หวงจื่อหนิงที่ฟื้นขึ้นมาในโลกใหม่ยามค่ำคืน เมื่อได้รับเมตตาจากท่านเทพมอบมิติอันวิเศษให้กับตน หลังจากนั้นนางก็หายเข้าไปอยู่ด้านในมิติ และเข้าไปยังห้องปรุงอาหารยาเพื่อบำรุงร่างกาย ซึ่งอาหารยานี้นางต้องกินติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อช่วยฟื้นฟูทั้งอวัยวะภายในและกล้ามเนื้อให้กลับมาเป็นปกติ
โดยอาหารยาที่หวงจื่อหนิงทำให้ตนเองกินเป็นมื้อแรกก็คือ ต้มซุปโสมกระเพาะปลาเนื่องจากโสมมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูพลังชีวิต กระตุ้นการหมุนเวียนเลือดในร่างกายให้ดีขึ้น ส่วนกระเพาะปลาช่วยบำรุงปอดและไตเสริมสร้างพลังจากภายใน นอกจากนี้ยังมีขิงที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย
“ซู้ดดด อ่า อร่อยเหมือนเดิมฝีมือดีไม่มีตกจริง ๆ เลยเรา ตอนนี้คงต้องทำอาหารที่มีรสชาติอ่อน ๆ ไปก่อน ถ้าร่างกายแข็งแรงดีค่อยเพิ่มระดับของรสชาติอาหารทีละนิด ลองเดินไปดูแปลงผักกับแปลงสมุนไพรดีกว่า อีกเดี๋ยวค่อยนอนพักให้ร่างกายได้ฟื้นฟูกำลัง”
จื่อหนิงทำอย่างที่พูดนางเดินเล่นในมิติ เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหลังจากกินอาหารยาไปแล้ว จากนั้นจึงกลับไปอาบน้ำใส่เสื้อผ้าลำลองที่มีในห้องพัก และนอนหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนเพลีย จื่อหนิงไม่สนใจว่าเช้าของวันใหม่ น้องชายน้องสาวของบิดาชั่วจะอารมณ์เสียแค่ไหนที่ตามหานางไม่เจอ
ยามเช้าของวันถัดมาในปลายยามเหม่า เจียงหรงผิงภรรยาของหร่วนชางกุ้ยตื่นขึ้นมา เพื่อออกไปเรียกให้หวงจื่อหนิงมาปรนนิบัติสามี แต่เมื่อเจียงหรงผิงไปถึงกระท่อมที่พักของหลานสาวสามี นางต้องพบกับความว่างเปล่าไร้ร่างกายที่ซูบผอม มิหนำซ้ำในครัวยังไม่มีแม้แต่กลิ่นควันไฟของการหุงหาอาหาร
“นังจื่อหนิงลุกออกมาเดี๋ยวนี้นะ! อย่าริอาจขี้เกียจตัวเป็นขนเด็ดขาด สายป่านนี้แล้วเหตุใดยังไม่ลุกมาทำอาหารเช้าอีก หรือต้องให้ข้าลงไม้ลงมือกับเจ้าเสียก่อนถึงจะยอมทำงั้นรึ”
“....”
ไร้เสียงตอบกลับจากด้านในกระท่อมอย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งทำให้เจียงหรงผิงเริ่มอารมณ์เสียมากกว่าเดิม ปัง ๆ “นังจื่อหนิง! ข้าเรียกไม่ได้ยินหรือ โผล่หัวเน่า ๆ ของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้ายังไม่ลุกออกมาอย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ”
การเรียกครั้งที่สองก็ยังไร้ผลเช่นครั้งแรก เจียงหรงผิงจึงผลักประตูกระท่อมอย่างแรง หวังจะเข้าไปทุบตีเพื่อเรียกหวงจื่อหนิงให้ตื่นมาทำงาน แต่ภายในกระท่อมกลับว่างเปล่า
“อะ อะ อันใดกันคนล่ะ เมื่อวานข้ายังเห็นนางเดินกลับมาที่นี่อยู่เลย แล้วประตูบ้านก็ปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา นางไม่มีทางเข้าไปด้านในบ้านได้แน่ ๆ ไม่ได้การแล้วต้องบอกเรื่องนี้กับท่านพี่ หากมีคนช่วยให้นางหนีไปได้ ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่และพี่สามีจะเดือดร้อนไปด้วย”
เจียงหรงผิงคิดได้เช่นนั้นก็หันหลังวิ่งกลับเข้าเรือน ปากก็ส่งเสียงร้องเรียกหาสามีจนดังลั่นไปทั่ว “ท่านพี่แย่แล้ว ๆ เกิดเรื่องใหญ่กับบ้านเราแล้วนะท่านพี่”
หร่วนชางกุ้ยที่ล้างหน้าบ้วนปากเพิ่งเสร็จ ถึงกับถอนหายใจให้ภรรยาของตนที่ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยนี้ได้ ทั้งยังเรียกหาเขาจนบุตรชายที่กำลังพักผ่อน ถึงกับงัวเงียตื่นพร้อมกับน้องสาวที่เป็นม่ายของตน
แฮ่ก ๆ ๆ “ทะ ทะ ท่านพี่แย่แล้วพวกเราต้องแย่แน่ ๆ”
หร่วนชางกุ้ยขมวดคิ้วไม่เข้าใจคำพูดของภรรยาตน “เจ้าพูดเรื่องอันใดกันหรงผิงไอ้ที่ว่าแย่ของเจ้าน่ะ”
“ก็นังจื่อหนิงน่ะสิ มันหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ข้าไปเรียกมันอยู่นาน จนเปิดเข้าไปดูในกระท่อมแต่คนไม่อยู่ข้างใน ที่นี้เข้าใจหรือยังว่าเรื่องแย่ ๆ ที่ข้าพูดถึงคือเรื่องอะไร”
“แย่จริง ๆ ด้วย! หากนังเด็กนั่นหนีไปจากที่นี่ได้ละก็ มันต้องไปตามหาพี่ใหญ่ที่เมืองหลวง ถ้าพี่ใหญ่เกิดปัญหาขึ้นพวกเราคงไม่ได้เงินช่วยเหลืออีกแล้ว” หร่วนชางกุ้ยนึกถึงเงินตำลึงทองจากพี่ชาย ที่จะให้คนมามอบให้ทุก ๆ สามเดือน เพราะเขาไม่ต้องการให้ภรรยากับบุตรสาว ไปตามหาและสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลภรรยาคนใหม่
หร่วนจินหลงที่ทำงานเป็นผู้ช่วยนายอำเภอ ถึงกับตื่นเต็มตาเมื่อได้ยินมารดาพูดถึงหวงจื่อหนิง “นางคงหนีไปได้ไม่ไกลหรอกท่านพ่อเชื่อข้าสิ”
หร่วนชางกุ้ยมองบุตรชายที่พูดเหมือนมั่นใจ ว่าหวงจื่อหนิงยังหนีไปได้ไม่ไกล “ทำไมเจ้าถึงดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกินเล่าหลงเอ๋อร์”
“ท่านพ่อนังจื่อหนิงมันจะเอาเรี่ยวแรงจากไหน เพื่อหลบหนีไปจากหมู่บ้านของเราได้เล่า ข้าว่าพวกเรารีบไปตามหามันให้เจอดีกว่า ก่อนที่จะมีคนบังเอิญมาเจอเข้าและช่วยไปเสียก่อน” หร่วนจินหลงญาติผู้น้องที่มีนิสัยหยาบช้า ทำงานเป็นผู้ช่วยนายอำเภอก็จริงแต่เบื้องหลังกลับมีการรีดไถเก็บเงินจากชาวบ้าน รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าในอำเภอลับหลัง
“อืม ดีเหมือนกันพวกเราแยกย้ายกันไป หากเจอตัวนังจื่อหนิงรีบพากลับบ้านทันที ส่วนเจ้าชางลี่อยู่ที่นี่เผื่อนังหลานตัวดีจะกลับมาก่อน บอกลูกสาวของเจ้าด้วยอยู่บ้านเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ออกไปหาจับบุรุษในตำบล” หร่วนชางกุ้ยเห็นด้วยกับความคิดของบุตรชาย
“ข้ารู้แล้วน่าพวกเจ้าจะไปก็รีบไปเถิด” หร่วนชางลี่ไม่สนใจคำพูดของพี่ชายคนรอง เพราะนางเป็นคนแนะนำให้บุตรสาว
เข้าไปในตำบลเผื่อจะพบเจอบุรุษฐานะร่ำรวยหร่วนชางกุ้ยแยกกับภรรยาและบุตรชาย ออกตามหาหวงจื่อหนิง แม้แต่ชายป่าหลังหมู่บ้านก็ไปดูมาแล้ว แต่ไม่ว่าจะตามหาอย่างไรก็หาไม่เจอ ถึงคนตระกูลหร่วนตามหาให้ตายก็ไม่มีทางเจอ เพราะหวงจื่อหนิงเพิ่งจะตื่นนอนอยู่ในมิติ โดยนางหลงลืมเรื่องภายนอกไปเสียสนิท เนื่องจากจดจ่ออยู่กับการรักษาร่างนี้
ขณะที่จื่อหนิงกำลังเตรียมทำอาหารบำรุงใต้ตนเอง นางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมาสะกิดที่ขาของตน เมื่อก้มลงไปมองนางพบว่าเป็นกระรอกน้อยตัวหนึ่ง แต่ที่ทำให้นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ก็เพราะกระรอกน้อยตัวนี้ดันพูดได้นี่สิ
ชึบ ชึบ “หือ อ้าว เจ้ากระรอกน้อยมาจากไหนกันล่ะเนี่ย”
‘ข้าก็เป็นคนดูแลมิติวิเศษแห่งนี้ให้เจ้าอย่างไรละ...’
จื่อหนิงคิดว่าตนเองหูฝาดที่ได้ยินเสียงคล้าย ๆ เด็กน้อยตอบคำถาม แต่ก็แอบกลัวอยู่บ้างเพราะในที่แห่งนี้มีนางเพียงคนเดียว “นะ นะ นั่นใครพูดน่ะ อย่าคิดจะแกล้งให้ข้ากลัวเชียวนะ มีอะไรก็ออกมาพูดตรงหน้าสิจะได้คุยกันอย่างสบายใจ”
‘เฮ้อ ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าเป็นเสียงใครที่พูดกับเจ้าน่ะ’
เฮือก! “จะ จะ เจ้ากระรอก พะ พะ พูดได้งั้นหรือ งั้นโลกนี้ก็มีเทพเซียนอยู่จริง ๆ น่ะสิ” นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออีกเรื่องที่จื่อหนิงได้พบเจอ
‘ถูกต้องถึงข้าจะบรรลุการฝึกเซียนก็จริง แต่ยังบำเพ็ญตบะได้แค่สามร้อยปียังแปลงร่างไม่ได้ ทำได้เพียงพูดคุยกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น’
“แล้วข้าต้องเรียกเจ้าว่าอย่างไร พวกเราจะได้สนิทกันมากยิ่งขึ้น ส่วนข้าชื่อหวงจื่อหนิงเพิ่งมาเกิดใหม่ในโลกนี้ได้หนึ่งวัน”
‘เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวถังเป่าก็แล้วกัน’
จื่อหนิงคิดว่าชื่อของกระรอกน้อยน่ารักจนอดยิ้มไม่ได้ “ตกลง ‘เสี่ยวถังเป่า’ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ แต่ตอนนี้ข้าต้องทำอาหารให้ตนเองก่อน ค่อยพูดคุยกับเจ้าเรื่องในโลกนี้ที่หละ...”
‘แต่คนด้านนอกกำลังตามหาตัวเจ้าให้วุ่น เพราะเจ้าหายเข้ามาอยู่ในมิติตั้งแต่เมื่อคืน ข้าได้ยินอารองของเจ้าพูดว่า หากเจ้าหลบหนีไปจากหมู่บ้านไป๋หยุนได้ จะทำให้บิดาของเจ้าเดือดร้อน’
“หา! ข้าเนี่ยนะจะทำให้บิดาชั่วนั่นเดือดร้อน เหอะ คนพวกนี้ใช้หัวแม่เท้าคิดกันหรือไง ขืนข้าโผล่หัวไปทั้งแบบนี้ก็ตายกันพอดีน่ะสิ”
‘แล้วเจ้าไม่อยากไปจากครอบครัวนี้หรือ หากเจ้ายังอยู่แล้วพวกนั้นเจอตัวเจ้าคงถูกทุบตีอีกแน่ ๆ’
“หึ แน่นอนว่าข้าต้องหนีไปจากที่นี่ แต่จะไปทั้งทีก็ต้องมีเงินติดตัว เอาไว้ใช้จ่ายระหว่างเดินทางมิใช่หรือ นี่เสี่ยวถังเป่าอารองของข้าเป็นผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนญาติผู้น้องก็เป็นผู้ช่วยนายอำเภอ ทำงานสกปรกได้เงินมาครั้งละไม่น้อย
ในเมื่อพวกเขาทรมานร่างนี้มานานหลายปีจนตาย ถึงเวลาที่พวกเขาต้องจ่ายค่าแรงคืนกลับมาเสียที” จื่อหนิงไม่มีทางหนีไปตัวเปล่าอย่างแน่นอน ยุคโบราณเช่นนี้ไม่มีเงินก็ถูกมองว่าเป็นขอทานแล้ว
‘เจ้าอยากให้ข้าช่วยทำอะไรบ้างหรือไม่ เพราะมิติวิเศษสามารถพาเจ้าไปโผล่นอกหมู่บ้านได้ในระยะหนึ่งร้อยลี้ ถ้าไกลกว่านั้นคงทำไม่ได้’
“เจ้าช่วยข้าได้แน่นอนเสี่ยวถังเป่า อย่างไรเสียคนพวกนั้นก็ต้องกินข้าวใช่หรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยานอนหลับ รบกวนเจ้าเอาไปใส่ในน้ำชาหรืออาหารของพวกเขาที หลังจากคนพวกนั้นหมดสติข้าจะกวาดทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด แล้วเราก็ไปจากหมู่บ้านไป๋หยุนได้” เพราะจื่อหนิงไม่อาจพาร่างอันผอมโซเช่นนี้ ไปเดินหางานทำเลี้ยงดูตนเองได้ ใครเห็นเข้ามีแต่จะรีบไล่ออกจากร้านเสียมากกว่า
‘ได้ เจ้าไปจัดการมาเถิด เรื่องง่าย ๆ เพียงเท่านี้แค่ข้าดีดนิ้วก็สำเร็จทันที’
“ฮ่า ๆ ๆ ขอบใจนะเสี่ยวถังเป่า ไว้ข้าจะทำขนมอร่อย ๆ ให้เจ้ากินเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”
ยามนี้จื่อหนิงรู้สึกว่านางมิได้ตัวคนเดียวอีกต่อไป เมื่อมีมิติวิเศษและผู้ช่วยเป็นผู้บำเพ็ญเซียน นางย่อมหนีไปจากตระกูลเฮงซวยนี้ได้เหมือนพลิกฝ่ามือ แต่จะให้นางไปตัวเปล่าได้อย่างไร ร่างนี้ทำงานแทบไม่ได้พักผ่อนจนล้มตายในที่สุด มันต้องมีค่าแรงย้อนหลังเสียหน่อย
ภายหลังผ่านพ้นคืนเข้าหอที่มีอุปสรรคเป็นบุตรชายตัวน้อย หลี่อ๋องไม่คิดว่าบุตรชายจะทำอย่างที่ตนพูดจริง ๆ นั่นคือการเรียกทุกคนในจวนไปที่เรือนหยางชู เพื่อเตรียมยาบำรุงให้เสด็จแม่คนใหม่ เพราะต้องการให้น้อง ๆ มาเกิดไว ๆแต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลังจากผ่านไปไม่ถึงสามเดือน จื่อหนิงจะตั้งครรภ์สมใจซื่อจื่อน้อย เมื่อมีข่าวดีคนที่อยากมีน้องตัวน้อย ยิ่งทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์พระมารดา รวมถึงน้องน้อยที่อยู่ในครรภ์ทุกย่างก้าวจนกระทั่งถึงวันที่จื่อหนิงเจ็บครรภ์จะคลอด มิได้มีเพียงเจ้าของจวนและตระกูลหวงเท่านั้นที่รอลุ้น แต่ชาวเมืองหลงเฉิงก็มารอลุ้นเช่นกันว่า