“เพล้ง!”ทันทีที่เวินฉางอวิ้นก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ก็ได้ยินเสียงถ้วยชาถูกขว้างแตกอย่างแรงเขารีบเดินเข้าไป ก็เห็นน้องชายที่เมื่อเช้ายังรับปากกับเขาว่าจะรออยู่ในเรือนดี ๆ ตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบิดาน้ำชาสาดกระเซ็นอยู่ตรงหัวเข่า ดูจากเศษแก้ว ก่อนที่เขาจะมาถึง ถ้วยชาน่าจะแตกไปหลายใบแล้วเวินเฉวียนเซิ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งสูง สองตาหรี่ลงเล็กน้อยในขณะที่มองดูเขา น้ำเสียงแฝงความโกรธเอาไว้“เวินจื่อเฉิน พ่อจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าพูดมา เจ้าต้องการค้นหาอะไรในห้องหนังสือของพ่อกันแน่?”เวินจื่อเฉินคอตก นิ่งเงียบไม่พูดจาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ ไม่ใช่สิ ควรจะบอกว่าตั้งแต่เขาถูกจับได้จนถึงตอนนี้ เขาไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียวแม้ว่าเวินเฉวียนเซิ่งจะคาดคั้นเขาอย่างไร เขาก็ยังมีสีหน้านิ่งเฉย และไม่พูดไม่จาเหมือนกันเวินเฉวียนเซิ่งเห็นแล้วความโกรธก็ยิ่งทวีขึ้นทันที “ดี ในเมื่อเจ้าทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อย ก็อย่าหาว่าพ่อไม่เกรงใจเจ้า”“เด็ก ๆ ไปเชิญกฎประจำตระกูลมา!”เวินฉางอวิ้นที่ยืนอยู่ที่ประตูพอได้ยินคำนี้ก็ยืนเฉยไม่ไหวแล้วเขาเดินเข้าไปพูดห้ามปรามทันที “ช้าก่อน ท่านพ่อ ตรงนี้อาจ
เขาถามขึ้นมาตรง ๆแต่ใครจะรู้ว่า เวินจื่อเฉินที่ยังอ้าปากพูดอยู่เมื่อครู่ได้หุบปากแข็ง ๆ ของเขาลงอีกครั้งแล้วซ้ำยังหันหน้าไป ทำสีหน้าว่า “ท่านไม่ต้องถาม ข้าไม่บอก”เวินฉางอวิ้นทนไม่ไหวในทันที จ้องเขม็งใส่น้องชายของเขาคนนี้อย่างดุดัน “ได้ๆๆ ถ้าเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด”“แต่นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่บอกให้เจ้าพูดอย่างไรเจ้าก็พูดอย่างนั้น ห้ามต่อปากต่อคำกับท่านพ่ออีกต่อไป”เวินจื่อเฉินอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เวินฉางอวิ้นดึงใบหูของเขาทันที ดึงจนเวินจื่อเฉินรู้สึกเจ็บ “จะฟังไม่ฟัง? เจ้าจะฟังหรือไม่ฟัง?”“ฟัง ๆ ๆ!”หลังจากเวินจื่อเฉินลิ้มรสความเจ็บปวดแล้วก็รีบตอบตกลง “ข้าจะเชื่อฟังคำพูดของท่านพอใจแล้วใช่ไหม ดังนั้นพี่ใหญ่ท่านปล่อยหูข้าได้หรือยัง?!”“ถ้าไม่สั่งสอนเจ้าเสียบ้าง เจ้าก็ไม่เห็นพี่ใหญ่อย่างข้าอยู่ในสายตาเลย”แต่เวินฉางอวิ้นไม่ได้ปล่อยหูของเขาทันที ทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา แล้วกดเสียงต่ำพูดอะไรบางอย่างกับเขาเบา ๆไม่นานหลังจากนั้น เสียงฝ่ามือ “ผัวะ” ก็ดังขึ้นในมุมนั้นหลังจากนั้น สองพี่น้องทั้งสองก็เดินออกมาจากด้านในเวินเฉวียนเ
“ก็ไม่ใช่เพราะท่านพ่อหรอกหรือ ตอนที่ข้าออกจากจวนเจิ้นกั๋วกง ในตัวไม่มีสักสตางค์เดียว เดิมทีคิดว่าท่านพ่อใจแคบเช่นนี้ จะยอมรับเงื่อนไขของน้องห้าได้จริง ๆ อย่างไร?”เวินจื่อเฉินก็กล่าวเหน็บแนมในทันใดคำพูดของเขายั่วโมโหเวินเฉวียนเซิ่งขึ้นมาทันที“บังอาจนัก!”เวินเฉวียนเซิ่งทุบโต๊ะ จ้องมองอย่างเวินจื่อเฉินอย่างโกรธเคือง...“เวินจื่อเฉิน นี่คือท่าทีที่เจ้าใช้พูดกับพ่อหรือ?”เวินจื่อเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “ไม่เช่นนั้นท่านพ่ออยากให้ข้าใช้ท่าทีอย่างไรกับท่านหรือ?”“เจ้า...!”เวินเฉวียนเซิ่งถูกเวินจื่อเฉินยั่วโมโหจนมึนหัว ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อไปชั่วขณะหนึ่งแต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังเป็นความโกรธเคืองของเวินเฉวียนเซิ่ง“ดี เจ้าช่างกล้าพูด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากเจ้าทำอะไรผิด ก็สมควรถูกลงโทษ”เวินเฉวียนเซิ่งเบื่อจะพูดจาไร้สาระกับลูกเนรคุณคนนี้อีกต่อไป จึงหันกลับไปสั่งการว่า “ไปเอากฎประจำตระกูลมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”ใครจะรู้ว่าทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เวินจื่อเฉินจะโต้เถียงอย่างไม่กลัวเกรงอีกครั้งกฎประจำตระกูลอะไร? ท่านเจิ้นกั๋วกงคงไม่ได้ลืมไปแล้วใช่ไหมว่า ข้าเวินจื่อเฉินไม่ใช่คนของจวนเจิ้นกั๋
“ได้ยินแล้วหรือยัง?”เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยปากอย่างเย็นชา “น้องรองของเจ้าเติบโตมาในวันนี้ ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ปรารถนาจะโบยบินออกไปข้างนอก เจ้ายังจะพูดอะไรแทนเขาอีก?”“แต่ว่า...”เวินฉางอวิ้นยังต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในขณะนี้เวินจื่อเฉินได้ดึงเขาไว้“พี่ใหญ่ พอแล้ว!”เวินจื่อเฉินกัดฟันพูดว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากให้ข้าจากไป แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ”ขณะที่เขาพูดประโยคสุดท้าย ความผิดหวังและความเจ็บปวดในสายตาของเขาได้ทิ่มแท่งหัวใจของเวินฉางอวิ้นอย่างลึกซึ้งในชั่วพริบตานั้น เวินฉางอวิ้นดูเหมือนจะสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไปเขาคอตกอย่างหมดแรง พลางหลับตาลง“เอาล่ะ..ไปเถอะ ไปเถอะ...”ไปเถอะเวินฉางอวิ้นพูดช้า ๆ ในน้ำเสียงแฝงความสะอื้นไว้เขาขอร้องแกมบังคับใช่แล้ว ตัวเขาเองก็ผิดหวังกับครอบครัวนี้มาก อย่าว่าแต่น้องชายที่ตื่นรู้ก่อนใครตอนนี้สำหรับเขาแล้ว อยู่ข้างนอกยังดีกว่าอยู่ในบ้านเสียอีกดังนั้นก็ช่างมันดีกว่าควรไปก็ไปเถอะ“ท่านพ่อ ครั้งนี้ลูกจะขอร้องท่าน ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าลงโทษเขาเลย”เวินฉางอวิ้นก้มหัวให้เวินเฉวียนเซิ่งพลางเอ่ยขึ้นเวินเฉวียนเซิ่งมองไปที่ลูกชายคนโตของ
“อืม ส่งน้องรองของเจ้าไป ตัวเองอยู่รับโทษ ความผูกพันพี่น้องพวกเจ้าช่างลึกซึ้งนัก”เวินเฉวียนเซิ่งหยิบแส้ขึ้นมาจากโต๊ะเขียนหนังสือ เดินไปหาเวินฉางอวิ้นทีละก้าว สุดท้ายก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขา มองลงมาจากตำแหน่งสูงกว่า“ที่ผ่านมาพ่อสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดี”เวินฉางอวิ้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เขารู้ว่าตัวเองจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไป แต่เขาก็ไม่ปริปากบ่นเลยอย่างน้อยก็ส่งน้องรองไปแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะโดนดุด่าหรือโดนทุบตี ก็มาลงที่ตัวเขาคนเดียวก็แล้วกันทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ความปวดแสบปวดร้อนก็ส่งลงมาที่ตัวเขาในทันใด“เพียะ!”เวินเฉวียนเซิ่งสะบัดแส้ใส่ตัวเขาอย่างไม่ปรานีเขามองดูลูกชายคนโตที่ทำให้เขาผิดหวังด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางเอ่ยอย่างเย็นชา “แต่พ่อก็เคยสอนเจ้าว่า ให้ดูแลน้องชายน้องสาวของเจ้าให้ดี การสั่งสอนพวกเขาให้ดีก็เป็นหน้าที่ของเจ้าในฐานะพี่ชายคนโต แต่ตอนนี้เจ้าลองมองดูสิ คนนั้นคนนี้ปีกกล้าขาแข็ง ไม่เห็นครอบครัวนี้อยู่ในสายตาอีกแล้ว นึกจะไปก็ไป ซ้ำยังกล้าโต้แย้งพ่ออีก นี่น่ะหรือสิ่งที่เจ้าสั่งสอน?”เวินฉางอวิ้นคุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน นิ่งเงียบไม่พูดจาเวินเฉวียนเซิ่งเห็นเขา
สุดท้ายเวินฉางอวิ้นก็ไม่ได้ถามออกไปเป็นเพราะได้ผ่านช่วงเวลาหลายวันนี้มา ที่จริงในใจเขาก็ได้คำตอบแล้วและเพราะคำตอบนั้น เขาถึงได้หลบซ่อน หลีกหนีมาตลอดแต่ตอนนี้เขาไม่อาจหลบเลี่ยงได้อีกต่อไป“...ขอครับ ข้าเข้าใจแล้ว”ท้ายที่สุดเวินฉางอวิ้นก็ชักเท้าออกจากห้องหนังสือไป พร้อมรอยแผลหลายรอยบนหลังหลังกลับมาถึงเรือนเล็ก อันเซิ่งที่เห็นว่าบนตัวเขามีเลือดออกก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันใด“คุณชายใหญ่นี่ท่านโดนอะไรมา?!”“ท่านรีบเข้ามานอนเร็วขอรับ บ่าวจะไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้!”อันเซิ่งหันหลังกำลังจะออกไปตามคน“ไม่ ไม่ต้องตามหมอหรอก”เวินฉางอวิ้นหยุดเขา แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แค่แผลจากแส้ไม่กี่รอยเท่านั้น ไม่ต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เอายาในกล่องยามาทาสักหน่อยก็พอแล้ว”ในความคิดของเขา มันไม่ถึงขั้นต้องไปตามหมออะไรมาจริง ๆอย่างไรเสียเมื่อเทียบกับห้าสิบแส้ที่เขาฟาดน้องหญิงตนไปในคืนนั้น นี่แค่เล็กน้อยไม่กี่แส้ ไม่สลักสำคัญอะไรเลยจริง ๆแต่ในมุมมองของอันเซิ่ง กลับไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กเลยสักนิดก่อนหน้าบนตัวคุณชายใหญ่ยังไม่มีแผลเลยแท้ ๆ นี่ออกจากเรือนเล็กไปแค่ครู่เดียว ตัวเขาก็
จะว่าไปแล้ว เมื่อคืนตอนพบสมุดบัญชีเล่มนั้น หากเขาฉลาดกว่านี้สักหน่อย ไม่คืนมันกลับไปอย่างไร้สติ แต่เอามันมาเสียด้วยเลยก็น่าจะยิ่งดีเวินจื่อเฉินคิดเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะจัดการกับสมุดบัญชีเล่มนั้นเช่นไรสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสมุดบัญชีเล่มนั้น คือความลับระหว่างท่านพ่อกับสกุลหลานเขาได้รู้มาจากปากของพ่อบ้านสกุลหลาน ว่าท่านพ่อนิ่งดูดายในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับฝั่งบ้านตาแต่ตอนที่เขาเห็นสมุดบัญชี สิ่งที่เขาสงสัยยิ่งไปกว่านั้นก็คือปีนั้นท่านพ่อคงไม่ได้แค่วางตัวเฉยเมยเป็นไปได้สูงว่าเขาทำอย่างอื่นลงไปด้วย และสมุดบัญชีเล่มนั้นก็อาจเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งดังนั้นหลังจากครั้งนั้น เวินจื่อเฉินจึงได้กลับไปยังห้องหนังสือของเวินเฉวียนเซิ่งอีกครั้ง หวังจะลอบขโมยสมุดบัญชีออกมาน่าเสียดายที่แผนการล้มเหลวทว่าโชคดีที่พี่ใหญ่รวมหัวช่วยเขากลบเกลื่อนไปได้แต่ตอนนี้เขาควรจะทำเช่นไรต่อดีเล่า?เวินจื่อเฉินที่เก็บความกลัดกลุ้มไว้ในใจถอนสายตากลับ และท้ายที่สุดก็ออกเดินทางไปยังภูเขาหนานด้วยใจกังวลเวินจื่อเฉินเพิ่งจากไปได้ไม่เท่าใด ก็มีเงาคนหลายร่างสะกดรอยตามเขาไ
หลังจากที่เวินจื่อเฉินเก็บเสื้อผ้าและถุงเงิน พรวดออกจากป่าไป เป่ยเฉินหยวนก็เดินออกมาอย่างเนิ่บช้าเกาเย่าที่อยู่หลังเขาเดินไปข้างหน้าและเอื้อมมือไปหยิบดาบใหญ่เล่มนั้นที่ปัดดาบบินออกไปในตอนแรก“ท่านอ๋อง เหตุใดเราไม่ลงมือกับองครักษ์ลับพวกนั้นไปเสียเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ ดูปวกเปียกเพียงนั้น คงสู้เราไม่ได้สักคน”เกาเย่ากล่าวอย่างภาคภูมิเป่ยเฉินหยวนเหลือบมองเขาอย่างเฉยชาความรังเกียจในแววตาของเขาทำให้เกาเย่าหุบปากในทันทีเอาเถอะ ในใจท่านอ๋องจะต้องรังเกียจที่เขาตัวใหญ่แต่สมองน้อยอีกแล้วเป็นแน่ฮึ!อย่าคิดว่าเขาดูไม่ออกเป่ยเฉินหยวนคร้านจะดุด่าเจ้าหมอนี่ เขาเพียงจับคางครุ่นคิดดูท่าแผนของอู๋โยวจะเป็นไปด้วยดี ตอนนี้เจ้ารองของสกุลเวินคงจะแตกหักกับบิดาของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว และเขาก็น่าจะทำอะไรบางอย่างลงไปด้วย มิเช่นนั้นเวินเฉวียนเซิ่งนั่นก็คงไม่ส่งองครักษ์ลับมาหยั่งเชิงเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เป่ยเฉินหยวนที่เป็นกังวลขึ้นมาทันใด จึงออกสั่ง “ช่วงนี้ส่งคนไปเพิ่มสักหน่อย จับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนเจิ้นกั๋วกง แล้วก็เฝ้าดูคนที่ลอบเข้าออกอารามสุ่ยเยว่พวกนั้นด้วย”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องโปรดวางใจ!”เรื
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม