"ท่านปู่ขายอะไรเจ้าคะ"
หลินหลินเอ่ยถามชายชราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ผู้เฒ่าเฉียวค่อย ๆ เงยหัวขึ้นมองคนตรงหน้า ดวงตาที่แสนเศร้าหมองและเหนื่อยล้า แต่กลับมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้หลินหลิน
ภาพของชายชราผู้โดดเดี่ยว ทรุดโทรม และสิ้นหวัง สะท้อนเข้ามาในใจหลินหลินอย่างไม่อาจห้ามได้ นางเห็นถึงความอ่อนล้าในทุกอิริยาบถของเขา ร่างกายที่ผ่ายผอม เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น และแผ่นผ้าเก่า ๆ ที่ปูรองหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตที่ยากลำบาก
"คุณหนู..."
เสียงแหบพร่าของชายชราทำให้หลินหลินรู้สึกสะท้านในใจ มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง
"ข้าขายตำราขอรับ คุณหนูสนใจตำราหรือขอรับ... ตำราพวกนี้ข้าน้อยสะสมมันมาทั้งชีวิต ตอนนี้ชราแล้ว บุตรชายก็มาบาดเจ็บ จึงต้องนำมันมาขาย เชิญคุณหนูเลือกดูก่อนขอรับ"
หลินหลินหยิบขึ้นมาเปิดผ่าน ๆ
"ท่านปู่ ตำราท่านขายยังไงเจ้าคะ"
ปู่เฉียวกลัวว่าวันนี้เขาจะไม่มีเงินไปจ่ายค่าหมอให้ลูกชาย จึงตัดใจลดราคาตำราลง
"เรียนคุณหนูตามตรง ตำราพวกนี้ปกติข้าขายอยู่เล่มละ 2 ตำลึงขอรับ แต่บัดนี้จนใจต่อโชคชะตาแล้ว.... ข้าน้อยหวังเพียงเงินไปจ่ายค่าหมอค่ายาให้บุตรชาย คุณหนูให้เท่าไรข้าน้อยก็จะขอรับไว้ขอรับ"
หลินหลินมองกองหนังสือตรงหน้า ที่มีอยู่ 10 เล่ม เป็นหนังสือแนะนำอักษร หนังสือโบราณ ร่างบางเก็บหนังสือทั้งหมดเข้าช่องประมูลที่มิติแลกเปลี่ยน ระบบทำการประมูล ราคาเริ่มต้นได้เงินมากถึง 4 เหรียญทอง หลินหลินยังไม่กดตกลง แต่ถอนสินค้าทั้งหมดกลับออกไปนอกมิติ พรึ่บ...
"ท่านปู่"
เสียงหวานดังขึ้น เรียกสายตาของชายชรา
"ดั่งที่ท่านว่าไว้ วันนี้ท่านจนใจต่อโชคชะตา ท่านเซียนบนสวรรค์จึงส่งข้ามารับซื้อหนังสือพวกนี้ของท่านในราคา 4 เหรียญ ไม่ทราบท่านปู่จะขายให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ" (หลินหลินพูดเสียงเบา และไม่ระบุว่า 4 เหรียญทอง เพราะนางกลัวใครจะมาได้ยิน)
ผู้เฒ่าเฉียวน้ำตาไหลพราก เขาขายหนังสือพวกนี้ได้แล้ว... สองมือที่สั่นเทา ยกมือเหนือหัวแล้วโค้งตัวเอาหัวจรดพื้นทั้งที่นั่งอยู่ ดวงตาที่ฝ้าฟางเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาของความดีใจ
เขาทำได้เพียงนั่งโขกหัวขอบคุณสวรรค์เท่านั้น เมื่อได้สติ ผู้เฒ่าเฉียวก็หันมาตอบหลินหลิน
"ข้าน้อยขอบคุณท่านเซียนขอรับ"
หลินหลินยิ้มบาง นางไม่อยากทำลายความสุขของใคร จึงไม่ปฏิเสธว่านางไม่ใช่เทพเซียน นางกวาดมือ หนังสือทุกเล่มก็หายไป หลินหลินยื่นส่งถุงเงินที่ข้างในใส่เงินไว้ 4 เหรียญทอง ให้ผู้เฒ่าเฉียว พร้อมกล่าวเบา ๆ ว่า
"สวรรค์จะตอบแทนผู้ที่มีความตั้งใจเจ้าค่ะ"
ในใจของหลินหลินรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด นางไม่เคยคิดว่าการช่วยเหลือผู้อื่นจะทำให้นางมีความสุขได้ถึงเพียงนี้
ครั้งนี้นางจะเป็นตัวแทนของสวรรค์ให้ละกัน ไหน ๆ ก็ได้ช่วยแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยให้สุดไปเลย
"ท่านปู่ ท่านพักที่ใดเจ้าคะ"
"ข้าน้อยพักอยู่ที่นอกเมืองขอรับ ออกจากประตูเมืองทางเหนือไป เดินเท้า 1 ชั่วยาม (2 ชั่วโมง) จะมีหมู่บ้านแห่งความหวังเล็ก ๆ ขอรับ"
หลินหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งท่านผู้เฒ่าชรามาก แต่ยังต้องแบกหนังสือเดินทางถึง 1 ชั่วยาม ดีนะที่นางมาพบเจอ
นางเรียกเด็กน้อยที่อยู่แถว ๆ นั้นให้ไปตามรถม้ารับจ้างมา ค่าจ้างของเด็กน้อยคือซาลาเปาไส้หมูลูกโต ๆ คนละลูก
เด็กน้อยเห็นแบบนั้นจึงวิ่งไปตามรถเทียมม้ารับจ้างถึง 5 คน นางต้องรีบตะโกนว่านางต้องการรถม้าแค่คันเดียวนะ เด็ก ๆ โบกมือหยอย ๆ คล้ายบอกนางว่าเข้าใจ
“ฮ้่าๆๆ....เด็กหนอเด็ก”
พอรถม้ามาถึง นางก็สอบถามค่ารถม้าเท่าไร ลุงคิด 70 อีแปะ นางตกลงและวานให้ลุงคนขับไปซื้อซาลาเปามา 2 ลูก คนขับก็เดินไปซื้อให้ด้วยความใจดี ไม่มีสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด เขารับเงิน 1 ตำลึงแล้วหันหลังจากไปเพื่อไปซื้อซาลาเปาให้นาง
โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่านางแค่ไม่อยากให้คนเห็นว่านางเอาของออกจากมิติ.... นางส่งซาลาเปา 5 ลูกใหญ่ให้เด็กจนครบ เด็ก ๆ วิ่งหนีหายไปคนละทิศละทาง เด็ก ๆ พวกนี้คงต้องเอาไปแบ่งคนที่บ้านเป็นแน่ ช่างน่ารักจริง
ระหว่างที่ผู้เฒ่าลุกเตรียมตัวจะกลับ นางได้ขอผ้าเก่า ๆ ที่ท่านผู้เฒ่าปูนั่ง นางเดินไปที่หลังต้นไม้ เอาของออกจากมิติ มีข้าวสาร ผักสด ผักดอง เนื้อหมู ผลไม้ เมื่อใส่ทุกอย่างเสร็จแล้วนางก็ผูกผ้าเป็นปม ยกขึ้นวางไว้ภายในรถม้า นางหันมาพยุงผู้เฒ่าขึ้นไปรอบนรถ
“ท่านปู่ ลูกชายท่านป่วยเป็นอะไรเจ้าค่ะ “
ผู้เฒ่าก็ได้เล่าว่า ลูกชายเขาเป็นนายพราน หลายวันก่อนเอาสัตว์ที่ล่าได้ไปขายในเมือง ตอนขากลับไปพบหญิงสาวที่จะถูกทำร้าย จึงต่อสู้กับพวกอันธพาลเพื่อช่วยหญิงสาวนางนั้น แต่ฝั่งนั้นมีมากถึง 4 คน ลูกชายของข้าน้อยแม้ต่อสู้ชนะ แต่ก็เจ็บหนัก ท่านหมอรักษาตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้ว
“แต่ค่ารักษาและค่ายาสูงถึง 5 ตำลึง ข้าน้อยก็เลยนำของที่สะสมไว้ยามเรียนที่เมืองหลวงมาขาย แต่ว่าที่นี่ไม่มีคนสนใจ จนมาเจอท่านเซียนขอรับ"
น้ำเสียงของผู้เฒ่าสั่นเครือเมื่อเล่าถึงความโชคร้ายของบุตรชาย หลินหลินรู้สึกถึงความเจ็บปวดของคนเป็นพ่อที่ต้องเห็นลูกชายบาดเจ็บโดยที่ตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรได้
"ข้าไม่ใช่เซียนหรอกเจ้าค่ะท่านตา แค่สวรรค์เมตตาให้เราได้พบกันเท่านั้น" (หลินหลินเริ่มละอายใจ นางไม่ใช่เซียน ท่านตาอย่าพูดบ่อยเจ้าค่ะ...)
เมื่อได้รู้ว่าฝั่งผู้เฒ่าไม่มีอะไรน่าห่วง หลินหลินก็สบายใจ เงินนี้จะช่วยพวกเขาได้อีกนาน
รอไม่นาน ลุงคนขับรถม้าก็มาถึง เขาส่งซาลาเปาและเงินทอนให้นาง แต่หลินหลินกลับส่ายหน้าและแจ้งกับเขาว่า
"ข้าซื้อมาให้ท่านไว้กินระหว่างเดินทางไปส่งท่านผู้เฒ่า และเงินที่เหลือคือค่าจ้าง ไม่ต้องทอน"
ลุงคนขับรถม้าขอบคุณนางถึง 3 ครั้งด้วยแววตาซาบซึ้ง ก่อนจะบังคับรถม้าจากไป
หลินหลินมองดวงตะวัน ตอนนี้น่าจะยามอู่แล้ว (11.00-12.59) นางจึงรีบมุ่งหน้าไปยังเหลาฝู่หรง เพราะน่าจะออกมาได้ 1 ชั่วยามแล้ว (2 ชม.)
เมื่อไปถึงก็เป็นไปตามคาด สีหน้าพวกเขาผ่อนคลายทันทีที่เห็นหน้านาง
"รอข้านานไหมเจ้าคะ"
"ไม่นานขอรับ พวกเราเพิ่งกินเสร็จขอรับ"
ปู่หลิวรีบตอบ (จะให้เขาบอกได้ไงว่าพวกเขากินเสร็จตั้งแต่คุณหนูออกไปไม่นาน ไม่เท่ากับว่าพวกเขาตะกละตะกลามหรอกหรือ แค่พวกเขาเป็นผู้ชายจึงกินไวมากเป็นพิเศษเท่านั้น)
หลินหลินให้สือหย่งบอกเสี่ยวเอ้อให้คิดเงินเลย ราคาแต่ละอย่าง 1-3 ตำลึงต่อจาน อาหาร 6 อย่าง ข้าว 4 ถ้วย น้ำชา 2 กา หลินหลินจ่ายไป 10 ตำลึงเงิน
พอนางจ่ายเงินเสร็จก็เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของทั้ง 3 คน
"พวกท่านเป็นอะไรเจ้าคะ ทำไมทำสีหน้าเช่นนั้น"
"อ่อ... พวกเราขอบพระคุณคุณหนูที่เลี้ยงอาหารพวกเราขอรับ"
หลินหลินยิ้มสดใส
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้พวกท่านจะต้องช่วยข้าอีกหลายอย่าง เดี๋ยวจะต้องเหนื่อยยกของอีกเยอะ ต้องเติมพลังก่อน หลังจากนี้ห้ามบ่นนะเจ้าคะ"
ปู่หลิวมองรอยยิ้มจริงใจของคุณหนูอีกครั้ง
"คุณหนูมีนามว่าอะไรขอรับ"
ปกติเขาไม่เคยถามนามของผู้ว่าจ้าง เพราะส่วนใหญ่ทุกคนแค่จ้างเขาทำงาน ทำเสร็จก็รับเงิน แต่สำหรับคุณหนูท่านนี้ เขาจะจารึกนามของนางไว้ในใจของเขาเลย
"ข้ามีนามว่า หลินหลินเจ้าค่ะ เว่ยหลินหลิน"
ทั้งสามจดจำนามนี้ไว้แล้ว พวกเขาเชื่อว่าชาตินี้ทั้งชาติพวกเขาจะไม่ได้เจอคนใจดีแบบนี้อีก
หานเซียวเดินนำทางให้คุณหนู มีสือหย่งปู่หลิวขนาบซ้ายขวา นางตลกความเล่นใหญ่ของทั้งสาม เหมือนดาราที่มีบอดี้การ์ดเดินกันนำทางให้ยังไงยังงั้นเลย อิอิ
หลินหลินบอกหานเซียวให้เปลี่ยนจากร้านเครื่องประดับไปร้านที่ขายข้าวสารแทน เมื่อหลินหลินขึ้นรถม้า หานเซียวก็พานางมายังร้านที่เขาซื้อประจำ ร้านนี้เป็นร้านไม่ใหญ่ อยู่ในซอยคับแคบ แต่ที่เขาเลือกร้านนี้เพราะร้านนี้ขายในราคาที่เป็นธรรม ไม่เคยเอาเปรียบชาวบ้านสักครั้ง ร้านใหญ่ ๆ ส่วนมากเป็นร้านของขุนนาง เวลาชาวบ้านไปซื้อมักจะโดนข้าวผสม แต่เรียกร้องอะไรไม่ได้
"เชิญเชิญขอรับ ไม่ทราบนายท่านต้องการซื้ออะไรขอรับ"
เถ้าแก่จำหานเซียวไม่ได้ เพราะเขาใส่แหวนเวทเพิ่มอายุ จึงพูดดูแลเหมือนลูกค้าทั่วไป
หานเซียวก็วางตัวตามคำสั่ง ไม่ทักทายคนรู้จัก เขาเชิญหลินหลินลงจากรถม้า ซอยนี้ไม่ค่อยมีรถม้าเข้ามา เพราะไม่ใช่ซอยหลัก มันจึงเล็ก รถม้า 1 คันแทบจะเต็มซอย
เถ้าแก่เห็นชาวบ้านเริ่มเดินสวนกันลำบาก จึงขอให้หานเซียววนรถม้าไปเข้าทางด้านหลังร้าน ตรงนั้นมีพื้นที่สำหรับรถม้า
หลินหลินพยักหน้า นางเห็นด้วยเพราะนางก็ไม่สะดวกให้คนเห็นว่านางซื้ออะไรบ้าง หลินหลินมองดูเถ้าแก่ร้านนี้ รูปร่างเขาสูงใหญ่ ใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางใจดี แค่มองนางก็รู้สึกสุขใจกับคนตรงหน้าจนน้ำตาคลอ
หลินหลินสลัดความรู้สึกนี้ออกไป...แสดงว่าเขาคงเป็นคนดีมากคนหนึ่งเป็นแน่... นางถึงได้รู้สึกโชคดีที่ได้เจอเขาแบบนี้…
"คารวะคุณหนูขอรับ ข้าน้อยเจียง หย่งอัน เถ้าแก่ของร้านนี้ขอรับ.."
"คารวะเถ้าแก่เจียงเจ้าค่ะ"
หลินหลินเดินดูข้าวสาร ที่นี่มีตั้งแต่ข้าวชั้นล่าง ข้าวชั้นกลาง ข้าวชั้นดี
"เถ้าแก่ ข้าวสารราคาจินละเท่าไรเจ้าคะ"
"ถ้าข้าวชั้นล่าง ราคาจินละ 20 อีแปะขอรับ (ครึ่งกิโล) ส่วนชั้นกลาง 28 อีแปะ ชั้นดีราคา 35 อีแปะขอรับ"
ราคานี้ถือว่าถูกกว่าที่นางเห็นตอนเดินซื้อของเล็กน้อย นับว่าเถ้าแก่เป็นคนซื่อสัตย์ จิตใจดี ไม่เอาเปรียบชาวบ้านจริงๆ ทั้ง ๆ ที่นางแต่งตัวดีมีเงินจ่าย เถ้าแก่ก็ไม่คิดฉวยโอกาสขึ้นราคานาง ถ้าอย่างนั้นนางก็จะไม่ต่อราคาเช่นกัน
"เถ้าแก่ ท่านมีของเยอะไหมเจ้าคะ บอกท่านตามตรงว่าข้ากำลังจะทำทานครั้งใหญ่ จึงอยากรู้จำนวนที่ท่านมีอยู่ตอนนี้"
"คุณหนูรอสักครู่ขอรับ"
เถ้าแก่เดินไปเปิดลิ้นชัก หยิบสมุดจดของขึ้นมาตรวจสอบดู
"ข้ามีข้าวสารอยู่ไม่มากขอรับ อย่างละ 10 กระสอบขอรับ หากคุณหนูต้องการมากกว่านี้ต้องรออีก 5 วัน ข้าวจะเดินทางมาถึงขอรับ"
หลินหลินยิ้มกริ่ม นี่แหละร้านที่นางต้องการ คือมีของไม่มาก หากนางเหมาหลาย ๆ อย่าง เวลาของที่นางแจกออกไปก็จะไม่เป็นที่น่าสงสัย โครงการถุงยังชีพ มาถึงโลกใบนี้แล้ว นางจะริเริ่มเปลี่ยนแปลงที่นี่เอง