“คุณหนูคิดจะทำเช่นไรขอรับ? จะให้บ่าวไปซื้อที่ดินเพิ่มหรือไม่?”พ่อบ้านหลานยืนอยู่ข้างกันเพราะเขาเองก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงรีบตามหลินจื่อฟูมาอารามสุ่ยเยว่พร้อมกัน เพื่อดูว่าเวินซื่อจะทำอย่างไรต่อไปเวินซื่อส่ายหน้า “ไม่ ไม่ต้องไปซื้อแล้ว พวกเขาอยากซื้อก็ปล่อยให้พวกเขาซื้อเถอะ เรื่องนี้พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น พ่อบ้านหลานรู้สึกดีใจไม่น้อยคุณหนูของเขาฉลาดจริงๆแต่หลินจื่อฟูกลับไม่เข้าใจ “หืม? ทำไม? หากปล่อยให้พวกเขาซื้อไปจนหมด แล้วพวกท่านจะทำอย่างไร?”เรื่องนี้พ่อบ้านหลานช่วยอธิบายแทนเวินซื่อ เขายิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น “อำนาจที่อยู่เบื้องหลังที่นาที่ดินละแวกเหมืองหลวงล้วนไม่ธรรมดา ความซับซ้อนวุ่นวายในนั้นเปรียบได้กับอำนาจที่สลับซับซ้อนในราชสำนัก เบื้องหลังของที่ดินแต่ละแห่งอาจเป็นขุนนางในราชสำนักท่านหนึ่ง อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ส่วนผู้ที่เหล่าขุนนางบุ๋นสนิทชิดเชื้อมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเจิ้นกั๋วกงท่านนั้นที่ไม่มีใครเทียบได้”เมื่อหลินจื่อฟูได้ยิน พลันเข้าใจทันทีบิดาท่านนั้นของธิดาศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นผู้นำขุนนางฝ่ายบุ๋นขุนนางฝ่ายบุ๋
อาจารย์ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมานานขนาดนี้ ยังไม่มีใครพบฐานะที่แท้จริงของท่าน เห็นได้ชัดว่าท่านไม่อยากให้ใครรู้ดังนั้นนางจะเปิดเผยฐานะของอาจารย์ไม่ได้แต่หลินจื่อฟูกลับยืนยันว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ตาฝาด“ต้องเป็นตัวอักษรปีศาจแน่นอน! เมื่อครู่ข้ามองเห็นแล้ว!”ห่อเข็มประเภทนี้ เมื่อก่อนเขาเคยเห็นบนตัวคนคนหนึ่งเท่านั้นนั่นก็คือห่อเข็มของหมอปีศาจ!เมื่อเผชิญกับสายตาขึงขังของหลินจื่อฟู เวินซื่อได้แต่เสแสร้งแกล้งทำ “ไม่มีจริงๆ ท่านตาฝาดไปเอง หากไม่เชื่อเดี๋ยวข้าเอาให้ท่านดู”นางเบี่ยงตัวเล็กน้อยบดบังการมองเห็นของหลินจื่อฟู แล้วยื่นมือไปที่กล่องยา จากนั้นรีบนำห่อเข็มของตัวเองออกมาจากมิติ สลับกับห่อเข็มที่มีตัวอักษรคำว่าปีศาจจากนั้นแกล้งทำท่าเหมือนเอาออกมาจากกล่องยา ให้หลินจื่อฟูดู “ท่านดูสิ ภายในกล่องยาของข้า มีเข็มเพียงสองห่อเท่านั้น ไม่มีตัวอักษรใช่หรือไม่?”อมิตตาพุทธ คนออกบวชไม่โป้ปด สรุปตอนนี้นางโกหกอีกแล้ว บาปกรรม บาปกรรมหลินจื่อฟูก้มหน้ามองดูเข็มเงินทั้งสองห่อพบว่าไม่มีตัวอักษรจริงหลินจื่อฟูตะลึงทันที “หรือว่าข้าจะตาฝาดไปจริงๆ?”แต่ทั้งที่เมื่อครู่เขามองเห็นตัวอักษรคำ
“เจ้าค่ะ อาจารย์”ในไม่ช้าเวินซื่อออกเดินทางอีกครั้งฉางเสี่ยวหานย่อมตามธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกไปพร้อมกันโดยไม่ลังเลทั้งสองขึ้นไปบนรถม้ารถม้าคันนี้เป็นคันที่ก่อนหน้านี้เป่ยเฉินหยวนเปลี่ยนให้นางมีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับให้พวกนางทั้งสองคนนั่งในไม่ช้ารถม้าขับมุ่งหน้าลงจากเขาระหว่างทางขณะที่ผ่านกระท่อมหลังหนึ่ง เวินซื่อหันมองอย่างลืมตัว ทว่ากลับไม่เห็นบางคนหลังนางรู้สึกตัวว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ ต่อมาจึงขมวดคิ้วพร้อมเก็บสายตากลับมา“เสี่ยวหาน ขับเร็วหน่อย วันนี้พวกเราต้องรีบกลับ”“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นธิดาศักดิ์สิทธิ์นั่งให้ดีนะเจ้าคะ!”เพียงไม่นานรถม้าออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็วจิตใจที่สับสนเล็กน้อยของเวินซื่อก็กลับมาสงบลง แล้วจากมาพร้อมกับรถม้าหลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง รถม้าของพวกเวินซื่อมาถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็วตามคาดเวินซื่อไปถึงที่ทันทีหลังเคาะประตูใหญ่จวนจงหย่งโหวเสียงดัง ภายในมีร่างหนึ่งปรากฏ เป็นคนเฝ้าประตูของจวนจงหย่งโหว“ใครนะ? มาหาใครหรือ?”เวินซื่อเอ่ยขึ้น “มาหาชุยซื่อจื่อกับใต้เท้าจงหย่งโหว”เดิมทีควรไปหาเวินหย่าลี่ก่อน แต่น่าเสียดายที่เวินซื่อไม่อยากเห็นเวิ
“พูดจาเหลวไหล! ลูกชายข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เขา...”เวินหย่าลี่เตรียมเอ่ยปากอยากโต้แย้งแทนลูกชายอย่างลืมตัว สรุปกลับถูกเวินซื่อพูดขัดขึ้นเสียก่อน“ใช่ เขาไม่ทำ เขาก็แค่ทำเรื่องลักขโมยเล็กน้อยใส่ร้ายป้ายสีนิดหน่อย อย่างเช่นขโมยเอายาหยกหิมะของฮูหยินจงหย่งโหวไป แล้วใส่ร้ายข้า ใช่หรือไม่?”สีหน้าเวินซื่ออมยิ้ม แววตาเย้ยหยันอย่างมากทำให้ใบหน้าเวินหย่าลี่แดงเถือกทันใดแดงเพราะความโกรธ“ขโมยของอะไรกัน นั่นเป็นยาหยกหิมะของข้า ลูกชายนำสิ่งของของแม่ไปใช้เท่านั้น จะถือว่าลักขโมยได้อย่างไร?”“ใช่ ถูกต้อง แค่เอาไปให้คนอื่นใช้เท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลยสักนิด เพราะฉะนั้นขอแค่ฮูหยินจงหย่งโหวท่านพอใจก็ดีแล้ว”นางจะพอใจได้อย่างไร!เวินหย่าลี่โกรธจนหน้าดำคร่ำเครียดใครจะไปรู้ ในยามที่นางรู้ว่าลูกชายปิดบังตัวเอง นำยาหยกหิมะทั้งหมดของนางไปเอาใจเวินเยวี่ย ในใจของนางเจ็บปวดมากเพียงใด!ในใจของนางกำลังหลั่งเลือดนั่นมันยาหยกหิมะขวดใหญ่สามขวดเชียวนะ ลูกชายของนางไม่เก็บไว้ให้นางแม้แต่ขวดเดียวทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้เวินหย่าลี่ปวดใจอย่างมากเดิมทีเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ นางเกือบจะลืมไปแ
“เข้าไปคุยธุระคงไม่จำเป็น เกิดจวนจงหย่งโหวมีสิ่งใดหายไปอีก เกรงว่าคงต้องโทษว่าเป็นความผิดของข้า”คำพูดนี้เวินซื่อตอบจงหย่งโหว แต่เหน็บแนมเวินหย่าลี่ รวมถึงชุยเส้าเจ๋อที่ยืนละอายใจอยู่ข้างกันต่อมาเมื่อเวินซื่อพูดจบ หันหลังแล้วพูดต่อ “แต่เรื่องบางอย่างข้าจำเป็นต้องพูดให้จงหย่งโหวและฮูหยินของเจ้าเข้าใจชัดเจน”จงหย่งโหวเองก็คลับคล้ายคลับคลาได้ยินบางอย่าง จึงขมวดคิ้ว แล้วมองเวินหย่าลี่อย่างตักเตือนแวบหนึ่งเวินหย่าลี่รีบหุบปากทันทีเมื่อเห็นเวินซื่อไม่ยินดีที่จะก้าวเข้าไปในจวนจงหย่งโหวของพวกเขา จงหย่งโหวได้แต่ถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างจนใจ “ได้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์เชิญพูดมาเถอะ”“เมื่อครู่ใต้เท้าจงหย่งโหวก็ได้ยินที่ข้าพูดแล้ว ที่ข้ามาเพื่อต้องการคืนของหมั้นหมายให้ชุยซื่อจื่อเท่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่สามารถนำมาคืนให้ เพราะสิ่งของนั้นถูกชุยซื่อจื่อทำลายไปแต่แรกแล้ว เนื่องด้วยหลายวันมานี้มีคนไปค้นหามาให้ข้า ข้าเลยนำมาส่งคืน”“เพราะฉะนั้นขอให้ฮูหยินจงหย่งโหวอย่าเอาปัญหาทั้งหมดมาใส่ร้ายข้า ลองดูก่อนเถอะว่าลูกชายตัวดีของท่านเป็นคนเยี่ยงไรจะดีกว่า”“เจ้า!”“อย่าลนลาน ข้ายังพูดไม่จบ”เวินหย่าลี่เบ
ช่างน่าเสียดายบุพเพสันนิวาสที่ดีเช่นนี้จงหย่งโหวลอบถอนหายใจอีกครั้ง“ไม่ต้องหรอก ข้าน้อยเชื่อคำพูดของธิดาศักดิ์สิทธิ์”เด็กที่ดีขนาดนี้ น่าเสียดายที่ลูกชายของเขาไม่คู่ควรจงหย่งโหวเก็บซ่อนความรู้สึกสับสนไว้ในใจ จากนั้นเอ่ยกับชุยเส้าเจ๋อ “ยังไม่ขอขมาธิดาศักดิ์สิทธิ์อีก”การทำลายของหมั้นหมายระหว่างการหมั้นหมายเช่นนี้ ถือเป็นการดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นมากบ่งบอกชัดเจนว่าฝ่ายที่ทำลายของหมั้นหมาย ไม่ชอบอีกฝ่ายมากเวินซื่อในตอนนั้นคงรู้สึกรันทดด้วยสาเหตุนี้อย่างมากแน่นอนจงหย่งโหวแรงเยอะ ฝ่ามือเมื่อครู่ที่ตบลงท้ายทอยชุยเส้าเจ๋อเกือบจะทำให้วิญญาณของเขาหลุดออกจากร่างสุดท้ายชุยเส้าเจ๋อต้องกัดฟันพูด “ขอ...ขออภัย ธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดอภัยด้วย”เวินซื่อไม่มองเขาด้วยซ้ำยิ่งทำเป็นมองไม่เห็นการขอโทษของเขา“เอาละ ใต้เท้าจงหย่งโหว สิ่งที่ข้าอยากพูดได้พูดไปหมดแล้ว นับตั้งแต่นี้ ข้าไม่อยากให้คนข้างนอกพูดถึงเรื่องการหมั้นหมายระหว่างข้ากับชุยซื่อจื่ออีก อย่ารบกวนความสงบของข้า”วันนี้เวินซื่อมาเยือนที่นี่เพื่อจบเรื่องนี้ลงอย่างสิ้นเชิงนางไม่อยากให้มีปัญหาตามมาอีกหากเป็นเหมือนเดิมอีก นางคงไม
เวินซื่อที่นั่งอยู่ในรถม้าหน้าตาบึ้งตึงฉางเสี่ยวหานที่อยู่นอกรถม้าทนไม่ไหวแล้วแต่ไม่มีทางเลือก รถม้าและรถในเมืองหลวงไม่สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูง พวกนางสลัดชุยเส้าเจ๋อที่อยู่ด้านหลังไม่พ้นไม่เพียงสลัดไม่พ้น ตอนนี้ใกล้จะออกจากเมืองหลวงแล้วชุยเส้าเจ๋อขี่ม้าอ้อมมาด้านหน้า ขวางทางอยู่หน้ารถม้าของพวกเวินซื่อ แล้วบังคับให้รถม้าหยุด“หยุด!”รถม้าหยุดกะทันหันเวินซื่อที่นั่งอยู่ในรถม้าเกือบจะไปโขกกับมุมเสาภายในรถม้า“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ คนผู้นี้ขวางอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”ฉางเสี่ยวหานหันไปถามเวินซื่อเวินซื่อสีหน้าบึ้งตึง ลุกขึ้นแล้วออกมาจากตัวรถม้าในเมื่อต้องคุยกับนางให้ได้ อย่างนั้นวันนี้นางจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องเมื่อเห็นเวินซื่อลงจากรถม้า ดวงตาชุยเส้าเจ๋อลุกวาว เขาเองก็กระโดดลงจากหลังม้า “เวินซื่อ เจ้าอย่าโกรธเลย ข้าเพียงแต่...”“เพียะ!”ชุยเส้าเจ๋อเพิ่งเดินมาตรงหน้าเวินซื่อ ยังพูดไม่ทันจบประโยค เวินซื่อต้อนรับด้วยฝ่ามือที่ฟาดลงไปบนใบหน้าเขาอย่างไม่เกรงใจ“ชุยซื่อจื่อ ข้าไม่ใช่มารดาของเจ้า และไม่ใช่บิดาของเจ้า ข้าไม่ตามใจเจ้าและยอมเจ้าไปเสียทุกอย่างหรอกนะ
ชุยเส้าเจ๋ออยากแกล้งโง่แต่สุดท้ายกลับถูกบังคับให้ยอมรับความจริงทุกครั้งไป“เวินซื่อ เจ้า...”“เพียะ!”ชุยเส้าเจ๋อเพิ่งเอ่ยปาก เวินซื่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าเขาอีกครั้ง“ชื่อเสียงเรียงนามของธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างข้าให้เจ้าเรียกได้ตามใจชอบงั้นหรือ?”เวินซื่อกล่าวเสียงเย็น “พูดใหม่”ชุยเส้าเจ๋อกัดฟันอีกครั้ง หลังจากรับรู้ถึงความเจ็บปวดวูบวาบร้อนผ่าวบนใบหน้า เขาเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นรีบกลับคำ “...ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ข้ามีเพียงคำถามเดียวที่อยากจะถาม ท่านบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่?”“ถ้าไม่พูด ก็ไสหัวไปซะ เจ้าเลือกเอง”เวินซื่อยิ้มจางๆ สีหน้าไม่มีความอบอุ่นสักนิดชุยเส้าเจ๋อจนปัญญา เงยหน้ามองเวินซื่อแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเชื่องช้า “ท่าน....เกลียดข้ามากหรือ?”เวินซื่อ “...?”เวินซื่อรู้สึกหมดคำพูดมากนางนึกว่าที่ชุยเส้าเจ๋อไล่ตามผ่านถนนมาหลายเส้น แล้วขวางนางเอาไว้ต้องการถามเรื่องใด สรุปคือถามเรื่องนี้หรือ?เพราะรู้สึกหมดคำพูดอย่างที่สุด เวินซื่อไม่อยากจะตอบเลยนางหันหลังจากไป เดินขึ้นไปบนรถม้า“ช้าก่อน เวิน...ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของข้า!”
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม