ลู่ฉางกัง ได้พบหีบไม้โบราณซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูล เมื่อเปิดออกมันได้พาเขาย้อนเวลาไปยังมิติยุคโบราณ และกลายเป็นเพียงเด็กชายวัยสิบหนาว ในมิติคู่ขนานเขาพบกับคนสำคัญที่ชาตินี้เขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจออีก การย้อนเวลาครั้งนี้นอกจากจะทำให้เขาได้มีโอกาสแก้ไขหลายเรื่องราวที่เคยผิดพลาด แต่ยังช่วยเติมเต็มเสี้ยวความทรงจำที่ขาดหายไปเมื่อครั้งยังเด็ก
View More1
คุณชายตระกูลลู่
เสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พบว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นแต่ไกลคือถุงผ้าสีน้ำตาลใบหนึ่ง มือเหี่ยวย่นเอื้อมออกไปหยิบถุงผ้ามาเปิดดู สิ่งที่อยู่ในถุงทำให้นางเบิกตาโตตะลึงค้าง..
"เชาถง! ปิงเหยียนออกมาดูนี่เร็วเข้า!"
...
...
นครฉงเทียน 2024
รถซูเปอร์คาร์สุดหรูเล่นพาดผ่านถนนคดเคี้ยวเชิงเขา หญิงสาวที่นั่งมาด้วยลดกระจกลงรับอากาศบริสุทธิ์ สายลมอ่อนสะพัดมาได้กลิ่นหอมของมวลต้นไม้ใบหญ้าผสมกับกลิ่นดินกรุ่นหลังฝนตกใหม่ ภูเขาตรงหน้าตั้งตระหง่านระฟ้า ความพิเศษของหุบเขาแห่งนี้คือขึ้นสลับสับหว่างสวยงามราวจับวาง หากไม่ติดว่านี่คือดินแดนมนุษย์ ผู้มาเยือนอาจหลงผิดคิดว่าเป็นดินแดนสวรรค์
"วั้งซานกู่" คือสถานที่ทางธรรมชาติสุดแสนมหัศจรรย์ นอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้วยังมีลำธารไหลลงมาจากยอดเขา เป็นแหล่งน้ำสะอาดบริสุทธิ์ มีความใสกระจ่างจนมองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายไปมา แม้กระทั่งก้อนกรวดเล็ก ๆ ที่ก้นลำธารก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
บรรยากาศในรถค่อนข้างอึดอัดอยู่ไม่น้อย เนื่องจากผู้โดยสารทั้งหมดไม่ได้ปริปากพูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว กระทั่งรถเคลื่อนมาจอดยังตีนเขาซึ่งเป็นที่ดินแปลงใหญ่สุดลูกหูลูกตา ถือครองโฉนดที่ดินโดยทายาทตระกูลลู่ยาวนานหลายชั่วอายุคน
ตระกูลลู่คือตระกูลเก่าแก่ร่ำรวยมหาศาล ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และประเภทส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ มากด้วยเงินทองและบริวาร เพราะอย่างนั้น ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของรุ่นปัจจุบันอย่าง "ลู่ฉางกัง" ถึงได้หยิ่งยโสเพียงนี้
หากไม่มีเรื่องราวสะเทือนขวัญเมื่อสิบปีก่อน ฉางกังก็คงไม่ต้องแบกรับทุกอย่างลำพัง เขาเคยมีพ่อและแม่อยู่กันพร้อมหน้า ทว่าทุกอย่างผันผ่านราวกับฝัน อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดพรากทุกคนไปจนหมด ปัจจุบันนี้มีเพียงคุณย่าเพียงคนเดียวซึ่งเป็นครอบครัวที่เขาเหลืออยู่
ชายหนุ่มมองออกไปนอกกระจกรถ เห็นบ้านเรือนทรุดโทรมจำนวนกว่าร้อยหลังคาที่ตั้งอยู่หนึ่งหย่อม จึงรู้สึกขวางหูขวางตาเป็นอย่างมาก พร้อมกันนั้นหลากหลายคำถามผุดขึ้นมาในหัว
...เพราะอะไร...ทำไมคุณย่าถึงได้เมตตาคนกลุ่มนี้นักนะ
คุณย่าถึงขั้นอนุญาตให้คนจน ๆ เข้ามาสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยและให้ใช้ที่ดินทำกิน โดยคิดค่าเช่าเพียงเดือนละหนึ่งตำลึง
...ฟังไม่ผิด...ค่าเช่าเพียงหนึ่งตำลึงต่อเดือน!
สิ่งเหล่านี้ขัดต่อหลักการทางความคิดของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าหากต้องเสียอะไรไป ต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนมาอย่างคุ้มค่า แต่เท่าที่เห็นฉางกังคิดว่าคนพวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยต่อตระกูลลู่ ก็แค่คนยากจนไร้ที่พึ่งพิงและไม่มีที่ไป หวังอาศัยบารมีของตระกูลลู่คุ้มกะลาหัว หากให้อยู่ต่อก็รังแต่จะสร้างความเสื่อมโทรมและทำลายทัศนียภาพของที่ดินผืนงามจนด้อยราคาลง
ดังนั้น จุดประสงค์หลักในการมาของฉางกังในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการออกคำสั่งขับไล่ชาวบ้านออกไปอยู่ที่อื่น เขาคิดว่าหากปราศจากบ้านเรือนโกโรโกโสแล้ว ที่ดินผืนนี้น่าจะงามกว่าเดิมหลายเท่า ถ้าจะขายต่อนายทุนสร้างเป็นรีสอร์ทก็ดูเข้าที หรือทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติก็ดูไม่เลว
ท่อนขายาวท่าทางกำยำก้าวลงจากรถ ภายใต้ชุดสูทสีกรมท่าดูหรูหรา ยังมีนาฬิกาเรือนโปรดที่ประมูลมาในราคาหลายสิบล้าน ดู ๆ ไปแล้วก็ช่วยเสริมสร้างบุคลิกให้สง่าขึ้นไปอีก ใบหน้ามาดคมเข้มผุดผ่องสมกับที่เกิดในตระกูลบารมีสูงส่ง ผิวที่ขาวกระจ่างราวหยกน้ำค้างเมื่อกระทบแสงแดดยามเว่ยดูดีเกินจะบรรยายได้ ทว่าภายใต้รูปลักษณ์ที่สง่างามนี้ จิตใจของลู่ฉางกังกลับถูกฝังกลบไปด้วยความเย็นชาไร้ซึ่งความเห็นใจผู้อื่น
หญิงสาวที่นั่งมาด้วยก็เดินลงจากรถเช่นกัน นามของเธอคือ จางลี่อิน แฟนสาวที่คบกันมานานหลายปีของฉางกัง เธอคนนี้แต่งตัวเรียบง่ายไม่เวิ่นเว้อเหมือนชายหนุ่ม
ตามมาด้วยเข่อซิง เลขาคนสนิทของฉางกังที่ลงจากรถเป็นคนสุดท้าย หลังจากที่ทั้งสามลงจากรถ ไม่นานก็มีชายวัย 60 หนาวคนหนึ่งเดินมาทางพวกเขา
ตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป
Comments