Masukกรุงเทพฯ สามปีต่อมา
หลังจากปานระพีและมหรรณพจดทะเบียนสมรสกันแบบงงๆ ทั้งสองก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย ต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง เธอก็ยังคงเป็นนางสาวปานระพี พงศ์วิริยะสกุล เพราะไม่ได้เปลี่ยนคำนำหน้าจากนางสาวเป็นนาง และไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล เพราะไตร่ตรองดีแล้ว ว่าการเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของนักธุรกิจคนดังอาจทำให้เธอถูกเพ่งเล็งจากใครก็ตามที่ไม่หวังดี โดยเฉพาะเพื่อนร่วมคณะที่ต่างพากันไม่ชอบขี้หน้าเธอ เพียงเพราะเธอเก่งกว่า หัวสมองดีเยี่ยม อาจารย์สอนอะไรก็จำได้หมด แถมยังสอบเข้ามหา’ลัยได้ในวัยเพียงสิบหก และกำลังจะจบแพทย์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ด้วยเกรดเฉลี่ยสูงที่สุดของรุ่น ในวัยเพียงยี่สิบสองปี
หากแต่พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ความลับอยู่อย่างว่า การเป็นอัจฉริยะต้องแลกมาด้วยการไร้สังคม ปานระพีมีปัญหาในการปรับตัวเข้าสังคมกับเพื่อนวัยเดียวกันเป็นอย่างมาก เพราะเธอกลายเป็นตัวแปลกแยก เนื่องจากมีพัฒนาการในการพูดช้า จนครูหลายคนคิดว่าเธอเป็นเด็กออทิสติก แต่ในทางกลับกันพัฒนาการทางด้านสมองกลับก้าวกระโดด สามารถคิดคำนวณตัวเลขได้อย่างแม่นยำ และสนใจกายวิภาค ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของวิชาชีววิทยาเป็นพิเศษ ยังผลให้เธอคุยกับเด็กในวัยเดียวกันไม่รู้เรื่อง ทุกคนต่างมองว่าเธอเป็นตัวประหลาด บ้างก็ว่าเธอบ้า พากันล้อเลียนว่าเธอเป็นยัยหมูอ้วนจอมเอ๋อ หรือไม่ก็ยัยอ้วนปัญญาอ่อนบ้างล่ะ ไปๆ มาๆ ก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ และเล่นด้วย
ฉะนั้นชีวิตในวัยเด็กของปานระพีจึงว้าเหว่ จากการขาดพ่อและแม่จนต้องมาอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เหงาเพราะไม่มีเพื่อน แต่ยังดีที่สวรรค์เมตตา ส่งคุณหญิงแม้นมาศมาช่วยเยียวยาแผลใจ ท่านไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่บ่อยครั้ง พาบริวารทำอาหารไปเลี้ยงเด็กๆ กระทั่งวันหนึ่งท่านบังเอิญเห็นเธอถูกแกล้ง แล้วไปแอบซุกตัวร้องไห้อยู่คนเดียว ขณะที่เด็กคนอื่นๆ พากันทานอาหารกลางวันอย่างเอร็ดอร่อย ท่านจึงสอบถามความเป็นมาจากผู้ดูแลสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และด้วยความเวทนาที่สุดท่านก็ทำเรื่องรับเธอไปเลี้ยงดู ให้ชีวิตใหม่แก่เธอ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องที่อยู่อาศัย การศึกษาที่แวดล้อมไปด้วยเด็กอัจฉริยะที่คุยกับเธอรู้เรื่อง คอยพร่ำสอนให้เธอเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสังคม สอนให้รู้จักการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น และรักเธอประดุจหลานสาวในไส้ จากปานระพี กล้าใจดี เด็กกำพร้าข้างถนนที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านำมาดูแล จึงกลายมาเป็น ปานระพี พงศ์วิริยะสกุล อย่างเช่นทุกวันนี้
ปานระพีเคยถามท่านว่า ทำไมท่านถึงรับเธอมาอุปการะ ทั้งที่เด็กคนอื่นหน้าตาน่าเอ็นดู ช่างพูดจาออดอ้อนฉอเลาะ และน่ารักกว่าเด็กที่กลัวสังคมอย่างเธอหลายเท่า ท่านก็ตอบว่า
‘เธอหน้าตาคล้ายลูกสาวคนเล็กของท่าน’
ปานระพีอยากจะสอบถามเกี่ยวกับลูกสาวคนเล็กของคุณย่ามากกว่านั้น หากแต่ความใคร่รู้กลับต้องถูกพับเก็บไว้ ในวินาทีที่เหลือบไปเห็นแววตาเศร้าหมองที่ไม่เคยปรากฏ ซึ่งเธอก็เพิ่งประจักษ์เมื่อไม่นานมานี้ ว่าลูกสาวคนเล็กของท่านก็คือมารดาของมหรรณพ ผู้ซึ่งได้ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน การจากลาอันแสนเจ็บปวด เพราะทิฐิทำให้ไม่ยอมเปิดอกคุยกัน ไม่ยอมพบหน้า และไม่มีแม้กระทั่งคำล่ำลา คงทำให้คนแก่เสียใจและทุกข์ระทมไม่น้อยเลยทีเดียว
“ปานระพี!”
เสียงเรียกจากทางเบื้องหลังมิอาจทำให้ผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองได้ยินแต่อย่างใด เจ้าของร่างอวบอั๋น ผิวขาวอมชมพู ผมดำขลับยาวไปถึงกลางหลัง ในชุดนักศึกษาตัวโคร่งจนร่างดูเทอะทะเหมือนคนอ้วน ยังคงนั่งนิ่ง และทอดนัยน์ตากลมโตภายใต้แพขนตางอนยาวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“ยัยแพร! วู้! คุณหมอแพร!”
ครั้นแสร้งเรียกชื่อจริงไม่หัน คนที่ป้องปากตะโกนเพราะต้องการแกล้งเพื่อนก็เรียกเชื่อเล่นเสียงดัง ทว่าอีกฝ่ายกลับยังไม่มีทีท่าว่าจะขานรับ เห็นดังนั้นผู้มาใหม่จึงเดินหัวเราะคิกคักมาหาเจ้าตัวเสียเอง
“ใจลอยไปถึงไหนน้อคุณเพื่อน ลอยไปถึงโมนาโกไหมนั่น ถึงได้เรียกยังไงก็ไม่หัน”
น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ปนเสียงหัวเราะคิกคักทำให้ผู้ที่จมปลักอยู่กับอดีตหลุดจากภวังค์ หันไปมองคนที่กำลังทรุดกายลงนั่งบนม้านั่งหินอ่อนตัวข้างกัน แล้วยิ้มอ่อน
“เธอเรียกเสียงเบาล่ะสิ เราถึงไม่ได้ยิน”
“เบาที่ไหน เราเรียกเสียงดังจะตาย แต่แพรมัวแต่ใจลอยเลยไม่ได้ยินต่างหากล่ะ” แม่สาววิศวะโยธาจอมเซี้ยวเอ่ยค้านด้วยท่าทางทะเล้น “ว่าแต่…ใจลอยไปถึงคนไกลจริงป่ะ”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ เราแค่คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ได้ยินเท่านั้นเอง”
เจ้าของใบหน้าหวานใสขยับปากรูปกระจับตอบหน้าตาย แต่พวงแก้มอิ่มกลับเป็นสีระเรื่อชวนมอง จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากล้อเลียนอย่างอดใจไม่ไหว
“ฮั่นแน่! หน้าแดงแบบนี้ คิดถึงสามีอยู่แหงๆ อย่ามาโกหกเสียให้ยาก”
“ชู่ว์…อย่าเอ็ดไปสิยัยลูกจันทร์ เดี๋ยวใครก็มาได้ยินเข้าหรอก”
หลังจากหันซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ปานระพีก็หันกลับมาปรามเพื่อนซี้ตัวแสบพร้อมทำหน้าดุใส่ แต่นอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้ว จันทร์เจ้าขา เมธาวดี สาวงามผู้ที่มีชื่อแสนจะหวานหยดย้อยเหมือนใบหน้า แต่ขัดกับบุคลิกห้าวๆ ลุยๆ อย่างสิ้นเชิง กลับอมยิ้มแก้มตุ่ย แถมยังทำท่าสูดปากแซว
“หูยยยย…ความปกป้องสามี”
“หยุดแซวเราได้แล้วน่า”
ทนไม่ไหวคนถูกล้อมากๆ เข้าก็ฟาดมือลงที่แขนอีกฝ่ายเบาๆ แต่แทนที่จะเลิกคุยเรื่องสามีของปานระพี สาวห้าวกลับวกมาถามไถ่ถึงสิ่งที่ยังค้างคาใจเสมอมา
“งั้นก็บอกเรามาเสียที ว่าแพรคิดยังไงถึงได้จดทะเบียนสมรสกับคุณมหรรณพ และเพราะอะไรถึงทำให้แพรตกหลุมรักเขามากมายถึงเพียงนี้” คำถามอย่างกรรมการนางสาวไทยมาเป็นชุด
“ก็บอกแล้วไง ว่าเขาเคยช่วยชีวิตเราไว้” ว่าที่คุณหมอสาวตอบอย่างยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่คนเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อเบ้หน้า ทำท่าเซ็งจัด
“โธ่! ตอบแบบนี้ไม่ตอบเสียยังดีกว่า”
“แล้วถามทำไมล่ะ”
“ก็เราอยากรู้นี่นา ว่าเขาช่วยแพรยังไง เล่าให้เราฟังมั่งดิ…นะๆๆ” ท้ายประโยคแม่สาวหน้าหวานดาวมหา’ลัยทำตาปริบๆ ออดอ้อน
“ไม่บอก เป็นความลับ”
ให้ตาย! เขาโทรหายัยเด็กดื้อเงียบนั่นตั้งเกือบห้าสิบสาย คนที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์สบถในใจด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน และเพราะมัวแต่สนใจเครื่องมือสื่อสารที่ว่า เขาจึงไม่รับรู้ถึงการมาของลูกน้องคนสนิท “ผมไม่เคยเห็นนายหมกมุ่นกับเรื่องของผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน”น้ำคำเหมือนชวนคุยแต่เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างมากล้น ทำให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาต่อสายโทรศัพท์ชะงัก เงยขึ้น สีหน้าไม่สบอารมณ์พลันเฉยชาในบัดดล “ฉันให้แกมารายงานเรื่องที่ให้ไปสืบ ไม่ใช่ให้มาตั้งคำถาม” เสียงห้วนจัดรวนกลับ “คนนี้จริงจังใช่ไหมครับ”ร่างสง่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกมืนขึ้นกอดอกถ่วงเวลาด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย เล่นกับความรู้สึกคนรอท่าคำตอบ แล้วถึงขยับปากเอ่ยออกมา “นั่นเมียกูไหม”“ก็ไหนว่าไม่เต็มใจจดทะเบียนสมรสไงครับ”ไอ้ลูกน้องเวร! มันยังไม่เลิกเซ้าซี้อีก“มึงจะมาอยากรู้อะไรนักหนาวะ”“งั้นนายก็ตอบมาสิครับ ผมจะได้ไม่ถามให้รำคาญอีก”หึ! ได้คืบจะเอาศอก “ถ้ามึงไม่พูดเรื่องที่กูให้ไปจัดการ ก็ไสหัวไปไกลๆ ตีน”มหรรณพเอ่ยอย่างเฉียบขาด เขาไม่คิดจะอธิบายเรื่องส่วนตัวให้ลูกน้องฟังอยู่แล
“เอ่อ…พี่แพรกับคุณหวงไม่ได้รักกันหรอกเหรอคะ”หลังจากอึ้งไปอึดใจปิยฉัตรก็เอ่ยถามอย่างไม่เต็มเสียงมากนัก เพราะเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทกับการละลาบละล้วง อีกอย่างก็กลัวจะไปกระทบจิตใจอีกฝ่ายเข้า “ถ้าจะรัก ก็คงมีแค่พี่ที่แอบรักสามีตัวเองข้างเดียวมาตั้งแต่เล็กจนโต รักทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ รักจนยอมสละไตข้างหนึ่งให้เขาในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุปางตาย”“การสละไตข้างหนึ่งที่ทำให้หมอคนที่เพิ่งไปกับคุณหวงเป็นข่าว และถูกยกย่องว่าเป็นนางฟ้าชุดกาวน์ใช่ไหมคะ”ปิยฉัตรละล่ำละลักอย่างตกใจ เริ่มเดาได้ว่าสาวสวยที่เพิ่งจากไปคือคนที่มาชุบมือเปิบเอาความดีความชอบที่ปานระพีสมควรจะได้รับไปอย่างหน้าตาเฉย “ฮื่อ…”“แล้วทำไมพี่แพรไม่บอกความจริงกับคุณหวงไปตรงๆ ล่ะคะ” ปิยฉัตรเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนแทน รู้สึกสงสารคนที่ทำตัวปิดทองหลังพระเช่นปานระพีจับจิต “มันไม่มีประโยชน์หรอก เขาไม่ได้รักพี่ และเราสองคนก็กำลังจะหย่ากัน”ปานระพีส่ายหน้า แล้วยิ้มเศร้า จากนั้นก็ปรับทุกข์กับอีกฝ่ายอีกนิดหน่อย ส่วนปิยฉัตรก็เล่าถึงสาเหตุที่เธอต้องมาขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ตบท้ายด้วยการขอร้องให้ปานระพีช่วยบอกเธอ หากว่าเห็นอะไรไม่
บ่ายวันนั้น หลังจากตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาลรักษ์เสร็จ ปานระพีก็ถูกมหรรณพลากติดมือไปขึ้นรถ ครั้นจะหาทางหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพ่อคุณดันมานั่งเฝ้าหน้าห้องตรวจก่อนเวลาตั้งสองชั่วโมง ด้วยกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าดีเดือดตามที่ได้ข่มขู่ไว้ เธอจึงไม่กล้าโวยวายและขัดขืน แต่น่าแปลก!มหรรณพดูมึนตึง เย็นชา และหมางเมินจนน่าใจหาย มันเกิดอะไรขึ้น? ถ้าว่าเขาทำตามแผนที่คุณย่าโทรมาเล่าให้ฟังในตอนเที่ยง มันจะเวอร์ไปหน่อยไหม ในเมื่อคณิสราไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเสียหน่อย แล้วเขาจะเล่นละครไปเพื่ออะไร เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะโกรธเธอเรื่องหย่าที่ฝากคนเป็นย่าไปบอก โกรธแล้วยังไง?ต่อให้ยังตัดใจจากเขาไม่ได้ เธอก็จะหย่าอยู่ดี ตอนแรกนั้นปานระพีงงหนักมาก ที่อยู่ๆ มหรรณพก็พามาที่ค่ายมวยแห่งหนึ่ง กระทั่งได้พบและทำความรู้จักอย่างเป็นทางการกับจอมพล อาศิระ เจ้าพ่อมาเฟียแดนใต้ และแพทย์หญิงปิยฉัตร สิทธิประเสริฐ ซึ่งสาวห้าวที่ว่ามาสมทบทีหลัง จริงๆ ปานระพีพอจะรู้จักสองคนอยู่ก่อนแล้ว เธอได้มีโอกาสรู้จักจอมพลผ่านทางนลินนิภา ส่วนปิยฉัตรนั้นก็เป็นรุ่นน้องสมัยเรียน ทำงานที่โรงพยาบาลรักษ์เหมือนกัน แถมยังเคยอยู่ในเหตุการณ์
“มันหนาว ขอกอดหน่อย”ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ วงแขนแกร่งกระชับเอวคอดมากยิ่งขึ้น แล้วเอ่ยเหมือนชวนคุย “เมื่อกี้เกือบไม่เสร็จแน่ะ ต้องหลับตานึกถึงหน้าแดงๆ ของแพรตอนผมขึ้นขี่แบบเมื่อคืนแทบแย่”อึ๋ยยย ดูพูดเข้า! คนอะไรไร้ยางอายสิ้นดี! “ทุเรศ! น่าเกลียดที่สุด!”“น่าเกลียดตรงไหน ‘ช่วยตัวเอง’ เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย โลกสวยด้วยมือเราน่ะเคยได้ยินไหม”ทนความไร้ยางอายของอีกฝ่ายไม่ไหว ปานระพีก็หลับตาลงเป็นเชิงยุติบทสนทนา ซึ่งเขาก็กอดกระชับเอวคอดมากยิ่งขึ้น แล้วพึมพำนัดหมาย ว่าจะพาเธอไปที่ไหนสักแห่งในวันพรุ่งนี้ ตบท้ายด้วยการจุมพิตหน้าผากมนอย่างแผ่วพลิ้ว ทำเอาคนแสร้งหลับตัวเกร็ง ใช้เวลาทำใจให้สงบอยู่นานกว่าจะหลับลง รุ่งเช้าลูกน้องของมหรรณพก็มาเคาะประตูห้อง เอาเสื้อผ้ามาให้เจ้านาย อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จ เจ้าของร่างทรงพลังก็เดินผิวปากออกมาจากห้องน้ำ โดยมีผ้าขนหนูของเธอที่พอไปพันอยู่ตรงเอวสอบกลับดูสั้นจู๋ไปถนัดตา ส่วนมือก็ใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมด้วยท่าทีสบายๆ ยืนอวดหุ่นทรมานใจอย่างหน้าตาเฉย “งายยยย…ชอบที่เห็นไหมพิกกี้” น้ำคำสัพยอกทำให้คนที่เอาแต่นอนจ้องเขาได้สติ กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะอุบอิบออกมา “บ้
“เด็กดี”คนได้ดั่งใจเอ่ยชมอย่างยิ้มๆ ขณะเอื้อมมือมาโยกหัวน้อยเบาๆ คนตัวเล็กเงยหน้าถลึงตาใส่ ปัดมือใหญ่ออกจากหัวตัวเอง แต่กลับต้องหลุดสะดุ้ง เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนฝ่ามือกระด้างลงมาไล้ที่ลำคอระหง “ผู้ใหญ่ให้ของต้องทำยังไงครับ” คำว่า ‘ครับ’ ง่ายๆ ที่ใครๆ ก็พูดกัน แต่พอเป็นเขาพูดเธอกลับใจสั่นซะงั้น “ไม่ได้อยากได้สักหน่อย” คนหน้าตูมย่นจมูก หลุดอุทานหน้าตื่น เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็รั้งลำคอระหงเข้าหา ในจังหวะที่เขายื่นหน้าข้ามโต๊ะเข้ามาใกล้ แล้วทำให้เธอตัวแข็งทื่อ แทบหยุดหายใจ ด้วยการประกบปากหยักเข้ากับปากอิ่ม ปานระพีอึกอักประท้วง แต่แทนที่จะหลุดพ้นกลับโดนล้วงชิมความหวานล้ำจนหนำใจ“คราวหน้าคราวหลังถ้าผมให้อะไร ต้องขอบคุณแบบเมื่อกี้นะลูกหมูน้อย” หลังจากถอนปากห่างอย่างอ้อยอิ่ง จอมเจ้าเล่ห์ก็เอ่ยบอกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ พลางหลิ่วตาให้ จากนั้นคนโดนปล้นจูบจนปากเจ่อก็จัดการกับของกินตรงหน้าโดยไม่พูดไม่จา ไม่ยอมสบตากับคนที่นั่งอยู่ในฝั่งตรงข้าม ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนจนมหรรณพนึกอยากจะทำอะไรบ้าๆ ลงไป “ขอชิมหน่อยสิ”เขาว่าพลางจ้องจานสลัดของเธอนิ่งๆ “คุณไม่ชอบกินผักไม่ใช่เหรอคะ”“รู้ได้ไง”
ไม่อยากจะเชื่อว่าเสาร์อาทิตย์นี้มหรรณพจะขลุกอยู่กับเธอตลอด ไล่ยังไงก็ไม่ไป แถมยังทำตัวน่าหมั่นไส้ เธอเดินไปไหนก็เดินตาม ถึงแม้จะอยู่ในห้องแคบๆ ที่แค่ปรายตามองก็รู้แล้ว ว่าเธอกำลังทำอะไร อยู่ตรงไหน แต่เขาก็ยังตามมาอยู่ใกล้ๆ นับวันยิ่งทำตัวประหลาดชวนให้ลากไปเช็กประสาทเข้าไปทุกที เมื่อเลี่ยงไม่ได้ หนีหน้าเขาก็ไม่ได้ เพราะนอกจากเธอจะทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ เมื่อคืนยังถูกเขาสูบพลังจนแทบกระดิกนิ้วไม่ไหว ฉะนั้นที่ทำได้ก็คือหมกตัวอยู่แต่ในห้อง นอนกลางวันให้ร่างพังๆ ได้ชาร์ตพลังงาน และพยายามไม่สนใจแขกไม่ได้รับเชิญ ที่ชอบทำตัวมีปัญหาเรียกร้องความสนใจอยู่บ่อยครั้ง พอตกเย็นเธอก็ทำอาหารง่ายๆ โดยไม่ลืมเผื่อเขาด้วย ไม่ใช่ว่าเต็มใจแต่โดนคนบ้าอำนาจบังคับ “ทำอะไรกินหืม…”เสียงห้าวเจือแหบของคนที่ยืนซ้อนหลังกระซิบงึมงำชิดซีกแก้มนวลปลั่ง ก่อนจะขโมยจูบเร็วๆ จนนับครั้งไม่ถ้วน ครั้นคนหน้าร้อนจี๋จะเอนตัวหนีเขาก็รวบเอวคอดเอาไว้ แล้วแถมจุ๊บให้อีกหลายหน “ว่างายยยย…ลูกหมูน้อย ถามทำไมไม่ตอบ” เธอเกลียดเสียงยานคางกวนประสาทนั่นชะมัด“ทำข้าวผัดแหนมคะ เอ่อ…คุณไปรอที่โต๊ะกินข้าวดีกว่านะคะ ทำแบบนี้ฉันไม่







