เพียงแต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนอยากจะระบายความโกรธแทนนาง ถึงได้ร่วมมือกับฝ่าบาทแสดงละครฉากนี้ก็เป็นเพราะฮ่องเต้น้อยยังทรงพระเยาว์ ถึงได้ทรงเล่นสนุกไปกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนแต่ในเมื่อคนสกุลเวินมาหานางเพราะเรื่องนี้แล้ว นางจะไม่เก็บดอกเบี้ยสักหน่อยได้อย่างไร?“เจ้ายังกล้าพูดอีก ต้องเป็นเจ้าที่ไปทูลฟ้องอะไรต่อหน้าฝ่าบาท ถึงทำให้เวินเยวี่ยตอนนี้นางถูกขังอยู่ในวัง ออกไปไม่ได้ เจ้า...”อันที่จริง เวินหย่าลี่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่เวินเยวี่ยเข้าวัง เพียงแต่ก่อนหน้านี้ นางมักจะอยู่ข้างพี่ชายของนางเสมอในเมื่อพี่ชายของนางพูดแล้วว่าเวินเยวี่ยไม่สามารถอยู่ในวังได้ ต้องพาเวินเยวี่ยออกไปให้ได้ นางจึงทำได้เพียงทำตามแม้ว่าผลลัพธ์ที่ทำออกมาจะไม่ดีมากนัก แต่ก็เรียกได้ว่า “มีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง”อย่างเช่น ปากของนาง มักจะพูดจาโดยไม่คิดอยู่เสมอ“ชู่”เวินหย่าลี่ยังไม่ทันพูดจบ เวินซื่อก็ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ทำท่าทางให้นางเงียบ“ฮูหยินจงหย่วนโหว คำพูดบางคำพูดมั่วๆ ไม่ได้ คุณหนูหกสกุลเวินอยู่ในวังเพื่อเรียนรู้กฎระเบียบ เพื่อที่จะเข้าวังเป็นพระสนม ตอนนี้ท่านกลับบอกว่านางถูกกักขังอย
“เพียะ!”ในขณะที่เวินหย่าลี่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างบ้าคลั่ง รีบปัดความรับผิดชอบออกจากตัว เวินซื่อก็สะบัดฝ่ามืออย่างไม่ลังเล ตบลงบนใบหน้าของเวินหย่าลี่อย่างแรงตบเสียจนเครื่องสำอางของนางเลอะ แก้มแดงก่ำเวินหย่าลี่เอามือกุมหน้า เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างรวดเร็ว “เวินซื่อ! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ที่นี่คือวังหลวง! เจ้ากล้าตบข้าอีกได้อย่างไร?!”“อย่าว่าแต่ที่นี่เลย ต่อให้อยู่ต่อหน้าไทเฮาและฝ่าบาท วันนี้ข้าก็จะตบหน้าท่าน”เวินซื่อมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เวินหย่าลี่ ในตอนนั้นท่านได้เป็นฮูหยินจงหย่งโหวสมใจ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ประสบความสำเร็จในชีวิต มีความสุขกับชีวิต ตอนนี้ผ่านไปสิบกว่าปี ท่านเคยรู้สึกซาบซึ้งในความดีของท่านแม่ข้าที่มีต่อท่าน? บุญคุณที่มีต่อท่านหรือไม่?”เวินหย่าลี่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปนางอ้าปากค้างเหมือนจะไม่ยอมรับและอยากจะโต้แย้งอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับพูดอะไรไม่ออกสักคำเวินซื่อมองดูท่าทางของนาง ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจแทนท่านแม่ของนาง “ดูเหมือนว่าท่านแม่ของข้าในตอนนั้นจะตาบอด มองคนผิดไปจริงๆ”สายตาที่นางมองเวินหย่าลี่นั้น ก็เหมือนขาดแค่ด่าทอว่า “คนเนรคุณ” ออก
จู่ๆ เวินซื่อก็หัวเราะออกมาเสียงหัวเราะนั้นเย็นชาเหลือเกินเย็นชาจนทำให้เวินหย่าลี่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีชั่วขณะหนึ่ง ในใจของนางเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมานางหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรต่อ“เอาละๆ ข้าจะไปดูเวินเยวี่ยแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากไป ข้าไปเองก็ได้ เจ้าไปเถอะ ”ตอนนี้เวินหย่าลี่ก็ไม่กล้าพาเวินซื่อไปพบเวินเยวี่ยแล้วหากไม่ใช่เพราะพี่ชายของนาง ป่านนี้นางคงหันหลังกลับไปแล้วเวินซื่อมองนางอย่างเฉยเมย ไม่ได้พูดอะไรในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้ามั่นคงและทรงพลังดังมาจากข้างหน้าเวินหย่าลี่เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่รู้ตัว แต่พอเห็นก็เกือบจะตกใจจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง“อ๊า! เลือด! เลือดเยอะมาก!”คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเป่ยเฉินหยวนที่เข้ามาในวังพร้อมกับเวินซื่อเมื่อครู่เขาหายตัวไป ตอนนี้ปรากฏตัวขึ้น บนใบหน้า มือ และเสื้อผ้าล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดราวกับเพิ่งจะฆ่าคนเสร็จในสถานที่เกิดเหตุดูเหมือนว่าจะเป็นเลือดสดๆ ด้วยเนื่องจากตอนที่เป่ยเฉินหยวนเดินออกมา ก็ยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปด้วย เมื่อเช็ดเสร็จแล้วผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดก็เปียกชุ่มไปด้วยเลือดเป่ยเฉินหยวน
“เป็นไปไม่ได้ เวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนพวกเขาจะกล้าได้อย่างไร?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งแสดงความตกตะลึงและเคลือบแคลงใจ จากนั้นก็หันไปมองเวินหย่าลี่ แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าแน่ใจนะว่าเห็นกับตาตัวเอง?”เวินหย่าลี่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในรถม้า เมื่อได้ยินคำถามของเวินเฉวียนเซิ่ง นางไม่กล้าบอกว่าตอนนั้นนางตกใจกลัว จนวิ่งหนีออกไปจึงตอบอย่างคลุมเครือด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “แน่นอนว่าเห็นกับตาสิ! เพียงแต่ว่า...แต่ว่าเลือดเยอะเกินไป ข้าไม่กล้าเข้าไปยืนยัน ก็เลยไม่รู้ว่า...ไม่รู้ว่าตายจริงหรือไม่”“เจ้า!”เวินเฉวียนเซิ่งโกรธมาก ยกมือขึ้นชี้ไปที่นางแล้วกล่าวว่า “นั่นหลานสาวแท้ๆ ของเจ้า! เจ้าทิ้งนางแล้ววิ่งหนีไปอย่างนั้นหรือ?!”“ข้าก็กลัวว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนนั่นจะฆ่าข้าด้วยน่ะสิ!”เวินหย่าลี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยมีเหตุผลแต่ก็เสียงดัง “ถ้าข้าถูกฆ่าไปด้วย ท่านก็ขาดน้องสาวแท้ๆ ไปอีกคนมิใช่หรือ!”“ฆ่าอะไรกัน! เป่ยเฉินหยวนนั่นไม่กล้าฆ่าเจ้าหรอก! เจ้าเป็นฮูหยินของจวนจงหย่งโหว ทั้งยังเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้าเจิ้นกั๋วกง ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ทำผิดร้ายแรง ต่อให้เป่ยเฉินหยวนเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราช
อย่างไรเสียคนในราชสำนักจำนวนมากต่างรู้ว่า เป่ยเฉินหยวนมีโรคประจำตัวชนิดหนึ่ง ทุกครั้งที่โรคกำเริบ เขาก็จะเสียสติ กลายเป็นคนบ้าคลั่งทำร้ายคนรอบข้างหมอหลวงบอกว่าโรคนี้เป็นเพราะฆ่าคนในสนามรบมากเกินไปจึงทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน ดังนั้นฝ่าบาทจึงมีรับสั่งห้ามมิให้ผู้ใดพูดถึงเรื่องนี้ และผู้ที่บังอาจล่วงเกินขุนนางผู้มีความดีความชอบเพราะเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะถูกประหารชีวิตโดยไม่มีข้อยกเว้นดังนั้น นอกจากคนในราชสำนักแล้ว คนภายนอกจึงมีน้อยคนที่รู้ว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่าผ่าเผยท่านนี้ แท้จริงแล้วเป็นคนบ้าเวินเฉวียนเซิ่งอดกังวลไม่ได้ว่า หากเป่ยเฉินหยวนนั่นจู่ๆ เกิดโรคกำเริบขึ้นมาในตำหนักฉือหนิงของไทเฮา...ไม่ หรืออาจจะไม่ใช่โรคกำเริบจริงๆแต่เป็น “ลูกสาวผู้แสนดี” ของเขาที่สมรู้ร่วมคิดกับเป่ยเฉินหยวน อยากจะใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างเพื่อกำจัดเยวี่ยเอ๋อร์!เวินเฉวียนเซิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากเพราะเขารู้ว่าตอนนี้เวินซื่อเกลียดเวินเยวี่ยมากตั้งแต่ตอนที่เยวี่ยเอ๋อร์ไปยุ่งกับศพของหลานจื่อจวิน ระหว่างลูกสาวทั้งสองคนของเขา ก็กลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่จบไม่สิ้นจนกว
เวินเฉวียนเซิ่งที่ได้ยินคำพูดนี้ชะงักฝีเท้าลง แล้วหันศีรษะกลับมาจ้องมองเวินซื่อด้วยสายตาเฉียบคม“เป่ยเฉินหยวนล้มป่วยลงแล้วใช่ไหม?”เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เร่งรีบ “ดังนั้นตอนนี้เขาถึงมาอยู่ที่นี่”เวินซื่อคิดในใจ: เป็นไปดังคาด เวินเฉวียนเซิ่งก็รู้เรื่องอาการป่วยของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเช่นกันดังนั้นจึงนั่งไม่ติดและวิ่งมาหานางเช่นนี้อันที่จริง เมื่อวานนี้เวินซื่อขอให้เป่ยเฉินหยวนช่วยนางแสดงละครฉากหนึ่ง ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งคิดว่าเวินเยวี่ยเกิดเรื่องขึ้นในตำหนักฉือหนิง กระตุ้นให้เขามาหาถึงเรือนด้วยตัวเองแต่พอนางพูดไปเช่นนั้น เป่ยเฉินหยวนก็เสนอวิธี “แกล้งบ้า” ขึ้นมาทันที“เจิ้นกั๋วกงรู้เรื่องอาการป่วยของข้า ดังนั้นขอเพียงทำให้เขาคิดว่าข้าคลุ้มคลั่งในตำหนักฉือหนิงจริง ๆ เขาก็จะนั่งไม่ติด”เดิมทีเวินซื่อไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะถึงอย่างไรหากเรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต ต่อไปทุกคนก็จะรู้เรื่องความเจ็บป่วยของเป่ยเฉินหยวนแต่เป่ยเฉินหยวนกลับบอกว่า “ท่านคิดว่าคนพวกนั้นไม่รู้หรือ? พวกเขาแค่ไม่กล้าพูดเท่านั้น”เมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางผู้สร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติแห่งราชวงศ์หมิงผู้นี้ ใ
“เขาก็คือเจิ้นกั๋วกงผู้นั้นใช่ไหม?”“เขานั่นแหละ เมื่อก่อนตอนที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์สวดขอพรให้แว่นแคว้นที่เมืองหลวงข้าเคยเห็นมาก่อน เขาก็คือเจิ้นกั๋วกงที่ขับไล่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราออกจากบ้าน ซ้ำยังตัดชื่อออกจากลำดับเครือญาติเพื่อสนับสนุนลูกสาวนอกสมรสของเขา”“เอ๋? แต่ทำไมข้าได้ยินมาว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ทนความลำเอียงของจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ไหวถึงได้ออกมา?”“เฮ้อ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ถึงอย่างไรคนของจวนเจิ้นกั๋วกงก็รังแกธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา เรื่องเมื่อก่อนนั้นพวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือ? คุณชายคนหนึ่งจากจวนเจิ้นกั๋วกงถึงกับบุกเข้าไปในอารามสุ่ยเยว่และทุบตีธิดาศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าธารกำนัล เพื่อแก้แค้นให้ลูกสาวนอกสมรส!”“โอ้สวรรค์ เป็นคนอย่างไรกันนะ ทุบตีน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองเพื่อน้องสาวที่เป็นลูกนอกสมรส”“เชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ”“ฉวยโอกาสรังแกธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเราในขณะที่ท่านอ๋องไม่อยู่ ไม่สนใจว่าพวกเรามากมายเช่นนี้จะเห็นด้วยหรือไม่!”คนที่ได้ยินว่าเวินเฉวียนเซิ่งเข้ามาข่มขู่เวินซื่อก่อนหน้านี้พากันเอ่ยอย่างโกรธเคือง“อย่าคิดว่าท่านเป็นเจิ้นกั๋วกงแล้วพวกข้าจะเกรงกลัวท่าน!”“หากวันนี้ท
ประโยคนี้ที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม กินเวลานานถึงสองชั่วอายุคนจากชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้พูดออกมานางมองไปยังคนตรงหน้าที่เคยสูงใหญ่สง่างามในสายตาของนาง การแสดงออกทางสายตาได้เปลี่ยนไปจากความชื่นชมศรัทธาไปเป็นความเกลียดชังในวันนี้“ตบนางแล้ว...เจิ้นกั๋วกงตบนางแล้ว...”“เจิ้นกั๋วกงตบธิดาศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ?!”“คุณพระ! ธิดาศักดิ์สิทธิ์!”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?!”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์รีบไปทางด้านหลัง รีบไปซ่อนตัวไว้!”บรรดาประชาชนในร้านขายยาต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา รีบกรูกันเข้าไป ปกป้องเวินซื่อให้อยู่ทางด้านหลังบรรดาผู้ดูแลที่อยู่ในร้านขายยาต่างมองดูเวินเฉวียนเซิ่งอย่างระแวดระวัง “ท่านเจิ้นกั๋วกง วันนี้ร้านขายยาของเราปิดรับลูกค้าแล้ว เรียนเชิญท่านออกไป!”“หากท่านไม่พอใจพวกเรา ก็ไปหานายของพวกเราได้ตามสบาย นายของเราคือหนิงหย่วนโหวแห่งลู่โจวเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เวินเฉวียนเซิ่งก็เหลือบมองผู้ดูแลร้านขายยาผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าในที่สุดหนิงหย่วนโหวแห่งลู่โจว เป็นบุคคลโหดเหี้ยมที่อาศัยความเป็นสถานที่ไกลปืนเที่ยงอย่างแท้จริง ทั้งยังควบ
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม