หลินเนี่ยนฉือชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้าค่ะ ข้าจะนำคำพูดของท่านลุงเวินไปบอกนางให้”หลังจากที่เวินเฉวียนเซิ่งพวกเขาจากไปแล้ว หลินเนี่ยนฉือกลับไปก็นำคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งบอกให้เวินซื่อฟังอีกรอบเวินซื่อพลันหัวเราะเยาะออกมาเสียงหนึ่ง “สมแล้วที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ รู้ว่าหากมาขอพบข้า ข้าคงไม่ยอมพบเขาง่ายๆ จึงแสร้งทำเป็นถอยเพื่อรุก โดยอ้างเหตุผลว่าเวินฉางอวิ้นใกล้ตายเพื่อให้ข้าลงจากเขา”และอย่างช้าที่สุดก็คืนนี้ ข่าวที่ว่า “คุณชายใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงอาการปางตาย ขอดูหน้าน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย” ก็จะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงถึงตอนนั้น ต่อให้สกุลเวินจะมีความผิดมากมายเพียงใด หากนางซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ไม่ไปดูใจพี่ใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย นั่นก็จะเป็นความผิดของนางเองหากถึงเวลานั้นจริงๆ ด้วยแรงกดดันจากภายนอก อำนาจในการควบคุมสถานการณ์ที่นางมีอยู่ในตอนแรก ก็จะกลับกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำดังนั้น ต่อให้ไม่อยากไปก็ต้องไป“ร้ายกาจจริงๆ ท่านลุงเวินมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะคิดวางแผนอีกหรือ? เขาไม่กลัวว่าเจ้าจะใจแข็งไม่ไปจริงๆ ถึงเวลานั้น พี่ใหญ่เวินตายไปจริงๆ จะทำอย่างไร?”หลินเนี่ยนฉือไม่เข้าใจอย่
ทว่าหลินเนี่ยนฉือกลับฟังแล้วรู้สึกใจหายใจคว่ำ“อันตรายเกินไปแล้ว ฐานะธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าในตอนนี้ แม้ฟังดูเหมือนจะสุขสบายและสูงส่ง แต่ทุกครั้งที่เจ้าไปสถานที่เหล่านั้น หากไม่เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติก็เป็นพื้นที่โรคระบาด ราษฎรเหล่านั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าสุดท้ายความผิดร้ายแรงจะถูกโยนมาที่เจ้าอีก”หลินเนี่ยนฉือยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงนางเวินซื่อยกมือขึ้นตบแขนของนางเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ฐานะนี้ก็เปรียบเสมือนดาบสองคมอยู่แล้ว มันช่วยให้ข้าออกจากสกุลเวินได้อย่างสมเหตุสมผล ข้าก็ย่อมต้องทำบางสิ่งเพื่อแลกเปลี่ยนเช่นกัน เจ้าวางใจเถอะ ข้ารู้ดีถึงภัยแฝงที่ฐานะนี้จะนำพามาให้ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงได้เริ่มเตรียมการรับมือแล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อยเท่านั้น”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว หากมีอะไรให้ช่วยก็บอกข้าได้เลย ท่านปู่ของข้าเจ้าก็รู้จักดี ในบรรดาเหล่าบัณฑิตทั่วหล้า ท่านก็ยังพอจะช่วยเอ่ยปากแทนเจ้าได้อยู่บ้าง”ระหว่างหลินเนี่ยนฉือกับเวินซื่อนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยแบ่งแยกเรื่องของเจ้าของข้าแน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะทัศนคติของคนในครอบครัวทั้งสองฝ่ายด้วยนอกจากเวินเฉวียนเซิ่งที่
เวินซื่ออดยิ้มไม่ได้ “ดี ถ้าเช่นนั้นคงต้องรบกวนรองแม่ทัพเกา ช่วยนำคำขอบคุณของข้าไปบอกท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนด้วย”หลังจากเกาเย่าจากไป เวินซื่อก็นำจดหมายและป้ายคำสั่งอันนั้นกลับมาที่เรือนเล็กอย่างรวดเร็ว“ใครเป็นคนส่งจดหมายมากัน? เหตุใดสีหน้าของเจ้าถึงดูแปลกๆ?”หลินเนี่ยนฉือเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่รินน้ำชาอุ่นๆ ให้ใหม่“เป็นจดหมายจากท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน”เวินซื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้หลินเนี่ยนฉือฟังหนึ่งรอบหลินเนี่ยนฉือพอฟังจบก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “ไม่สิ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่าทีของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่มีต่อเจ้าดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลยนะ? เขาเป็นคนมีน้ำใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ทำไมข้าจำได้ว่าเหมือนเคยมีคนพูดว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้นี้เกลียดชังสตรีอย่างยิ่งมิใช่หรือ?”เวินซื่อครุ่นคิด จากนั้นเอ่ยขึ้น “อาจเป็นเพราะพวกเราเป็นสหายกันกระมัง”“สหาย?”หลินเนี่ยนฉือรู้สึกสงสัยและไม่เข้าใจเวินซื่ออธิบายอย่างคลุมเครือ “เพราะว่าก่อนหน้านี้ข้าก็เคยช่วยเหลือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนอยู่บ้าง ดังนั้น ความสัมพันธ์ก็เลยดีขึ้นมาน่ะสิ หลังจากนั้นก
“ส่งคนไปลากพวกนางออกมาเดี๋ยวนี้!”เวินเฉวียนเซิ่งออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงโมโห เหล่าองครักษ์ที่ติดตามมาด้านหลังก็พากันก้าวออกไปข้างหน้าแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าใกล้ฝูงชน รอบด้านก็พลันมีเหล่าองครักษ์ที่สวมชุดเครื่องแบบของแต่ละตระกูลหลายกลุ่มพุ่งเข้ามา ขวางอยู่ด้านหน้าคนของจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งหมด“หยุดนะ ห้ามเข้าใกล้ฮูหยินของพวกเรา!”“ผู้ใดกล้าก้าวมาข้างหน้าแม้เพียงก้าวเดียว ก็อย่าหาว่าคมดาบของจวนแม่ทัพของพวกเราไร้ปรานี!”“ใครกันบังอาจเข้าใกล้คุณหนูของข้า!”องครักษ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงมองดู ไหนจะฮูหยินจากจวนเสนาบดี คุณหนูจากจวนแม่ทัพ พี่สะใภ้ของตระกูลผู้บัญชาการทหารประจำเมือง น้องสาวของท่านขุนนางผู้ตรวจการ... และอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนเป็นสมาชิกครอบครัวของเหล่าขุนนางในราชสำนักทั้งสิ้นแบบนี้พวกเขาจะลงมือได้อย่างไร?เวลานี้ เวินเฉวียนเซิ่งที่นึกออกแล้ว สีหน้าก็พลันมืดมนลงยิ่งกว่าเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขามองเห็นร่างหนึ่งที่คุ้นตาอย่างยิ่งท่ามกลางฝูงชน เขาก็พลันตวาดเสียงดังลั่น“เวินหย่าลี่!”เวินหย่าลี่ซึ่งเดิมทีใช้ผ้าคลุมหน้าปิดบังใบหน้าอยู่ พอได้ยินเสียงตวาดที่นางคุ้นเคยอย่างย
แต่คาดไม่ถึงว่า ยังไม่ทันเริ่มก็ถูกพี่ใหญ่ของนางจับได้คาหนังคาเขาเสียแล้วและต่อจากนี้ อาจจะถึงขั้นใช้งานนางให้คอยวิ่งเต้นให้อีกเวินเฉวียนเซิ่งข่มความโกรธไว้พลางกล่าวว่า “ช่างเถอะ ตอนนี้ข้าขี้เกียจจะมาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าเรื่องพวกนี้แล้ว ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียกเยวี่ยเอ๋อร์มา ให้เจ้าไปนั่นแหละ”“หา? ข้าไปทำอะไรหรือ?”เวินหย่าลี่ใช้นิ้วชี้มาที่ตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเห็นได้ชัดว่ายังไม่เข้าใจสถานการณ์เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าคิดว่าให้ไปทำอะไร? แน่นอนว่าต้องให้เจ้ารีบเบียดเสียดไปด้านหน้า เคาะประตูใหญ่ของอารามสุ่ยเยว่ให้เปิด จากนั้นก็เข้าไปข้างในเพื่อขัดขวางเวินซื่อ ห้ามปล่อยให้นางเอาบัวหิมะดอกนั้นไปทำเสียของเป็นอันขาด!”เวินหย่าลี่ก็พลันเบิกตากว้าง “เดี๋ยวนะ? เช่นนั้นเมื่อครู่พี่ใหญ่ท่านเรียกข้าออกมาทำไมกัน ทั้งๆ ที่ข้าเบียดเข้าไปถึงข้างหน้าได้แล้ว ตอนนี้ข้าก็ต้องกลับไปเบียดใหม่อีก!”พอนางหันกลับไปมองดูภาพผู้คนหลายร้อยคนที่กำลังเบียดเสียดกันแน่นขนัด ก็แทบอยากจะเปิดศึกกับพี่ใหญ่ของนางสักตั้งไม่บอกให้เร็วกว่านี้!เวินเฉวียนเซิ่ง
เดิมทีคิดว่าคนที่ออกมาจะเป็นซือไท่บางท่านของอารามสุ่ยเยว่ หรือไม่ก็เป็นอาจารย์น้อยบางท่าน แต่เหล่าฮูหยินและคุณหนูที่อยู่ด้านนอกกลับคาดไม่ถึงเลยว่า คนที่เดินออกมานั้นจะเป็นเวินซื่อเองหยางฮูหยินที่อยู่หน้าสุดกับเวินหย่าลี่ที่อยู่ด้านหลังต่างชะงักไปครู่หนึ่งแต่หยางฮูหยินได้สติเร็วที่สุด ดวงตาเป็นประกาย รีบย่อตัวคารวะพลางเอ่ยขึ้น “คารวะท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์!”พอเสียงของหยางฮูหยินดังขึ้น เหล่าฮูหยินและคุณหนูที่อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ ทยอยได้สติกัน พากันคารวะตาม “คารวะท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์!”ในชั่วพริบตา ภาพเหตุการณ์ที่เมื่อครู่ยังอึกทึกครึกโครมอย่างยิ่งก็พลันเงียบสงบลงสายตาของเวินซื่อกวาดมองผ่านเวินหย่าลี่เป็นคนแรก แม้นางจะสวมผ้าคลุมหน้า แต่แววตาละอายใจก็เผยออกมาให้เห็น จากนั้นจึงเอ่ยกับหยางฮูหยินและคนอื่นๆ ว่า “ทุกท่านตามสบายเถิด วันนี้ข้าลงมือปรุงน้ำแกงด้วยตนเอง ได้รับบัวหิมะพระราชทานจากฝ่าบาท อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสาธุชนทุกท่าน จึงได้ตัดสินใจว่าห้าสิบท่านแรกจะได้รับน้ำแกงบัวหิมะบำรุงผิวพรรณไปหนึ่งถ้วย”“ส่วนสาธุชนที่มาทีหลังและไม่ทันก็มิต้องกังวล ท่านอาจารย์ของข้าก็ได้เตรียมน้
“เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ ที่นี่อาจารย์จะจัดการเอง”ม่อโฉวซือไท่ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าช่วงนี้เวินซื่อกำลังทำสิ่งใดอยู่ นางยกมือขึ้นตบไหล่ของเวินซื่อเบาๆ หางตาเหลือบไปมองคนผู้หนึ่งที่อยู่รอบนอกสุดของฝูงชน จากนั้นจึงแค่นเสียงเย็นเสียงหนึ่ง“รู้จักใช้ประโยชน์ให้มากขึ้นหน่อย อย่าทำตัวซื่อบื้อนัก เมื่อก่อนรากฐานของสกุลหลานนั้นลึกล้ำมั่นคงอย่างยิ่ง”เวินซื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาทันที “ศิษย์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอาจารย์”จากนั้นเวินซื่อก็หันกลับเตรียมจะไปหาเวินหย่าลี่ แต่พลันก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงหันกลับไปอีกครั้ง แล้วกระซิบกระซาบสองสามประโยคที่ข้างหูของม่อโฉวซือไท่และม่อโฉวซือไท่ก็ไม่รู้ว่าได้ยินเรื่องอันใดที่น่าสนใจเข้า ใบหน้าที่เคร่งขรึมกลับปรากฏสีหน้าที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีขึ้นมาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “ได้ ให้อาจารย์จัดการเถอะ”......หลังจากที่เวินหย่าลี่พุ่งพรวดเข้าไปในอารามสุ่ยเยว่ได้แล้ว ร่างกายก็พลันปราดเปรียวว่องไวผิดปกติ หลบหลีกการขัดขวางของซือไท่ท่านอื่นได้ จากนั้นก็ตามหาห้องครัวไปทั่วทั้งอารามสุ่ยเยว่ผลปรากฏว่าพอไปถึงห้องคร
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา เวินหย่าลี่ก็รู้สึกตื่นเต้นจนดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายในทันทีนางยื่นมือไปหยิบชามและทัพพีตักน้ำแกงในครัวเล็กของเวินซื่อโดยแทบจะไม่ลังเลเลยสักนิดตักครั้งแล้วครั้งเล่า ตักให้ตัวเองจนเต็มถ้วยใหญ่ จากนั้นก็ยกขึ้นมาดื่มทันทีก็ไม่รู้ว่าในน้ำแกงนั้นใส่อะไรลงไปบ้าง แต่รสชาติช่างตุ๋นได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ดื่มไปชามหนึ่งยังไม่พอ จึงต่อด้วยชามที่สอง ชามที่สาม พอดื่มไปครบห้าชามเต็มๆ เวินหย่าลี่ก็รู้สึกว่าท้องตึงใกล้จะแตกแล้ว นางถึงได้ยอมวางชามลงในที่สุดแต่ในเวลานี้ พลันมีเสียงความเคลื่อนไหวมาจากด้านนอก“สาธุชนทุกท่านโปรดรอที่นี่สักครู่ น้ำแกงบัวหิมะบำรุงผิวพรรณที่ปรุงเสร็จแล้วอยู่ในครัวเล็กของข้า ข้าจะไปยกมาให้ทุกท่าน”“อุ๊ย จะให้ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ยกน้ำแกงมาให้หม่อมฉันได้อย่างไร ให้หม่อมฉันไปยกเองดีกว่า”“ใช่แล้วๆ พวกเราไปเอง”ขณะที่พูดคุยกัน คนเหล่านั้นก็มาถึงหน้าประตูห้องครัวเล็กแล้ว จากนั้นแต่ละคนก็เงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็เห็นเวินหย่าลี่ซึ่งทั้งไม่ได้ปิดประตู และหลบไม่ทัน กำลังยืนถือชามแอบดื่มน้ำแกงอยู่หน้าเตาเวินซื่อที่เห็นฉากนี้เข้าพอดี ก็เกือบจะกลั้นหัวเราะไว้
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม