส่งมาให้เราพิจารณา กระทั่งการสืบสวนจบลงทำให้ทราบว่า ไช่ไท่ฟู่แอบติดต่อกับแคว้นศัตรูเพื่อก่อกบฏ เราในฐานะฮ่องเต้ไม่อาจนิ่งดูดาย จึงมอบอำนาจให้เจ้ากรมอาญาประหารไช่ไท่ฟู่ในทันที ส่วนคนในตระกูลให้เนรเทศไปยังชายแดนตะวันตกและยึดทรัพย์ทั้งหมดของจวนไท่ฟู่เข้าคลังหลวง จบราชโองการ”
ไช่เจิ้งผิงผู้เป็นราชครูได้แต่แหงนหน้ามองฟ้าเพื่อกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอออกมาจนแทบจะไหลริน เขาได้แต่คิดในใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงกล่าวหาเขาที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์มาตลอดหลายปีได้ เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยเสียงดัง
“กระหม่อมไช่ไท่ฟู่ รับราชโองการ! ฮูหยิน ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ากับลูกต้องลำบาก”
“ฮือ… ท่านพี่… ข้าไม่โทษท่าน ฮึก..” หม่าซูร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเสียใจที่นางต้องมาทนเห็นผู้เป็นสามีกำลังจะถูกประหารไปต่อหน้าต่อตา
ทหารนายหนึ่งประหารไช่ไท่ฟู่ตามราชโองการ เสียงร้องไห้และหวีดร้องอย่างหวาดกลัวดังไปทั่วทั้งจวนตระกูลไช่ พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะกลัวถูกฆ่าจึงได้แต่ขอความเมตตาจากทหารไม่ให้ทำร้ายคนในตระกูล ถึงแม้จะเห็นว่าผู้นำตระกูลอย่างไช่ไท่ฟู่สิ้นลมไปต่อหน้าต่อตาแล้วก็ตามที ฮูหยินไช่อย่างหม่าซูจำต้องปลุกปลอบใจตนเองให้เข้มแข็งที่สุดทั้งที่น้ำตาอาบแก้ม ไช่เหมยฮวาในวัย 8 ขวบกำหมัดแน่นอย่างอดกลั้นความเสียใจที่ต้องสูญเสียบิดาอันเป็นที่รัก
ด้านนอกจวนตระกูลไช่ ชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์ต่างไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างไท่ฟู่ผู้ซื่อสัตย์จะมีแผนก่อกบฏ เสียงพูดคุยดังไปทั่วบริเวณ
“เจ้าว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไปหรือไม่” ชาวเมืองคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าก็คิดว่ามันแปลก คนอย่างท่านไท่ฟู่ที่รักราษฎรมีหรือจะกล้าทำเช่นนั้น”
“น่าสงสารฮูหยินกับลูก ๆ ของท่าน ไม่น่าต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้”
เจ้ากรมอาญาใช่ว่าจะไม่ได้ยินเสียงชาวเมือง เพียงแต่เขาเองก็จนใจที่ต้องทำตามหน้าที่ กว่าที่ฝ่าบาทจะออกราชโองการนี้ พวกเขาพยายามหาหลักฐานแก้ต่างให้กับไช่ไท่ฟู่อย่างเต็มกำลัง จนใจที่หลักฐานกลับมีแต่ชี้ความผิดของไช่ไท่ฟู่ ฮ่องเต้จึงได้ตัดสินใจเชื่อคำแนะนำของเสนาบดีฝ่ายซ้ายจูเค่อและออกราชโองการนี้มา
“ทหาร! เข้าไปตรวจยึดทรัพย์สินภายในจวนเข้าคลังหลวง ส่วนพวกเจ้าที่เหลืออยู่ให้รอจนกว่าทหารจะนำทรัพย์สินออกมาจนหมด จากนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปยังชายแดนตะวันตกตามราชโองการ ตอนนี้อย่าได้ส่งเสียงดังและสร้างความวุ่นวาย ไม่เช่นนั้นพวกข้าคงต้องสังหารพวกเจ้า” เจ้ากรมอาญาออกคำสั่งอย่างดุดัน
“ฮึก… ท่านแม่.. น้องชายอาการไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ” ไช่เหมยฮวากระซิบบอกมารดาทั้งที่น้ำตายังคงไหลรินอยู่
“ฮือ… ซิวเอ๋อ! เจ้าอย่าทำให้แม่ตกใจสิลูก ทำใจดี ๆ เอาไว้” หม่าซูลูบหัวลูบตัวบุตรชายวัยห้าขวบที่ตอนนี้อาการป่วยกำเริบขึ้นมาเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ท่านแม่ ข้าจะไปเอายาของน้องที่ห้องนะเจ้าคะ” ไช่เหมยฮวากำลังจะลุกขึ้นแต่กลับถูกมือของมารดาดึงให้นั่งลงเสียก่อน นางจึงได้แต่ขมวดคิ้วอย่างกังวล
“เจ้าอย่าเพิ่งไป แม่จะขออนุญาตเจ้าหน้าที่เสียก่อน ไม่เช่นนั้นเจ้าจะลำบาก”
“เช่นนั้นท่านแม่รีบหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าเกรงว่าน้องจะทนไม่ไหว”
“เจ้าดูน้องเอาไว้ แม่จะรีบไปรีบมา” หม่าซูส่งบุตรชายให้บุตรสาวดูแลต่อ
หม่าซูลุกขึ้นไปย่อกายคำนับเจ้ากรมอาญาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี นางรีบเอ่ยปากขออนุญาตให้บุตรสาวไปนำยาของบุตรชายมาให้เขากินและยังชี้บอกให้เจ้ากรมอาญามองดูว่าบุตรชายนางอาการป่วยกำเริบจริง ๆ
“ได้ ข้าอนุญาต แต่ให้นางนำเพียงยาของบุตรชายเจ้ามาได้เท่านั้น”
“ขอบคุณท่านเจ้ากรมมากเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ให้ลูกนำอย่างอื่นมานอกจากยา”
หม่าซูเมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็รีบไปบอกไช่เหมยฮวาและรับร่างของบุตรชายที่ยังไม่ได้สติกลับมากอดเอาไว้ บ่าวไพร่ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่นึกสงสารฮูหยินกับคุณหนูและคุณชายที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี จนใจที่พวกเขาเป็นเพียงบ่าวในเรือนจึงไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้
ไช่เหมยฮวารีบวิ่งไปที่ห้องนอนน้องชายและนำยาในขวดกลับมาป้อนให้น้องชายอย่างทุลักทุเล ด้วยว่าตอนนี้ไช่ซิวนั้นสลบไปเสียแล้ว นางได้แต่บีบนวดตัวให้น้องชายได้สติขึ้นมาหลังได้รับยา
หนึ่งชั่วยามต่อมา ทหารที่ค้นหาทรัพย์สินในจวนไท่ฟู่แปลกใจไม่น้อยที่ในจวนนี้แทบจะไม่มีของมีค่าใดอยู่เลย เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าเอ่ยออกมาให้ตนเองเดือดร้อนจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
“รองหัวหน้ากุ่ย เจ้านำทหารสิบนายพาคนทั้งหมดออกเดินทางไปยังชายแดนตะวันตกทันที นี่เป็นเงินค่าใช้จ่ายระหว่างทาง รีบไปเสีย” เจ้ากรมอาญามอบตั๋วแลกเงินให้กับรองหัวหน้ากุ่ยหนึ่งร้อยตำลึงเป็นค่าเดินทางไปกลับ
“ขอรับท่านเจ้ากรม พวกข้าจะรีบไปรีบกลับขอรับ” กุ่ยเฟิงรับตั๋วแลกเงินมาเก็บไว้แล้วเลือกทหารคนสนิทอีกสิบคนให้ไปคุมตัวคนในตระกูลไช่ออกเดินทางทันที
เจ้ากรมอาญามองส่งกลุ่มคนจำนวนมากเดินออกจากจวนตระกูลไช่ไปอย่างกังวลไม่น้อย ใช่ว่าเขาไม่เห็นว่าภายในจวนแทบไม่มีของมีค่าเลยสักชิ้น นี่จะใช่ตระกูลที่คิดก่อกบฏจริงหรือ? ตอนนี้เขาได้แต่ต้องกลับไปรายงานฝ่าบาทตามจริง
ข่าวเรื่องไช่ไท่ฟู่แพร่ไปทั่วเมืองหลวงในเวลาไม่นาน องค์ชายรองอย่างเซียงเซียวซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของไช่ไท่ฟู่ไม่อยากจะเชื่อแม้แต่น้อย พระองค์คิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้พระองค์มีพระชนมายุเพียง 10 พรรษาเท่านั้นจึงไม่อาจก้าวก่ายราชกิจของเสด็จพ่อได้ องค์ชายรองคิดถึงเด็กหญิงผู้ร่าเริงและเฉลียวฉลาดซึ่งเป็นบุตรสาวไช่ไท่ฟู่ พระองค์ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นเช่นไรบ้าง
การเดินทางไปยังชายแดนตะวันตกเป็นไปอย่างยากลำบาก มีใครไม่รู้บ้างเล่าว่าที่นั่นเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้น อีกทั้งชายแดนตะวันตกยังแห้งแล้งมากมาตลอดหลายปี แม้แต่ขุนนางที่นั่นยังต้องไปหาซื้อเสบียงยังต่างเมืองเพื่อเลี้ยงดูชาวเมืองมาหลายปี เงินจากราชสำนักยังถูกยักยอกระหว่างทางอยู่ทุกปี ทำให้ราษฎรในพื้นที่แถบนั้นต่างอดอยากปากแห้งและล้มตายจากความอดอยากเป็นจำนวนมากแทบทุกปี
สามเดือนต่อมา
กุ่ยเฟิงมาถึงเมืองชายแดนตะวันตกและส่งมอบนักโทษให้เจ้าเมืองพาพวกเขาไปหาที่อยู่ตามราชโองการ เขายังกำชับไม่ให้ทำร้ายคนเหล่านี้ด้วยเพราะตนเองก็นับถือไช่ไท่ฟู่มาตลอดหลายปี ยิ่งลูก ๆ ของไท่ฟู่ซึ่งยังเด็กนัก เขาเกรงว่าหากมีคนมารังแกฮูหยินกับลูก ๆ จะทำให้เหล่าขุนนางและบัณฑิตที่นับถืออดีตไท่ฟู่ไม่พอใจได้
สองเดือนต่อมาหลังจากหม่าซูใช้เวลาปรึกษาเรื่องลูกสะใภ้กับบุตรสาวและตระกูลอิงนานกว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ในที่สุดนางก็เลือกบุตรีแม่ทัพรักษาเมืองที่เก่งการต่อสู้และยังชอบบุตรชายนางตั้งแต่คราแรกที่ได้พบกัน ถึงแม้นางจะดูซุกซนไปสักหน่อย แต่ความจริงใจและใสซื่อของนางหาได้ยากในหมู่บุตรีขุนนางไช่ซิวหลังจากถูกนางก่อกวนอยู่นานนับเดือน ในที่สุดเขาก็ยอมตกลงแต่งงานกับหลูเซี่ยวเอ๋อจนได้ นั่นเพราะไช่ซิวเพิ่งเคยพบคุณหนูใสซื่อเช่นนี้ครั้งแรกเช่นเดียวกัน อีกทั้งความจริงใจของนางที่มีต่อตนเองซึ่งเขารับรู้ได้ ทำให้เขาไว้ใจที่จะแต่งงานกับนางอย่างไม่รังเกียจงานมงคลสมรสของไช่ซิวนับเป็นงานแรกหลังจากเกิดการกบฏ ทำให้ขุนนางมากมายต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ฮ่องเต้ยังประทานของขวัญแต่งงานให้แก่กั๋วกงหนุ่มของราชสำนักจำนวนมาก ทำเอาขุนนางหลายครอบครัวต่างอิจฉาความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมอบให้ไช่ซิวไม่น้อยไท่จื่อและไท่จื่อเฟยยังเสด็จมางานนี้ด้วยพระองค์เอง นับว่างานแต่ง
ระหว่างที่การต่อสู้ด้านในกำลังดุเดือดเลือดพล่าน แม่ทัพหลัวก็พาทหารฝีมือดีเข้ามาถึงลานจัดงานเลี้ยงและลงมือฆ่าแม่ทัพซัวเถากับพวกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา คนของจูเค่ออี้หมิงเริ่มล้มตายราวใบไม้ร่วง ด้วยความสามารถอันสูงส่งของกองกำลังแม่ทัพหลัว ทำให้พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็สังหารกบฏทั้งหมดในลานจัดเลี้ยงสำเร็จ ส่วนจูเค่ออี้หมิงถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่“กราบทูลฝ่าบาท กบฏทั้งหมดถูกสังหารสิ้นแล้วพะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลัวคุกเข่ารายงานเสียงดังหลังจากจัดการศัตรูจนไม่สามารถต่อสู้ได้อีก“ขอบใจเจ้ามากแม่ทัพหลัว ความดีความชอบของเจ้ากับกองทัพตะวันออกในครานี้ ข้าจะมอบเสบียงและเงินเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกเจ้าทำหน้าที่ปกป้องชายแดนต่อไป สำหรับกบฏที่ยังไม่ตาย ให้จับกุมเข้าคุกหลวงรอวันประหาร ตระกูลจูเค่อซึ่งเป็นผู้นำในการก่อกบฏ ลงโทษประหารเก้าชั่วโคตร ริบทรัพย์ทั้งหมดเข้าคลังหลวง” ฮ่องเต้ตรัสหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง“ฝ่าบาทโปรดพิจารณา กระหม่อมไม่ทราบเรื่อ
“ฮ่า ฮ่า ไม่คิดว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเซียงจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าแคว้นอู่ของเราพาคนมาน้อยหรืออย่างไร กองทัพเล็ก ๆ ของเจ้ามีหรือจะต้านทานคนของพวกเราได้”แม่ทัพซัวเถาชักดาบที่ซ่อนไว้ออกมาทันที รองแม่ทัพอีกสองคนก็เดินตามหลังเขาไปยังหน้าพระที่นั่งของเซียงเหวินเช่นกัน“ฮึ! เราก็นึกว่าใครที่กล้าพูดจาไร้มารยาท ที่แท้ก็แม่ทัพแคว้นอู่ ซัวเถานี่เอง” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรศัตรูทั้งสามอย่างเหยียดหยาม“คุ้มกันฝ่าบาท!!!” ทหารองครักษ์รีบลุกมายืนบังด้านหน้าพระแท่นของฮ่องเต้“ไร้ประโยชน์! คนของข้ากำลังจะเข้ามาที่นี่แล้ว พวกเจ้าหากไม่อยากตายก็รีบหลบไปเสียแต่โดยดี” แม่ทัพซัวเถาเอ่ยอย่างถือดี ด้วยฝีมือของพวกเขาแล้ว องครักษ์หลวงเหล่านี้แทบจะไม่ใช่คู่มือของพวกเขาเลย“หุบปาก! เป็นเพียงแม่ทัพเฒ่าผู้หนึ่ง กลับกล้ามาโอหังถึงแคว้นต้าเซียง” รัชทายาทตรัสอย่างไม่พอพระทัย พระองค์ทอดพระเนตรท่าทางของ
