Masukกระทั่งแม่ของเขาป่วยกระเสาะกระแสะ และจากไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากท่านตรอมใจเรื่องคุณหญิงแม้นมาศ เพราะพยายามที่จะขอขมาซ้ำอยู่หลายครั้ง แต่ผลก็ยังคงเป็นดังเดิม จนอาการของแม่เขาทรุดหนักอย่างน่าตกใจ ที่สุดท่านก็จากไปแบบไม่หมดห่วง ทั้งที่แพทย์ยืนยันว่าแม่จะอยู่ได้อีกหลายปี หลังจากที่คุณหญิงทราบข่าวถึงได้ยอมลดทิฐิลง ยอมที่จะไปร่วมงานศพเพื่อกล่าวให้อภัยลูกสาวในวาระสุดท้าย ยอมบากหน้าไปหาเขาและพ่อที่โมนาโก และต่อมาไม่นานก็ถึงขั้นยอมลดศักดิ์ศรีเพื่อขอร้องให้เขาเข้าไปช่วยดูแลกิจการ ในภาวะที่ธุรกิจกำลังดิ่งลงเหว และการเงินกำลังง่อนแง่น ด้วยน้ำมือของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ที่คิดจะพาเมียย้ายถิ่นฐานไปอยู่อเมริกา
“ถ้าจะว่ากันจริงๆ ในเชิงปฏิบัติ ผมต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ หลานคุณเห็นเรียบร้อยอย่างนั้น ‘ร่าน’ น่าดู จับผมกดทั้งคืนยันเช้า เล่นเอาเอวแทบเคล็ดแน่ะ”
วาจาหน้าไม่อายทำให้คนแก่แทบทำหน้าไม่ถูก
“อย่ามาปรักปรำหลานสาวยายนะ!”
“งั้นก็ปลุกเด็กนั่นขึ้นมาถามเลยสิ ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ถูกกระทำ ใครกันแน่ที่ถูกกด ถูกขี่…ทั้งคืน”
เขาท้าทายพร้อมบุ้ยปากไปยังคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงซึ่งห่างออกไปไม่กี่ก้าว ครั้นเห็นคนแก่ยังคงนิ่งเฉยก็เป็นฝ่ายสาวเท้ามาหยุดลงตรงข้างเตียง แล้วเอ่ยเรียก
“ตื่นได้แล้ว ยัยลูกหมูขี้เซา”
“ฮื้อ…อย่ากวนน่า คนจะนอน”
เสียงประท้วงงึมงำในลำคออย่างรำคาญ ขณะที่ตาทั้งสองข้างยังคงปิดสนิท ด้วยเกียจคร้านที่จะลุกขึ้นมาในเวลาที่ร่างกายเหมือนไปกรำศึกหนักมาตลอดทั้งคืนเช่นนี้
“ฉันบอกให้ตื่นเดี๋ยวนี้ปานระพี!”
ขาดคำคนใจร้อนก็ฟาดฝ่ามือลงบนสะโพกเต็มตึงแรงๆ
เพียะ!!!
คราวนี้คนที่นอนอยู่ถึงกับตัวแข็งทื่อ สำเหนียกได้ว่าเสียงที่ได้ยินก่อนหน้าหาใช่ความฝันอย่างที่พร่ำบอกตัวเองแต่อย่างใด ครั้นกลั้นใจลืมตาขึ้น ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมหรรณพในชุดเสื้อผ้ายับยู่ยี่ และผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แต่ยังคงความหล่อกระชากใจ แต่อึ้งหนักยิ่งกว่าเมื่อเหลือบไปเห็นผู้เป็นย่าซึ่งยืนอยู่ถัดไป
“คุณย่า! คุณหวง!”
คนที่เพิ่งลุกขึ้นมานั่งในสภาพผมเผ้ารุงรังยกมือขยี้ตาเล็กน้อย มองคนทั้งคู่สลับกันไปมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เอ่อ…คุณย่ากับคุณหวงมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ก่อนจะถามย่า ก้มลงดูสภาพตัวเองเสียก่อนเถอะแม่ตัวดี”
คุณหญิงแม้นมาศเอ่ยเสียงขึ้นจมูก ทำเอาคนถูกเตือนทำหน้างง แล้วรีบก้มลงดูสภาพของตัวเอง ทันใดนั้นก็ต้องเบิกตากว้าง หลุดอุทานออกมา
“ว้าย!”
ปานระพีรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังเนื้อตัวมือไม้สั่น ใบหน้างามแดงซ่านด้วยความอับอาย
“เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมแพรถึง…”
“ย่าควรจะถามเรามากกว่า ว่าไปทำอีท่าไหนถึงมานอนที่ห้องนี้ได้”
“เมื่อคืนแพรมางานวันเกิดเพื่อนค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้นอนไม่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้” เสียงในตอนท้ายเบาหวิว หัวคิ้วขมวดมุ่น เพราะสมองกำลังควานหาสาเหตุที่ทำให้ตนตกอยู่ในสภาพล่อนจ้อนเช่นนี้
“เธอจะบอกว่าจำอะไรไม่ได้งั้นสิ” มหรรณพโพล่งขึ้นเป็นเชิงประชด
“ค่ะ แพรจำได้แค่ว่าเพื่อนคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้าไปเกือบสองแก้ว จากนั้นก็รู้สึกมึนๆ หัว หายใจไม่ค่อยออก แล้วก็ร้อนวูบวาบแปลกๆ เหมือนโดนวางยา…เอ่อ…ปลุกเซ็กส์ ก็เลยรีบหนีกลับห้องมา จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยค่ะ” สาวน้อยเอ่ยเล่าเท่าที่หัวสมองพอจะนึกได้ด้วยท่าทางซื่อๆ
“งั้นจะบอกให้ก็ได้ ว่าเธอน่ะบุกเข้าห้องฉัน”
“หา!...แพรเนี่ยนะคะ! บุกเข้าห้องคุณหวง!” สาวน้อยอุทานตาโต
“ใช่!”
หลังจากอ้าปากค้างไปหลายนาที ปานระพีก็ละล่ำละลักออกมาพลางส่ายหน้าหวือ
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ แพรไม่มีทางทำอย่างนั้น…”
ปากค้านว่าอย่างนั้น แต่น้ำเสียงยืนยันกลับผาดแผ่วในช่วงท้าย ใบหน้าหวานใสเริ่มซีดสลับแดง หลังจากใช้สมองคิดทบทวนอย่างถ้วนถี่ แล้วปรากฏภาพเหตุการณ์ขึ้นมาเป็นฉากๆ ถึงจะมีบางช่วงที่ไม่ปะติดปะต่อไปบ้าง เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ผสมยาปลุกเซ็กส์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ทำให้เธออยากจะมุดดินหนีเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด
หากแต่วินาทีถัดมาปานระพีก็ต้องช็อกกับวาจาที่มหรรณพเอ่ยขึ้น เป็นเชิงย้ำเตือนว่าสิ่งที่เขาได้กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นล้วนเป็นความจริงทุกประการ
“แต่มันเป็นไปแล้ว เมื่อคืนเธอบุกเข้าห้องฉัน…”
จากนั้นปานระพีก็ทำได้เพียงนั่งตัวแข็งทื่อ อ้าปากค้าง หน้าแดงซ่าน บ้างกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อกับความหน้าไม่อายของมหรรณพ นึกไม่ถึงว่าผู้ชายที่เธอทั้งรักและเทิดทูน เพราะเขาเคยช่วยชีวิตเอาไว้ จะร้ายกาจได้มากถึงเพียง เขาทำให้เธออยากจะแกล้งตายด้วยการเอ่ยอย่างฉะฉาน ว่าเธอเป็นคนเดินเข้าห้องมาเสนอตัวให้เขาเอง หากแต่ครั้นจะค้านก็ทำได้ไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะดันเข้าห้องผิดจริงๆ แถมในช่วงแรกที่ยาออกฤทธิ์เธอยังถลาไปหาเขาด้วยความอ่อนหัด ลูบไล้ร่างใหญ่ยักษ์ไม่ต่างอะไรจากการยั่ว มิหนำซ้ำยังหลงเพริดเตลิดอย่างขาดความยับยั้งชั่งใจ ถึงแม้มันจะเกิดจากฤทธิ์ยา และความช่ำชองอันแสนร้ายกาจของเขา แต่มันก็น่าอับอายเกินจะเอ่ย
แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเธอมางานวันเกิดท่ามกลางเพื่อนที่ไม่สนิท แวดล้อมด้วยคนที่ไม่หวังดี แถมยังประสงค์ร้าย และที่สำคัญคือทุกคนเห็นเธอเป็นตัวตลกที่นึกอยากจะแกล้งยังไงก็ได้ เธอก็แค่หลงผิด ยอมมาด้วยเพราะคิดว่าถ้ามาแล้วจะมีเพื่อนกับเขาบ้าง ทุกคนจะยอมรับ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความหายนะทั้งเพ จากนี้เธอคงต้องระวังตัวให้มากขึ้น และไตร่ตรองให้ดีหากคิดที่จะเปิดใจคบใครสักคนเป็นเพื่อน
หลังจากออกไปคุยเป็นการส่วนตัวกับผู้เป็นยายตรงระเบียงห้อง ไม่นานมหรรณพก็กลับเข้ามาด้วยความหัวเสีย แต่สีหน้ายังคงเรียบสนิทอย่างอ่านอารมณ์ไม่ออก เพราะผลสุดท้ายแล้วผู้เป็นยายก็ยังคงยืนกรานให้เขารับผิดชอบ ‘หลานสาวนอกไส้’ ด้วยการจดทะเบียนสมรส โดยยกเอานักข่าวที่อยู่ด้านนอกมาบีบบังคับ ซึ่งไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าไอ้พวกข้างนอกน่ะเป็นพรรคพวกของใคร ที่สุดคนโอหังก็ต้องจำใจเซ็นชื่อลงในทะเบียนสมรส ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ซึ่งยายของเขาเตรียมพร้อมมาอย่างดี ดีจนแทบไม่ต้องสงสัยว่าทั้งหมดเป็นแผนของใคร
ครั้นเห็นปานระพีจรดปากกาลงไปในทะเบียนสมรสสมใจคุณหญิงแม้นมาศ หลังจากที่อีกฝ่ายเอ่ยเกลี้ยกล่อมหลานสาวอยู่พักใหญ่ เขาก็แค่นยิ้มหยัน ทันทีที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ใบทะเบียนสมรสถูกยัดใส่มือ หลังจากยายของเขาสั่งให้คนเคลียร์ทาง มหรรณพก็ผลุนผลันจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง
ให้ตาย! เขาโทรหายัยเด็กดื้อเงียบนั่นตั้งเกือบห้าสิบสาย คนที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์สบถในใจด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน และเพราะมัวแต่สนใจเครื่องมือสื่อสารที่ว่า เขาจึงไม่รับรู้ถึงการมาของลูกน้องคนสนิท “ผมไม่เคยเห็นนายหมกมุ่นกับเรื่องของผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน”น้ำคำเหมือนชวนคุยแต่เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างมากล้น ทำให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาต่อสายโทรศัพท์ชะงัก เงยขึ้น สีหน้าไม่สบอารมณ์พลันเฉยชาในบัดดล “ฉันให้แกมารายงานเรื่องที่ให้ไปสืบ ไม่ใช่ให้มาตั้งคำถาม” เสียงห้วนจัดรวนกลับ “คนนี้จริงจังใช่ไหมครับ”ร่างสง่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกมืนขึ้นกอดอกถ่วงเวลาด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย เล่นกับความรู้สึกคนรอท่าคำตอบ แล้วถึงขยับปากเอ่ยออกมา “นั่นเมียกูไหม”“ก็ไหนว่าไม่เต็มใจจดทะเบียนสมรสไงครับ”ไอ้ลูกน้องเวร! มันยังไม่เลิกเซ้าซี้อีก“มึงจะมาอยากรู้อะไรนักหนาวะ”“งั้นนายก็ตอบมาสิครับ ผมจะได้ไม่ถามให้รำคาญอีก”หึ! ได้คืบจะเอาศอก “ถ้ามึงไม่พูดเรื่องที่กูให้ไปจัดการ ก็ไสหัวไปไกลๆ ตีน”มหรรณพเอ่ยอย่างเฉียบขาด เขาไม่คิดจะอธิบายเรื่องส่วนตัวให้ลูกน้องฟังอยู่แล
“เอ่อ…พี่แพรกับคุณหวงไม่ได้รักกันหรอกเหรอคะ”หลังจากอึ้งไปอึดใจปิยฉัตรก็เอ่ยถามอย่างไม่เต็มเสียงมากนัก เพราะเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทกับการละลาบละล้วง อีกอย่างก็กลัวจะไปกระทบจิตใจอีกฝ่ายเข้า “ถ้าจะรัก ก็คงมีแค่พี่ที่แอบรักสามีตัวเองข้างเดียวมาตั้งแต่เล็กจนโต รักทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ รักจนยอมสละไตข้างหนึ่งให้เขาในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุปางตาย”“การสละไตข้างหนึ่งที่ทำให้หมอคนที่เพิ่งไปกับคุณหวงเป็นข่าว และถูกยกย่องว่าเป็นนางฟ้าชุดกาวน์ใช่ไหมคะ”ปิยฉัตรละล่ำละลักอย่างตกใจ เริ่มเดาได้ว่าสาวสวยที่เพิ่งจากไปคือคนที่มาชุบมือเปิบเอาความดีความชอบที่ปานระพีสมควรจะได้รับไปอย่างหน้าตาเฉย “ฮื่อ…”“แล้วทำไมพี่แพรไม่บอกความจริงกับคุณหวงไปตรงๆ ล่ะคะ” ปิยฉัตรเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนแทน รู้สึกสงสารคนที่ทำตัวปิดทองหลังพระเช่นปานระพีจับจิต “มันไม่มีประโยชน์หรอก เขาไม่ได้รักพี่ และเราสองคนก็กำลังจะหย่ากัน”ปานระพีส่ายหน้า แล้วยิ้มเศร้า จากนั้นก็ปรับทุกข์กับอีกฝ่ายอีกนิดหน่อย ส่วนปิยฉัตรก็เล่าถึงสาเหตุที่เธอต้องมาขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ตบท้ายด้วยการขอร้องให้ปานระพีช่วยบอกเธอ หากว่าเห็นอะไรไม่
บ่ายวันนั้น หลังจากตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาลรักษ์เสร็จ ปานระพีก็ถูกมหรรณพลากติดมือไปขึ้นรถ ครั้นจะหาทางหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพ่อคุณดันมานั่งเฝ้าหน้าห้องตรวจก่อนเวลาตั้งสองชั่วโมง ด้วยกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าดีเดือดตามที่ได้ข่มขู่ไว้ เธอจึงไม่กล้าโวยวายและขัดขืน แต่น่าแปลก!มหรรณพดูมึนตึง เย็นชา และหมางเมินจนน่าใจหาย มันเกิดอะไรขึ้น? ถ้าว่าเขาทำตามแผนที่คุณย่าโทรมาเล่าให้ฟังในตอนเที่ยง มันจะเวอร์ไปหน่อยไหม ในเมื่อคณิสราไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเสียหน่อย แล้วเขาจะเล่นละครไปเพื่ออะไร เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะโกรธเธอเรื่องหย่าที่ฝากคนเป็นย่าไปบอก โกรธแล้วยังไง?ต่อให้ยังตัดใจจากเขาไม่ได้ เธอก็จะหย่าอยู่ดี ตอนแรกนั้นปานระพีงงหนักมาก ที่อยู่ๆ มหรรณพก็พามาที่ค่ายมวยแห่งหนึ่ง กระทั่งได้พบและทำความรู้จักอย่างเป็นทางการกับจอมพล อาศิระ เจ้าพ่อมาเฟียแดนใต้ และแพทย์หญิงปิยฉัตร สิทธิประเสริฐ ซึ่งสาวห้าวที่ว่ามาสมทบทีหลัง จริงๆ ปานระพีพอจะรู้จักสองคนอยู่ก่อนแล้ว เธอได้มีโอกาสรู้จักจอมพลผ่านทางนลินนิภา ส่วนปิยฉัตรนั้นก็เป็นรุ่นน้องสมัยเรียน ทำงานที่โรงพยาบาลรักษ์เหมือนกัน แถมยังเคยอยู่ในเหตุการณ์
“มันหนาว ขอกอดหน่อย”ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ วงแขนแกร่งกระชับเอวคอดมากยิ่งขึ้น แล้วเอ่ยเหมือนชวนคุย “เมื่อกี้เกือบไม่เสร็จแน่ะ ต้องหลับตานึกถึงหน้าแดงๆ ของแพรตอนผมขึ้นขี่แบบเมื่อคืนแทบแย่”อึ๋ยยย ดูพูดเข้า! คนอะไรไร้ยางอายสิ้นดี! “ทุเรศ! น่าเกลียดที่สุด!”“น่าเกลียดตรงไหน ‘ช่วยตัวเอง’ เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย โลกสวยด้วยมือเราน่ะเคยได้ยินไหม”ทนความไร้ยางอายของอีกฝ่ายไม่ไหว ปานระพีก็หลับตาลงเป็นเชิงยุติบทสนทนา ซึ่งเขาก็กอดกระชับเอวคอดมากยิ่งขึ้น แล้วพึมพำนัดหมาย ว่าจะพาเธอไปที่ไหนสักแห่งในวันพรุ่งนี้ ตบท้ายด้วยการจุมพิตหน้าผากมนอย่างแผ่วพลิ้ว ทำเอาคนแสร้งหลับตัวเกร็ง ใช้เวลาทำใจให้สงบอยู่นานกว่าจะหลับลง รุ่งเช้าลูกน้องของมหรรณพก็มาเคาะประตูห้อง เอาเสื้อผ้ามาให้เจ้านาย อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จ เจ้าของร่างทรงพลังก็เดินผิวปากออกมาจากห้องน้ำ โดยมีผ้าขนหนูของเธอที่พอไปพันอยู่ตรงเอวสอบกลับดูสั้นจู๋ไปถนัดตา ส่วนมือก็ใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมด้วยท่าทีสบายๆ ยืนอวดหุ่นทรมานใจอย่างหน้าตาเฉย “งายยยย…ชอบที่เห็นไหมพิกกี้” น้ำคำสัพยอกทำให้คนที่เอาแต่นอนจ้องเขาได้สติ กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะอุบอิบออกมา “บ้
“เด็กดี”คนได้ดั่งใจเอ่ยชมอย่างยิ้มๆ ขณะเอื้อมมือมาโยกหัวน้อยเบาๆ คนตัวเล็กเงยหน้าถลึงตาใส่ ปัดมือใหญ่ออกจากหัวตัวเอง แต่กลับต้องหลุดสะดุ้ง เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนฝ่ามือกระด้างลงมาไล้ที่ลำคอระหง “ผู้ใหญ่ให้ของต้องทำยังไงครับ” คำว่า ‘ครับ’ ง่ายๆ ที่ใครๆ ก็พูดกัน แต่พอเป็นเขาพูดเธอกลับใจสั่นซะงั้น “ไม่ได้อยากได้สักหน่อย” คนหน้าตูมย่นจมูก หลุดอุทานหน้าตื่น เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็รั้งลำคอระหงเข้าหา ในจังหวะที่เขายื่นหน้าข้ามโต๊ะเข้ามาใกล้ แล้วทำให้เธอตัวแข็งทื่อ แทบหยุดหายใจ ด้วยการประกบปากหยักเข้ากับปากอิ่ม ปานระพีอึกอักประท้วง แต่แทนที่จะหลุดพ้นกลับโดนล้วงชิมความหวานล้ำจนหนำใจ“คราวหน้าคราวหลังถ้าผมให้อะไร ต้องขอบคุณแบบเมื่อกี้นะลูกหมูน้อย” หลังจากถอนปากห่างอย่างอ้อยอิ่ง จอมเจ้าเล่ห์ก็เอ่ยบอกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ พลางหลิ่วตาให้ จากนั้นคนโดนปล้นจูบจนปากเจ่อก็จัดการกับของกินตรงหน้าโดยไม่พูดไม่จา ไม่ยอมสบตากับคนที่นั่งอยู่ในฝั่งตรงข้าม ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนจนมหรรณพนึกอยากจะทำอะไรบ้าๆ ลงไป “ขอชิมหน่อยสิ”เขาว่าพลางจ้องจานสลัดของเธอนิ่งๆ “คุณไม่ชอบกินผักไม่ใช่เหรอคะ”“รู้ได้ไง”
ไม่อยากจะเชื่อว่าเสาร์อาทิตย์นี้มหรรณพจะขลุกอยู่กับเธอตลอด ไล่ยังไงก็ไม่ไป แถมยังทำตัวน่าหมั่นไส้ เธอเดินไปไหนก็เดินตาม ถึงแม้จะอยู่ในห้องแคบๆ ที่แค่ปรายตามองก็รู้แล้ว ว่าเธอกำลังทำอะไร อยู่ตรงไหน แต่เขาก็ยังตามมาอยู่ใกล้ๆ นับวันยิ่งทำตัวประหลาดชวนให้ลากไปเช็กประสาทเข้าไปทุกที เมื่อเลี่ยงไม่ได้ หนีหน้าเขาก็ไม่ได้ เพราะนอกจากเธอจะทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ เมื่อคืนยังถูกเขาสูบพลังจนแทบกระดิกนิ้วไม่ไหว ฉะนั้นที่ทำได้ก็คือหมกตัวอยู่แต่ในห้อง นอนกลางวันให้ร่างพังๆ ได้ชาร์ตพลังงาน และพยายามไม่สนใจแขกไม่ได้รับเชิญ ที่ชอบทำตัวมีปัญหาเรียกร้องความสนใจอยู่บ่อยครั้ง พอตกเย็นเธอก็ทำอาหารง่ายๆ โดยไม่ลืมเผื่อเขาด้วย ไม่ใช่ว่าเต็มใจแต่โดนคนบ้าอำนาจบังคับ “ทำอะไรกินหืม…”เสียงห้าวเจือแหบของคนที่ยืนซ้อนหลังกระซิบงึมงำชิดซีกแก้มนวลปลั่ง ก่อนจะขโมยจูบเร็วๆ จนนับครั้งไม่ถ้วน ครั้นคนหน้าร้อนจี๋จะเอนตัวหนีเขาก็รวบเอวคอดเอาไว้ แล้วแถมจุ๊บให้อีกหลายหน “ว่างายยยย…ลูกหมูน้อย ถามทำไมไม่ตอบ” เธอเกลียดเสียงยานคางกวนประสาทนั่นชะมัด“ทำข้าวผัดแหนมคะ เอ่อ…คุณไปรอที่โต๊ะกินข้าวดีกว่านะคะ ทำแบบนี้ฉันไม่







