แชร์

บทที่ 605

ผู้เขียน: จิ้งซิง
นั่นคือช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดตั้งแต่เด็กจนโต

แต่ตอนนี้ เขากลับถูกบังคับให้ลงนามในหนังสือถอนหมั้นด้วยตัวเอง

แล้วจะให้เขาทำใจยอมรับได้อย่างไร?!

เวินจื่อเยวี่ยจ้องมองหลินเนี่ยนฉือไม่วางตา “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าจะไม่ยอมแพ้ในตัวเจ้า เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า แม้ว่าจะถอนหมั้นแล้ว แต่ชาตินี้เจ้าก็ต้องเป็นคนของข้าอยู่ดี!”

เวินจื่อเยวี่ยล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอก แล้วยื่นไปตรงหน้าหลินเนี่ยนฉือ

หลินเนี่ยนฉือก้มหน้าลงมอง มันคือจี้หยกที่แกะสลักด้วยมือเวินจื่อเฉินเอง เป็นสิ่งยืนยันการหมั้นหมายในอดีตของพวกเขาด้วย

หลินเนี่ยนฉือมองจี้หยกชิ้นนั้นที่ถึงแม้ว่าจะได้รับการซ่อมแซมแล้ว แต่รอยร้าวยังคงเห็นได้ชัดมาก นางไม่ได้เอื้อมมือไปรับมา

“แก้วแตกยากจะสมาน และหยกกับคนก็เป็นเหมือนกัน”

หลินเนี่ยนฉือพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบ

แต่เวินจื่อเยวี่ยกลับเอ่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้าไม่เชื่อ”

“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็ไม่ได้มาหาท่าน”

ทันทีที่หลินเนี่ยนฉือพูดจบ สายตาก็เลื่อนไปหาเวินเยวี่ยที่อยู่ข้างกายเขา

ต้องบอกว่าเวินจื่อเยวี่ยมีความเข้าใจในตัวหลินเนี่ยนฉือในระดับหนึ่ง

ดังนั้นเ
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
บทที่ถูกล็อก

บทที่เกี่ยวข้อง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 606

    “โอ๊ย!”เวินเยวี่ยร้องอุทานออกมาโดยพลัน ราวกับตกใจอะไรบางอย่าง พลางคว้าแขนของเวินจื่อเยวี่ยไว้ จากนั้นก็หันหลังแล้วกระโจนเข้าไปในอ้อมอกของเขา“พี่สาม พี่หญิงเนี่ยนฉือจะตีเยวี่ยเอ๋อร์อีกแล้ว เยวี่ยเอ๋อร์กลัว!”เวินเยวี่ยมีสีหน้าร้องไห้หวาดกลัว ร้องไห้ดั่งลูกสาลี่ตากน้ำฝน เห็นแล้วก็น่าเอ็นดูเวินจื่อเยวี่ยที่รู้สึกสงสารรีบเอื้อมมือออกไปปกป้องนางไว้ “น้องหกไม่ต้องกลัว มีพี่สามอยู่ พี่หญิงเนี่ยนฉือของเจ้าจะไม่มีทางตีเจ้าอีก”แม้ว่าเมื่อครู่เวินเยวี่ยจะพูดคำเหล่านั้นเพื่อยุแยงตะแคงรั่ว แต่ก็ไม่นึกว่าคำพูดปลอบโยนของเวินจื่อเยวี่ย กลับทำให้นางอดแสยะมุมปากไม่ได้ดวงตาท่านบอดหรืออย่างไร?ไม่เห็นหรือว่านางเฆี่ยนตีข้าต่อหน้าท่านไปแล้วหนึ่งครั้ง?ท่านกล้าพูดได้อย่างไรว่านางจะไม่ตี?เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจไร้ประโยชน์ ถ้าไม่ใช่เพราะยังท่านมีประโยชน์อยู่เล็กน้อย ท่านคิดว่าข้าจะยังเก็บท่านไว้หรืออย่างไร?!เวินเยวี่ยกลัวว่าหลินเนี่ยนฉือจะลงมืออีกครั้ง จึงรีบคว้าเวินจื่อเยวี่ยไว้ ตัวเองซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา ปล่อยให้เขาใช้ร่างกายกำบังให้ทำแบบนี้ นางอยากดูว่าหลินเนี่ยนฉือยังก

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 1

    “หม่ำ ๆๆ”“กินสิ พี่หญิง เหตุใดท่านถึงไม่กินเล่า?” ภายในห้องลับที่มืดสลัว เวินซื่อบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง นอนคว่ำอยู่บนพื้นหายใจรวยริน โซ่เหล็กบนตัวนางส่งเสียงดังเคร้ง รัดคอและแขนขาของนางไว้ จนทำให้นางสลัดไม่หลุดเบื้องหน้าของนางมีดรุณีน้อยสวมชุดสีเหลืองอ่อนถืออาหารสุนัขไว้ในมือ หยอกล้อนางราวกับกำลังหยอกสุนัขก็มิปาน ส่วนดรุณีน้อยที่ยิ้มแย้มราวกับบุปผาผู้นี้คือน้องสาวของนาง...เวินเยวี่ยเวินเยวี่ยเอ่ยกับสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่พอใจว่า “ดูสิ พี่หญิงของข้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แม้แต่สุนัขก็ยังเป็นให้ดีไม่ได้ คุณหนูอย่างข้าป้อนให้นางกินด้วยตัวเอง นางยังกล้าไม่กินอีกหรือ?” สาวใช้ก้าวเข้ามาเตะคนที่อยู่บนพื้นทันทีเตะจนคนร้องคราง สาวใช้ถึงค่อยเอ่ยเอาใจเวินเยวี่ยว่า “คุณหนูอย่าไปโต้เถียงกับนางเลยเจ้าค่ะ เกรงว่าสุนัขตัวนี้ยังคงคิดว่าตนเองเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนกั๋วกง”เวินเยวี่ยหัวเราะเยาะ “เวินซื่อนับว่าเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของประเภทไหน? แม้แต่ท่านพ่อกับพวกท่านพี่ก็ไม่ยอมรับนางแล้ว การได้เป็นสุนัขก็นับว่าเป็นเกียรติที่คุณหนูอย่างข้ามอบให้นาง”“น่าเสียดายที่ไม่รู้จักเจียมตัว”

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 2

    พิธีปักปิ่นอันใด?พิธีปักปิ่นของยางผ่านไปนานแล้วไม่ใช่หรือ?ความอัปยศที่ได้รับในพิธีปักปิ่นเวลานั้น นางยังคงได้จำได้จนถึงทุกวันนี้เสียงหัวเราะเยาะของแขกทั้งหลาย การเยาะเย้ยถากถางของพี่ชาย การถอนหมั้นของคู่หมั้น รวมไปถึงการตำหนิของบิดามารดา...นางเคยผ่านสถานการณ์เช่นนั้นมาแล้วครั้งหนึ่งทว่าตอนนี้ เหตุใดถึงเป็นพิธีปักปิ่นอีกเล่า? หรือว่าเวินเยวี่ยจะเล่นปาหี่ใหม่อะไรอีก อยากให้นางอับอายขายหน้าอีกครั้งแล้วค่อยส่งนางไปตายหรือ?!เวินซื่อหายใจถี่กระชั้นขึ้นในพริบตาแต่ในตอนที่นางกำลังจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ สายตาของนางกลับหยุดชะงักไปทันทีเดี๋ยวก่อน! นางเบิกตาโต จ้องมองมือสองข้างที่สมบูรณ์ไร้บาดแผลของตัวเอง แล้วก้มหน้ามองขาเท้าสองข้างของตัวเองทันที ใบหน้าค่อย ๆ ฉายแววเหมือนไม่อยากจะเชื่อมือและเท้าของนางถูกทำลายจนพิการไปแล้วไม่ใช่หรือ?เหตุใดตอนนี้กลับหายดีหมดแล้ว?นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?ควรรู้เอาไว้ว่าเอ็นมือเอ็นเท้าของนางถูกตัดจนขาดหมดแล้ว ไม่มีทางฟื้นฟูกลับมาได้อีก!เวินซื่อที่ตระหนักได้ถึงความผิดปกติจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองห้องนี้อีกครั้งเป็นการตกแต่งทั้งหมดที่ค่อย ๆ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 3

    เด็กสาวที่นั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้า ไม่มีสาวใช้ปรนนิบัติ ทำได้เพียงหวีผมให้ตัวเอง นางมองเขาแวบหนึ่งแล้วข่มกลั้นความรู้สึกสะอิดสะเอียนไว้ ร้องเรียกอย่างเฉยชาว่า “พี่รอง”เวินจื่อเฉินที่บุกเข้ามาถลึงตาใส่เวินซื่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำลายชุดพิธีการของน้องหกใช่หรือไม่? เหตุใดจิตใจของเจ้าถึงชั่วร้ายเพียงนี้? รู้อยู่แก่ใจว่าวันนี้ก็เป็นพิธีปักปิ่นของน้องหก เจ้ายังจะทำลายชุดพิธีการของนางอีกหรือ!” ในขณะที่เวินจื่อเฉินซักถามเวินซื่อด้วยอารมณ์รุนแรง คนที่ทำให้เวินซื่อเกลียดชังเข้ากระดูกดำผู้นั้นก็โผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังเวินจื่อเฉินด้วยสีหน้าขอโทษ“พี่รอง อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ข้าอธิบายกับท่านแล้วไม่ใช่หรือ? พี่หญิงห้านางไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แค่ไม่ระวังเท่านั้นเอง”เวินเยวี่ยมีรูปร่างเพรียวบาง หน้าตาน่ารัก มักจะแสดงสีหน้าอ่อนแออยู่เสมอบวกกับนัยน์ตาที่มีน้ำเอ่อคลอดูขลาดกลัวเหมือนลูกกวาง ใครเห็นจะไม่เกิดความรู้สึกรักเอ็นดูได้?นางเองก็รู้ข้อดีของตนเองจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้ว่าทุกคนในจวนเจิ้นกั๋วกงรู้สึกติดค้างนางเนื่องจากเวินเยวี่ยเพิ่งจะถูกคนของจวนเจิ้นกั๋วกงต

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 4

    เวินซื่อที่โซเซจนไปชนกับมุมโต๊ะเครื่องแป้งก็เม้มริมฝีปากแน่น ชาติที่แล้วนางเสียรู้ในน้ำมือของเวินเยวี่ยไปมากมายถึงเพียงนั้น ตอนนี้แค่เห็นเวินเยวี่ยทำท่าทางเช่นนี้ เวินซื่อก็รู้ว่านางจะเล่นตุกติกอะไรอีกแล้วนางหยิบชุดพิธีการที่ร่วงลงพื้นขึ้นมา“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าข้าทำอะไรถึงทำให้น้องหกมีปฏิกิริยายกใหญ่เช่นนี้ ไม่สู้รบกวนน้องหกอธิบายให้ข้าเถิด”“เจ้าทำอะไรไว้เจ้ารู้อยู่แก่ใจ!”ไม่รอให้เวินเยวี่ยเอ่ยวาจา เวินจื่อเฉินก็ตวาดใส่นางเสียงดุดันก่อน แววตาของเวินซื่อเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆเมื่อก่อนนางยังดูไม่ออก ตอนนี้นางรู้สึกว่าเวินจื่อเฉินช่างตาบอดจริง ๆอยู่ต่อหน้าต่อตาของเขา ใครทำอะไร ใครไม่ได้ทำอะไร เขามองไม่เห็นเองทั้งนั้นบางทีต่อให้เห็น เขาก็แค่เชื่อคำพูดของคนผู้เดียวเวินจื่อเฉินถลึงตามองเวินซื่ออย่างอำมหิตแวบหนึ่งแล้วตบไหล่เวินเยวี่ยเบา ๆ ปลอบโยนด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องหกไม่ต้องกลัวนะ มีเรื่องอะไรก็บอกกับพี่รอง ไม่ว่าอย่างไร พี่รองก็จะตัดสินแทนเจ้าเอง”ทั้งสองคนมีท่าทางแทบจะใกล้ชิดสนิทสนมกันมากแต่เวินจื่อเฉินกลับเหมือนไม่สังเกตเห็นเลย เขาไม่เก็บงำเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 5

    “เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”เวินเยวี่ยที่เดิมทียังนึกว่ามีโอกาสแย่งกลับมาก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยวอารมณ์หวั่นไหวรุนแรงราวกับว่าสิ่งที่เวินซื่อตัดคือชุดของนางเวินซื่อขยับมือไม่หยุด รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “ตัดชุดอย่างไรเล่า พี่รองกับน้องหกเห็นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้?”ดวงตาสองข้างของเวินจื่อเฉินพ่นไฟแล้ว “เจ้ายังกล้าถามข้าอีกหรือว่าเหตุใดถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้?! ชุดนี้เป็นชุดที่ข้ากับพวกพี่ใหญ่ตั้งใจสั่งทำขึ้นมาเพื่อพิธีปักปิ่นของเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เหตุใดเจ้าต้องตัดมันจนเละด้วย?!” “เพราะว่าไม่มีใครต้องการมันแล้ว”เวินซื่อตัดลงไปดัง “ฉับ” อีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการ น้องหกก็ไม่ต้องการ ของที่ไม่มีใครต้องการย่อมต้องจัดการทิ้ง” สีหน้าของนางเย็นชาจนทำให้เวินจื่อเฉินแทบจะรู้สึกแปลกตาใครบอกว่าข้าไม่ต้องการ?!เวินเยวี่ยโกรธจนแทบอยากจะกรีดร้อง นางแค่จงใจบอกปัดเพื่อไม่ให้เวินจื่อเฉินสงสัยเท่านั้นใครจะคิดว่าเวินซื่อกลับเสียสติถึงเพียงนี้?!ทั้ง ๆ ที่นางคิดไว้นานแล้วว่าวันนี้จะต้องสวมชุดพิธีการนี้ให้ได้ แต่ตอ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 6

    ผู้ที่มามีรูปร่างสูงสง่าราวกับไผ่สน สวมอาภรณ์เสื้อคลุมสีกรมท่า รูปลักษณ์สง่างาม โฉมหน้าหล่อเหลาชื่อของเขาคือเวินฉางอวิ้น เป็นพี่ใหญ่ของนาง และก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนกั๋วกง“น้องห้า เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?” เวินฉางอวิ้นมองเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชา ความรู้สึกกดดันที่แผ่ลงมาจากด้านบนทำให้เวินซื่อแทบหายใจไม่ออกนิดหน่อย เมื่อก่อนนางโง่งม คิดเพียงว่าเวินฉางอวิ้นรูปร่างสูงใหญ่ ถึงมอบความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ให้นาง ทว่าต่อมาจนกระทั่งเมื่อนางเห็นกับตาว่าเวินฉางอวิ้นก้มตัว ก้มหน้าให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเวินเยวี่ยเพียงเพื่อรับฟังความคับข้องใจจากปากของนาง เวินซื่อถึงได้เข้าใจว่าที่แท้ตนเองเป็นเพียงคนชั้นล่างที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพี่ใหญ่ “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าข้ามีความผิดอันใด ขอพี่ใหญ่โปรดชี้แจงด้วย”ไม่ใช่ว่าเวินซื่อไม่เห็นชุดพิธีการที่เขาถืออยู่ในมือ ดังนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขามาเพราะเหตุใด แต่แล้วอย่างไรเล่า?ไม่ถามสักคำ มาถึงก็อยากให้นางยอมรับความผิด?มีสิทธิอันใด?เวินฉางอวิ้นทำสายตาเย็นชา แต่สายตาของเวินซื่อกลับเย็นชายิ่งกว่าเขา เวินฉางอวิ้นขมวดค

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 7

    ชุยเส้าเจ๋อก้าวเท้าเดินมาทางเวินซื่อ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดหมายจะหาเรื่องเมื่อมองไปทางด้านหลังของเขาอีกก็เห็นเวินเยวี่ยอ้าปากพูดว่า “อย่าเลย” ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ทำท่าจะฉุดรั้งชุยเส้าเจ๋อเลยสักนิดหลังจากที่สบสายตาของเวินซื่อ ดวงตาของนางถึงขนาดฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเห็นได้ชัดว่าการที่นางสามารถยุให้ชุยเส้าเจ๋อออกหน้าเพื่อนางได้ง่าย ๆ นั้นทำให้นางภาคภูมิใจเอามาก ๆแต่ว่าน่าเสียดายมาก ยังไม่ทันที่ชุยเส้าเจ๋อจะเดินเข้ามาใกล้เวินซื่อ เสียงทุ้มหนึ่งดังมาจากทางด้านปะรำพิธี...“เจ้าห้า เจ้าหก ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ยังไม่รีบมาเตรียมตัวทำพิธีปักปิ่นอีก” เวินซื่อหันหน้าไปมองบนปะรำพิธี บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวดูสง่าผ่าเผยเปี่ยมไปด้วยความรู้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าเย็นชานี่คือบิดาของนาง เจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่งเวลานี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋ออยากหาเรื่องนางอีกเพียงใด ก็ได้แต่ถอยหลังไปเท่านั้นเวินซื่อเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเวินซื่อขึ้นมาบนปะรำพิธีก็ควงแขนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุปผา จงใจทำตัวสนิทสนม“พี่หญิงห้

บทล่าสุด

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 606

    “โอ๊ย!”เวินเยวี่ยร้องอุทานออกมาโดยพลัน ราวกับตกใจอะไรบางอย่าง พลางคว้าแขนของเวินจื่อเยวี่ยไว้ จากนั้นก็หันหลังแล้วกระโจนเข้าไปในอ้อมอกของเขา“พี่สาม พี่หญิงเนี่ยนฉือจะตีเยวี่ยเอ๋อร์อีกแล้ว เยวี่ยเอ๋อร์กลัว!”เวินเยวี่ยมีสีหน้าร้องไห้หวาดกลัว ร้องไห้ดั่งลูกสาลี่ตากน้ำฝน เห็นแล้วก็น่าเอ็นดูเวินจื่อเยวี่ยที่รู้สึกสงสารรีบเอื้อมมือออกไปปกป้องนางไว้ “น้องหกไม่ต้องกลัว มีพี่สามอยู่ พี่หญิงเนี่ยนฉือของเจ้าจะไม่มีทางตีเจ้าอีก”แม้ว่าเมื่อครู่เวินเยวี่ยจะพูดคำเหล่านั้นเพื่อยุแยงตะแคงรั่ว แต่ก็ไม่นึกว่าคำพูดปลอบโยนของเวินจื่อเยวี่ย กลับทำให้นางอดแสยะมุมปากไม่ได้ดวงตาท่านบอดหรืออย่างไร?ไม่เห็นหรือว่านางเฆี่ยนตีข้าต่อหน้าท่านไปแล้วหนึ่งครั้ง?ท่านกล้าพูดได้อย่างไรว่านางจะไม่ตี?เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจไร้ประโยชน์ ถ้าไม่ใช่เพราะยังท่านมีประโยชน์อยู่เล็กน้อย ท่านคิดว่าข้าจะยังเก็บท่านไว้หรืออย่างไร?!เวินเยวี่ยกลัวว่าหลินเนี่ยนฉือจะลงมืออีกครั้ง จึงรีบคว้าเวินจื่อเยวี่ยไว้ ตัวเองซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา ปล่อยให้เขาใช้ร่างกายกำบังให้ทำแบบนี้ นางอยากดูว่าหลินเนี่ยนฉือยังก

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 605

    นั่นคือช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดตั้งแต่เด็กจนโตแต่ตอนนี้ เขากลับถูกบังคับให้ลงนามในหนังสือถอนหมั้นด้วยตัวเองแล้วจะให้เขาทำใจยอมรับได้อย่างไร?!เวินจื่อเยวี่ยจ้องมองหลินเนี่ยนฉือไม่วางตา “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าจะไม่ยอมแพ้ในตัวเจ้า เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า แม้ว่าจะถอนหมั้นแล้ว แต่ชาตินี้เจ้าก็ต้องเป็นคนของข้าอยู่ดี!”เวินจื่อเยวี่ยล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอก แล้วยื่นไปตรงหน้าหลินเนี่ยนฉือหลินเนี่ยนฉือก้มหน้าลงมอง มันคือจี้หยกที่แกะสลักด้วยมือเวินจื่อเฉินเอง เป็นสิ่งยืนยันการหมั้นหมายในอดีตของพวกเขาด้วยหลินเนี่ยนฉือมองจี้หยกชิ้นนั้นที่ถึงแม้ว่าจะได้รับการซ่อมแซมแล้ว แต่รอยร้าวยังคงเห็นได้ชัดมาก นางไม่ได้เอื้อมมือไปรับมา“แก้วแตกยากจะสมาน และหยกกับคนก็เป็นเหมือนกัน”หลินเนี่ยนฉือพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบแต่เวินจื่อเยวี่ยกลับเอ่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้าไม่เชื่อ”“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็ไม่ได้มาหาท่าน”ทันทีที่หลินเนี่ยนฉือพูดจบ สายตาก็เลื่อนไปหาเวินเยวี่ยที่อยู่ข้างกายเขาต้องบอกว่าเวินจื่อเยวี่ยมีความเข้าใจในตัวหลินเนี่ยนฉือในระดับหนึ่งดังนั้นเ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 604

    สีหน้าของเวินเยวี่ยเปลี่ยนไปทันใด หลังจากได้ยินคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยเมื่อสักครู่และคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว นางก็กัดริมฝีปากล่างเบา ๆ แล้วหันหน้าไป “พี่สาม แม่นางผู้นี้คือใครกัน? ทำไมพอนางมาถึงก็พูดจาเช่นนี้?”เวินจื่อเยวี่ยแนะนำให้นางรู้จักด้วยความดีใจ “นางก็คือหลินเนี่ยนฉือคู่หมั้นของข้า น้องหก เรียกนางว่าพี่หญิงเนี่ยนฉือเร็วเข้า”เวินเยวี่ยเผยสีหน้าท่าทางที่ดูไร้เดียงสาออกมา แล้วเรียกหลินเนี่ยนฉือ “พี่หญิงเนี่ยน...”“เอ๊ะ! ยังไม่ยอมหยุดพูดอีก!”เวินเยวี่ยยังเรียกไม่ทันจบ ก็ถูกหลินเนี่ยนฉือยกมือขึ้นเอาแส้ชี้พลางตัดบท “ใครเป็นพี่หญิงเนี่ยนฉือของเจ้า? อย่ามาเรียกมั่วซั่ว พี่น้องที่ดีของข้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คืออาซื่อ”“ส่วนเจ้า...”หลินเนี่ยนฉือมองพิจารณาเวินเยวี่ยขึ้นลงด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะเอ่ยอย่างดูถูก “ลูกสาวนอกสมรสอย่างเจ้า ยังไม่คู่ควร”ทันทีที่นางพูดประโยคนี้ออกมา เวินเยวี่ยและเวินจื่อเยวี่ยก็เปลี่ยนสีหน้าพร้อมกันเวินเยวี่ยดูคับข้องใจ “พี่หญิงเนี่ยนฉือ ต่อให้ท่านไม่ชอบข้า แต่ท่าน...เหตุใดท่านถึงพูดกับข้าเช่นนี้? เยวี่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะไม่เคยล่วงเกินท่านมาก่

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 603

    “ขอรับ บ่าวรับทราบแล้ว”หลังจากหารือธุระจบแล้ว เสี่ยวหานกำลังจะส่งพ่อบ้านหลานกลับไป ในเวลานี้หลินเนี่ยนฉือก็เดินออกมาพอดี“ข้าไปส่งพ่อบ้านหลานแล้วกัน วันนี้ข้าจะเดินทางเข้าเมืองหลวงพอดี”“คุณหนูใหญ่หลิน”พ่อบ้านหลานประสานมือคารวะเวินซื่อถามด้วยความงุนงง “ทำไมวันนี้ถึงต้องเข้าเมืองหลวงอีก? เมื่อวานเพิ่งเข้าวังมามิใช่หรือ?”หลายวันมานี้โดยทั่วไปในทุก ๆ สองวัน หลินเนี่ยนฉือจะถูกไทเฮาเรียกตัวเข้าวังบางครั้งก็เข้าไปเพื่อเรียนรู้กฎเกณฑ์และพิธีรีตอง บางครั้งก็แค่ไปสนทนาเป็นเพื่อนไทเฮาเท่านั้นทุกวันนี้ในวังหลังมีคนอยู่ไม่มากนัก ไม่มีแผนการในวังที่สลับซับซ้อนเหล่านั้น บวกกับท่าทีอันมีเมตตาและเป็นมิตรของไทเฮาที่มีต่อนาง ได้ทำให้หลินเนี่ยนฉือรู้สึกเป็นสุขเช่นกัน“ไม่รู้สิ ไทเฮาไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร ถึงอย่างไรก็เรียกข้าเข้าไปในวังอยู่ดี”หลินเนี่ยนฉือยักไหล่ “สบายใจเถอะ คิด ๆ ดูแล้วก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ข้าจะรีบไปรีบกลับ”“ตกลง เดินทางปลอดภัย”เวินซื่อไม่ได้บอกให้นางกลับมาเร็ว ๆ เพราะถึงอย่างไรจากเมืองหลวงมาที่อารามสุ่ยเยว่ก็ค่อนข้างไกล บางครั้งถ้ารีบมาไม่ทันเวลา ไทเฮาก็จะให้หลิ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 602

    ในขณะนี้เวินซื่อยังไม่รู้ว่าถึงแม้มดตัวน้อยของนางจะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจที่นางสั่งการให้สำเร็จได้ แต่พวกมันก็นำ “ของล้ำค่าชิ้นโต” มาให้นาง กำลังรีบวิ่งเข้าบ้านอย่างกระหืดกระหอบ…กลางอารามสุ่ยเยว่ในเวลานี้“แปลงสมุนไพรในจินโจวและลู่โจวได้ตระเตรียมพร้อมแล้ว เมล็ดพันธุ์สมุนไพรและต้นกล้าชุดแรกก็ได้ทำการปลูกแล้ว ตามที่ทางผู้ดูแลจงเอ้อร์ส่งจดหมายมา การเจริญเติบโตในปัจจุบันนี้ยังดีอยู่ขอรับ”“เช่นนั้นก็ดี”เวินซื่อดูสมุดบัญชีในช่วงนี้ พลางเอ่ยถามไปด้วย “อ้อ ได้ยินมาว่าผู้ดูแลจงเอ้อร์เป็นน้องสาวของผู้ดูแลจง?”พ่อบ้านหลานพยักหน้า “ขอรับ เดิมทีบ่าวต้องการย้ายผู้ดูแลจงไป แต่ผู้ดูแลจงบอกว่าน้องสาวของนางเหมาะสมกว่านางขอรับ”“ผ่านการทดสอบแล้วหรือ?”“คุณหนูไม่ต้องกังวลขอรับ บ่าวทำการทดสอบแล้ว ผู้ดูแลจงเอ้อร์เหมาะสมกว่าผู้ดูแลจงจริง ๆ นอกจากการหัวสมองฉับไวแล้ว ฝ่ายนั้นยังมีความสามารถในการจัดการผู้คนอีกด้วย”จินโจวและลู่โจวอยู่ห่างไกล คนที่จะไปที่นั่นย่อมต้องการคนที่มีความสามารถสักหน่อยพ่อบ้านหลานก็มีความสามารถนี้ แต่เขาอายุมากแล้ว และต้องการอยู่ข้างกายเวินซื่อมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไปไม่ได้อยู

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 601

    เวินเฉวียนเซิ่งสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “ข้าจะไปเอง”พ่อบ้านเข้าใจในทันทีจากนั้น ในไม่ช้าสองนายบ่าวก็มาถึงหน้าห้องหนึ่งในจวนที่ไม่มีคนอาศัยมานานหลายปีหลังจากพ่อบ้านไขประตูแล้ว เวินเฉวียนเซิ่งก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นและผลักประตูให้เปิดออกก่อนหน้านี้จะมีผู้คนมาปัดกวาดที่นี่ทุกวันแม้ว่าจะวังเวงแต่ก็ยังสะอาดสะอ้าน ไร้ฝุ่นสักเม็ดแต่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขุดศพจากหลุมครั้งนั้น เวินเฉวียนเซิ่งก็กลัวว่าเวินเยวี่ยจะทำเรื่องที่ไม่ควรทำอีก ดังนั้นจึงสั่งให้ใส่กุญแจสถานที่แห่งนี้ไว้นี่เพิ่งผ่านไปเพียงสองสามเดือน ภายในห้องก็ดูรกร้างแล้วแม้กระทั่งในหลาย ๆ มุมก็ยังมีใยแมงมุมห้อยอยู่เวินเฉวียนเซิ่งมองใยแมงมุมเหล่านั้นแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปในนั้นหลังจากเดินไปถึงกลางห้อง เขาก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นดวงตาอันลุ่มลึกจ้องมองห้องนี้ สายตากวาดไปรอบ ๆ ทีละนิดจริงจังเช่นนั้น ราวกับกำลังค้นหาใคร แต่ก็เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างด้วยแต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สุดท้ายเขาก็หาไม่พบอยู่ดีห้องนี้ว่างเปล่าลงไปมากตั้งแต่หลานจื่อจวินตายจากไป เขาก็ย้ายออกจากที่นี่ ซ้ำยังย้ายข้าวของข

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 600

    เมืองหลวงจวนเจิ้นกั๋วกง“เอี๊ยด”พ่อบ้านผลักประตูห้องหนังสือเข้าไป แล้วยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสืออย่างระมัดระวัง“หาเจอหรือไม่?”เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยถามเสียงเคร่งขรึมพ่อบ้านรีบก้มหน้าลงทันที “เรียนท่านกั๋วกง คนรับใช้ได้ค้นหาทั่วทั้งจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว แต่ก็ยังคงไม่พบของสิ่งนั้นที่ท่านกล่าวถึงขอรับ”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งพลันมืดมนลงยิ่งกว่าเดิม“คนล่ะ? มีผู้ใดเห็นคนน่าสงสัยเข้าใกล้ห้องหนังสือของข้า หรือว่าปรากฏตัวขึ้นบริเวณใกล้ๆ จวนเจิ้นกั๋วกงบ้างหรือไม่?”พ่อบ้านยังคงส่ายหน้า“ไม่พบขอรับ”เวินเฉวียนเซิ่งโมโหจนแค่นเสียงหัวเราะ “หึ” ออกมาทันที น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง“หาของก็ไม่เจอ หาคนน่าสงสัยก็ไม่พบ ข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำอะไรได้อีก?!”“ปัง!”เวินเฉวียนเซิ่งใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะอย่างแรง ตวาดด้วยความโมโห “ของสิ่งนั้นวางอยู่ในห้องหนังสือนี้ ข้าเพียงแค่ออกไปครู่เดียว ของก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรกัน หรือว่าจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งนี้จะมีผีที่รู้จักขโมยของปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว?!”พ่อบ้านถูกตวาดจนไม่กล้าตอบ ทำได้เพียงหดคอ รอจนกว่าเวินเฉวียนเซิ่งจะระบายความโกรธจนหมดแต่เรื่องในครั้ง

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 599

    “พี่รอง เมื่อครู่ท่านเข้าเรือนไปทำอะไรหรือเจ้าคะ? เหตุใดถึงไม่รับเงินของข้าเล่า?”เวินเยวี่ยแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ“ไม่มีอะไร ก็แค่เข้าไปหาของสักหน่อย ตอนนี้หาเจอแล้ว”เวินจื่อเฉินยื่นมือไปรับพวงเงินนั้นมาจากมือของเวินเยวี่ย พอพบว่าแม้กระทั่งเชือกที่ร้อยพวงเงินก็ยังแตกต่างจากเส้นที่เขาใช้ เขาก็ยิ่งแน่ใจมากขึ้น ครั้งนี้ตนเองคงเข้าใจนางผิดไปจริงๆแต่เวินจื่อเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เงินนี้ข้าจะรับไว้ก่อน คืนนี้พวกเจ้าอยากกินอะไร ข้าจะได้แวะซื้อกับข้าวกลับมาด้วยเลย”เวินเยวี่ยแอบสังเกตการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเขาพอเห็นว่าเวินจื่อเฉินเชื่อสนิทใจแล้ว มุมปากนางก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นออกมาเพียงเท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้พวงเงินของพี่รอง “หายไป” ก็จะไม่สงสัยมาถึงตัวนางส่วนนางก็แค่เล่นตุกติกนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเองการหยิบไปทั้งพวงนั้นถูกจับได้ง่าย แต่ถ้าแต่ละพวงหยิบไปแค่สองสามเหรียญ เช่นนั้นเวินจื่อเฉินจะมานั่งนับอย่างละเอียดได้อย่างไรกันประกอบกับพอนางมาถึงก็เอา “เงินของตนเอง” ออกมาใช้แล้ว นางช่าง “ใจดีมีมารยาท” เช่นนี้

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 598

    ทั้งเวินจื่อเฉินและเวินจื่อเยวี่ย ทั่วทั้งร่างกายและใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยบาดแผลแต่เมื่อเทียบกันแล้ว บาดแผลของเวินจื่อเฉินไม่สาหัสเท่ากับของเวินจื่อเยวี่ยดังนั้น หลังจากเขาพักไปเพียงครู่หนึ่ง ก็ใช้มือยันพื้นแล้วลุกขึ้นยืนเขามองเวินเยวี่ยและเวินจื่อเยวี่ยแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่นานเท่าไร?”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เวินเยวี่ยและเวินจื่อเยวี่ยก็สบตากันแวบหนึ่งจากนั้นเวินจื่อเยวี่ยจึงกล่าวว่า “ข้อเท้าของน้องหกเคล็ด อาจจะต้องพักฟื้นสักหน่อย ดังนั้นก็น่าจะราวๆ หนึ่งเดือนกระมัง?”ในเมื่อพี่รองเปลี่ยนใจในที่สุด และยินยอมให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อแล้วถ้าเช่นนั้นก็เผื่อไว้หน่อย บอกให้นานขึ้นอีกสักนิดเวลาหนึ่งเดือนก็น่าจะพอให้พวกเขาทำเรื่องที่ท่านพ่อมอบหมายให้สำเร็จแล้วเวินจื่อเยวี่ยบอกไปเผื่อๆ ว่าหนึ่งเดือน เวินจื่อเฉินแสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้เขามองไปรอบๆ กระท่อมฟางทั้งสองด้าน ครู่ต่อมาจึงเอ่ยปาก “เช่นนั้นข้าจะสร้างกระท่อมให้พวกเจ้าอีกสองหลัง”เวลาหนึ่งเดือนจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้นที่นี่ของเขามีกระท่อมเพียงหลังเดียว ย่อมไม่เพียงพอให้พวก

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status