“ท่านมหาเสนาบดีกล่าวผิดแล้ว ข้าแซ่ฟู่ นามหยาง ไม่ใช่คนตระกูลจูเค่อของท่าน”“เจ้าลูกสารเลว!! เจ้ากลับลืมว่าเติบโตมาจากจวนมหาเสนาบดีของข้า” จูเค่อหรงเจี้ยนโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมาเมื่อได้ยิน“ขออภัย ตั้งแต่ข้าแต่งเข้าตระกูลฟู่ พ่อของข้าในตอนนี้คือนายท่านฟู่โจวคนเดียว”ก่อนที่จูเค่อหรงเจี้ยนจะเข้าไปทำร้ายร่างกายฟู่หยาง หัวหน้าของเขาก็ก้าวเข้ามาดักทางเอาไว้เสียก่อน“หลีกไป! ข้าจะสั่งสอนลูกของข้า!!” มหาเสนาบดีตวาดว่า“เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำร้ายลูกน้องข้า เขาก็บอกแล้วว่าแซ่ฟู่ นามหยาง เจ้ายังคิดอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อได้อย่างไรกัน ช่างหน้าไม่อายนัก”จูเค่อหรงเจี้ยนถูกความจริงทำให้โมโหหนักขึ้นไปอีก ขุนนางหลายคนรีบเข้ามาห้ามมหาเสนาบดี อย่างไรพวกเขาก็ยังอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงหลังพิธีแต่งตั้งอยู่จึงไม่อยากทะเลาะกับทหารองครักษ์เหล่านี้
ห้าวันต่อมาจูเค่ออี้หมิงเข้าเมืองหลวงพร้อมทหารแคว้นอู่จำนวนหนึ่ง ส่วนทหารที่เหลืออีกเกือบหนึ่งหมื่นคนซึ่งปลอมตัวเป็นผู้ลี้ภัยถูกกักเอาไว้ภายนอกเมืองหลวงตามรับสั่งของฮ่องเต้ พระองค์ออกราชโองการให้ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ภายนอกเท่านั้น เพราะเมืองหลวงไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัยสงครามจำนวนมากได้เขากลับไปถึงจวนก็ถูกผู้เป็นพ่อเรียกพบด่วน จูเค่ออี้หมิงสั่งให้เตียหย่งพาแม่ทัพซัวเถากับรองแม่ทัพหลายคนไปพักผ่อนที่เรือนรับรองก่อน ส่วนตัวเขาเองก็ไปยังห้องหนังสือที่จูเค่อหรงเจี้ยนนั่งรออยู่“เจ้ารู้ข่าวที่องค์ชายรองกำลังจะเข้ารับตำแหน่งรัชทายาทในอีกสองวันข้างหน้าหรือยังอี้หมิง” จูเค่อหรงเจี้ยนไม่รอให้ลูกชายนั่งดี ๆ แต่กลับรีบถามขึ้นมา“ลูกทราบแล้วขอรับ ท่านพ่อมีสิ่งใดจะสั่งหรือไม่” จูเค่ออี้หมิงไม่คิดจะบอกแผนการของตนเอง เพราะพ่อของเขาจะต้องไม่ยอมให้เขาดำเนินการตามแผนแน่“ข้าวางคนเอาไว้ในงานพิธีแล้ว ร
สองสัปดาห์ต่อมาฮ่องเต้ตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับมหาเสนาบดีและบุตรชาย พระองค์มีรับสั่งให้องค์ชายรองกับไป๋จิ่นหลินเข้าเฝ้าทันที หลังทำความเคารพฮ่องเต้แล้ว ทั้งสองก็นั่งลงที่เก้าอี้ตามรับสั่งของฝ่าบาท“หลักฐานเหล่านี้เราเกรงว่าจะยังไม่เพียงพอ มหาเสนาบดีจะต้องอ้างว่ามีผู้ปลอมแปลงหลักฐานเพื่อใส่ร้ายเขาแน่ อีกทั้งขุนนางเกินครึ่งในราชสำนักยังเข้าข้างเขา”“เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถโค่นตระกูลจูเค่อได้หรือพะย่ะค่ะ” องค์ชายรองขมวดคิ้วมุ่น“ลูกใจเย็นก่อน พ่อคิดว่ามหาเสนาบดีจะต้องเผยตัวออกมาเองแน่หากพ่อมีราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท แต่เจ้าต้องสั่งองครักษ์ให้ดูแลอิงฮวาให้ดีนะ”“แผนการของฝ่าบาทเป็นไปได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งคนไปคอยดูแลตำหนักองค์ชายรองอย่างลับ ๆ เพิ่มเอง” ไป๋จิ่นหลินเห็นด้วยกับความคิดของฮ่องเต้“ขอบใจเจ้ามากนะจิ่นหลิน
댓글