มุมปากของเวินซื่อยกขึ้น ยิ้มตาหยีแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดีเลย ข้ายังมีคนที่อยากจะตบอีก”รอยยิ้มบนใบหน้าของใครบางคนยิ่งเด่นชัดขึ้น “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดรอสักครู่”พอสิ้นเสียง เขาก็ยกเท้าก้าวออกจากข้างกายเวินซื่ออีกครั้ง เดินมุ่งหน้าลงไปข้างล่างไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อทุกคนเห็นเขาลงมา ในใจก็พลันหวาดหวั่นเวินจื่อเยวี่ยที่เดิมทีขวางอยู่หน้าเวินซื่อ จงหย่งโหวที่ยืนอยู่ด้านข้าง เหล่าองครักษ์ของจวนเจิ้นกั๋วกง แม้แต่เวินเยวี่ยและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ เวินอวี้จือ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังโดยไม่รู้ตัวการถอยครั้งนี้ ก็เป็นการเปิดทางให้เดินและเผยให้เห็นเวินอวี้จือที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น เนื่องจากเมื่อครู่ล้มค่อนข้างแรง ทำให้จนถึงตอนนี้ไม่สามารถเคลื่อนเก้าอี้รถเข็นได้และใครบางคนก็หยุดอยู่ตรงหน้าเขาพอดี“เจ้า... เจ้าคิดจะทำอะไร?!”เวินอวี้จือกัดฟันแน่น เงยหน้ามองคนที่เรียกกันว่า “องครักษ์” ที่อยู่ตรงหน้า“ข้าคือคุณชายสี่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกง ข้า...อ๊าก!”เวินอวี้จือยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกอีกฝ่ายคว้าคอเสื้อไว้ จากนั้นก็ลากเขาลงจากเก้าอี้รถเข็นมาบนพื้นอย่างไร้ความปรานี แล้วลากไป
สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งมืดมนในทันทีครั้งล่าสุด คนที่กล้าท้าทายเขาต่อหน้าเช่นนี้ คือเป่ยเฉินหยวนท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้นั้นดูเหมือนว่าสองคนนี้คงจะสนิทสนมกันเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป่ยเฉินหยวนสอนอะไรไปบ้าง ถึงขั้นทำให้บุตรสาวที่ถูกเขาขับไล่ออกไปแล้วผู้นี้ ถึงกับกล้าหาญขึ้นมากถึงเพียงนี้เวินเฉวียนเซิ่งกำลังจะเอ่ยปาก บุตรชายอีกคนของเขากลับตะโกนออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้“เวินซื่อ! เจ้าอย่าได้อวดดีให้มันมากนัก!”หลังจากที่เวินจื่อเยวี่ยพยุงเวินอวี้จือขึ้นมาแล้ว พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเวินซื่อ เขาก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที รีบพุ่งไปตรงหน้าเวินซื่อ “อย่าลืมว่าเจ้าก็เคยเป็นบุตรสาวของจวนเจิ้นกั๋วกงของเรา การที่เจ้าพูดจาข่มขู่พวกเราเช่นนี้ ไม่กลัวว่าวันหน้าภัยจะถึงตัวบ้างหรือ?!”“บังอาจ!”ในตอนนี้เอง จงหย่งโหวพลันตวาดเสียงดัง ลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้า ขวางอยู่ระหว่างเวินจื่อเยวี่ยกับเวินซื่อเขามองเวินจื่อเยวี่ยด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นเอ่ยขึ้น “กล้าเอ่ยพระนามธิดาศักดิ์สิทธิ์โดยตรง ถือเป็นการล่วงเกินธิดาศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนว่าจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านคงจะเป็นอย่างที่ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์กล่าวไ
เวินอวี้จือที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ล้มหน้าคะมำลงกับพื้น รอจนเขาเงยหน้าขึ้นมอง “องครักษ์” ที่กล้าลงมือกับตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ก็เห็นว่า “องครักษ์” ผู้นั้น ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาไป!“องครักษ์” เตะออกไปอีกครั้ง โดนเข้าที่ใบหน้าของเวินอวี้จือเต็มๆ เตะเขาจนหงายหลังล้มลงไปอีกครั้ง ล้มหงายท้องสี่ขาชี้ฟ้า ดูน่าขันอย่างยิ่งราวกับเต่ารอจน “องครักษ์” ผู้นั้นระบายอารมณ์เสร็จแล้ว เขาจึงยืนอยู่ตรงหน้าเวินอวี้จือ จากนั้นมองต่ำลงมาพลางเอ่ยขึ้น “คนอย่างเจ้า คู่ควรกล่าววาจาดูหมิ่นธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือ”“เจ้า!”เวินอวี้จือกำลังจะตวาดออกมาว่าคำพูดนั้นไม่ใช่ของเขา แต่พอเงยหน้าขึ้นกลับสบเข้ากับดวงตาที่เย็นชาและดุดันอย่างยิ่งของอีกฝ่ายดูแคลน รังเกียจ เหยียดหยาม... ราวกับมองมดปลวกอย่างไรอย่างนั้นหรือจะบอกว่าอีกฝ่ายราวกับมองทะลุคำโกหกอันโง่เขลาของเขาไปนานแล้ว ทำให้เวินอวี้จือถึงกับไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้งไปชั่วขณะ“บังอาจ!”เพราะ “องครักษ์” ผู้นั้นลงมือเร็วเกินไป ในชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ทุกคนในห้องโถงใหญ่ตกตะลึงจนนิ่งงันจนกระทั่งเวินเฉวียนเซิ่งเพิ่งจะตั้งสติได้ในตอนนี้ เขาลุกขึ้นอ
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา เวินซื่อก็หลับตาลงทันทีหากวันใดชุยเส้าเจ๋อเกิดตายอย่างกะทันหันขึ้นมา นั่นคงเป็นเพราะความโง่เขลา!ชุยเส้าเจ๋อที่รู้สึกผิดอย่างยิ่ง ยืนตัวแข็งอยู่กับที่สีหน้าที่ไม่อาจปิดบังความรู้สึกได้นั้น ทรยศเขาในทันทีเวินจื่อเยวี่ยและเวินอวี้จือที่เดิมทีไม่กล้าพูดอะไร พลันได้สติกลับมา ต่างก็แย่งกันตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว“ใช่ ถูกต้อง เขาถูกน้องสี่จับได้ตอนที่กำลังจะไปที่เรือนของเวินซื่อ!”“ก็เพราะเขาเพิ่งแต่งงานกับน้องหก แต่กลับยังมีความคิดสกปรกที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้เหล่านั้น น้องสี่ถึงได้โกรธจนเลือดขึ้นหน้า สั่งให้คนตีขาเขาจนหัก!”“ตอนนั้นพี่เส้าเจ๋อก็ยอมรับด้วยตนเอง ข้าเคยเตือนเขาแล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังดันทุรังไม่ลืมหูลืมตา ถึงขั้นกล่าววาจาท้าทายต่อหน้าข้า พูด...พูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกมา ข้ากลัวว่าคำพูดเหล่านั้นจะส่งผลกระทบต่อจวนเจิ้นกั๋วกงและจวนจงหย่งโหวของเรา จึงได้คิดจะวางยาพิษเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่โตในภายหลัง”ขณะที่เวินอวี้จือกล่าว ก็แสดงสีหน้าจนปัญญาออกมา ท่าทางนั้นราวกับว่าเขาถูกบีบบังคับจริงๆ ถึงได้เลือกที่จะวางยาพิษชุยเส้าเจ๋อชุยเส้าเจ๋อท
เวินอวี้จือจะกล้าหรือ?แน่นอนว่าเวินอวี้จือไม่กล้าเพราะก่อนหน้านี้เขาโกรธจนแทบคลั่งเรื่องที่ชุยเส้าเจ๋อแต่งน้องหกเป็นอนุภรรยา ดังนั้นด้วยความโกรธ เขาจึงเตรียมยาพิษร้ายแรงให้กับชุยเส้าเจ๋อ!คนที่ร่างกายแข็งแรงอย่างชุยเส้าเจ๋อ ถึงแม้จะถูกทรมานอย่างเจ็บปวด ก็ยังสามารถทนได้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปแต่ถ้าเปลี่ยนเป็นร่างกายที่อ่อนแอของเขา เกรงว่าหลังจากดื่มยาพิษเข้าไปแล้ว คงจะเสียชีวิตทันทีสีหน้าของเวินอวี้จือซีดเผือดแม้ว่าปกติแล้วใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวเพราะความเจ็บป่วยอ่อนแอ แต่ในเวลานี้เขากลับดูซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม ซีดจนราวกับว่าไร้เลือดฝาดครู่ต่อมา เวินอวี้จือเข็นเก้าอี้รถเข็นเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พอมาถึงตรงกลางจึงค่อยเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค “สิ่งที่ท่านอาเขยกล่าว...ไม่เหมาะสม”“ไม่สมควร หรือว่าเจ้ากลัว?”จงหย่งโหวกล่าวอย่างเย็นชาเวินอวี้จือส่ายหน้า ดูท่าทางราวกับสงบนิ่งจริงๆ ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย “ไม่ใช่กลัว เพียงแต่ท่านอาเขยก็รู้ว่า ร่างกายของข้าเจ็บป่วยมาตั้งแต่เด็ก อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงมาตลอด ตั้งแต่ครั้งที่เฉียดตายเพราะพี่เส้าเจ๋อ ร่างกายของข้าก็ยิ่งอ่อนแอลง แม้แต่ยาน
สายตาของพวกเขา นอกจากหลานชายคนโตอย่างฉางอวิ้นแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเหมือนหมาป่าดุร้ายที่คอยเฝ้ากับดัก จ้องมองเหยื่อข้างบนที่ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ราวกับกำลังดูว่านางจะกระโดดลงไปในกับดักหรือไม่กับดัก...คำพูดเมื่อครู่นี้ของนางมีกับดักอะไรซ่อนอยู่หรือ?เหตุใดนางถึงไม่รู้?เวินหย่าลี่หันไปมองสามีของตนด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อยทันทีจงหย่งโหวตบมือของนางเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปยังตำแหน่งประธานเหมือนคนอื่นๆ “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ ชาเย็นแล้วขอรับ”“องครักษ์” ที่อยู่ข้างหลังเวินซื่อพลันเอ่ยแทรกบรรยากาศเช่นนี้ขึ้นมา ยื่นมือไปคว้าถ้วยชาที่เพิ่งเติมและวางทิ้งไว้ครู่หนึ่งในมือของเวินซื่อ เสียงนี้...?เวินซื่อเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย แต่นางไม่ได้หันไปมองด้านหลัง เพียงแต่ส่งถ้วยชาให้เขา “เช่นนั้นก็เปลี่ยนถ้วยใหม่เถิด”“องครักษ์” คนนั้นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ขอรับ ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดรอสักครู่”รอจนกระทั่งเขาเติมชาร้อนถ้วยใหม่ให้เวินซื่อด้วยมือของตนเองแล้ว จึงวางถ้วยชานั้นไว้ข้างมือของเวินซื่ออีกครั้งส่วนเวินซื่อยกถ้วยชาขึ้น นั่งจิบชาอย่างเงียบ