ครรภ์นี้ของจื่อหนิงจะเป็นท่านชายหรือท่านหญิง‘พวกเจ้าว่าครรภ์แรกของพระชายาจะเป็นหญิงหรือชาย’‘ข้าว่าเป็นชาย /ข้าว่าเป็นหญิง’แม้จะรู้สึกเจ็บปวดเกินจะทานทนในยามคลอด ยังดีที่จื่อหนิงให้เสี่ยวถังเป่าเตรียมยาสมุนไพร รวมถึงน้ำพุวิญญาณเอาไว้ล่วงหน้า การคลอดลูกครั้งแรกนี้จึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และข่าวดีสำหรับทุกคน ก็คือหลี่อ๋องได้บุตรสาว ที่หน้าตางดงามล่มเมืองตั้งแต่เกิดยามที่ยังเล็กก็เป็นที่ห่วงหวงมากแล้ว แต่ยิ่งโตทุกคนยิ่งหวงบุตรหลานคนนี้เข้าไปใหญ่ ท่านหญิงห
เมื่อตกลงปลงใจแล้วว่าจะร่วมใช้ชีวิตกับหลี่อ๋อง จากนั้นถัดมาอีกสามวันหลี่อ๋องจึงพาจื่อหนิงและบุตรชาย ไปเยือนจวนตระกูลหวงเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงาน ซึ่งหลี่อ๋องได้ส่งพ่อบ้านห้าวมาแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้วเนื่องจากหลี่อ๋องถูกบุตรชายรบเร้าเรื่องพี่น้องอยู่ทุกวัน หากเขายังไม่ขยับตัวทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เกรงว่าที่เรือนของเขา คงไม่สงบสุขอีกอีกต่อไปเป็นแน่ การเจรจาเรื่องการแต่งงานจึงต้องจัดการโดยเร็วหลังจากได้รับรายงานจากพ่อบ้านหวง ว่าหลี่อ๋องจะมาเยือนที่จวนด้วยเรื่องสำคัญ ทุกคนในตระกูลหวงจึงหยุดงานทั้งหมด และรอต้อนรับหลี่อ๋องรวมถึงหลานทั้งสองของพวกเขา จกระทั่งรถม้าจากจวนอ๋องหยุดลงที่หน้าจวน นายท่านหวงจึงนำทุกคนทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ /เพคะ”“ทุกท่านตามสบายเถิดอย่าได้มากพิธีเลย”“คารวะท่านตาท่านยาย ท่านลุงกับป้าสะใภ้ด้วยเจ้าค่ะ /ขอรับ” จื่อหนิงกับซื่อจื่อน้อยทำความเคารพญาติของตนบ้างเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของชาวบ้าน นายท่านหวงจึงเชื้อเชิญแขกเข้าไปด้านในห้องโถงรับรอง เพราะอยากรู้ว่าที่หลี่อ๋องพาหลานชายหลานสาวมาพบ มีเรื่องสำคัญอันใดจะพูดคุยกับพวกตนกันแน่“ท่านอ๋
วันถัดมาภายหลังกลับมาถึงเมืองหลงเฉิง ทุกอย่างกลับเข้าสู่วิถีการใช้ชีวิตเช่นก่อนหน้าอีกครั้ง จื่อหนิงยังคงทำหน้าที่ดูแลอาหารและของบำรุง การเรียนการสอนทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ เสริมให้ซื่อจื่อน้อย หลังจากนั้นก็เป็นการดูแลแปลงสมุนไพร และไปดูแลร้านไป๋อวี้ถังที่มีลูกค้าเข้าออกอย่างต่อเนื่องส่วนหลี่อ๋องยิ่งได้รับการดูแลจากจื่อหนิง ก็ไม่อยากห่างยามต้องไปจัดการเรื่องงานที่ค่ายทหาร แต่มักจะได้รับสายตาดุ ๆ จากสตรีร่างบางเสียทุกครั้ง สุดท้ายก็เป็นจื่อหนิงที่ต้องเสนอข้อแลกเปลี่ยนเป็นของบำรุง แต่หลี่อ๋องมักจะเพิ่มสิ่งแลกเปลี่ยน ด้วยการจุมพิตที่แก้มนวลก่อนออกจากจวนเช่นกันทางด้านชางอวี่ได้ทำตามรับสั่งอย่างเคร่งครัด นอกจากการปลดผู้ช่วยเจ้าเมืองออกจากตำแหน่ง และรับโทษโบยห้าสิบไม้ร่วมกับอนุภรรยาผู้นั้น ยังได้ปล่อยข่าวลือไปทั่วเมืองเฮยเฟิง ยามผู้ช่วยเจ้าเมืองพาครอบครัวออกจากจวน จึงถูกประณามและโดนผู้คนปาเศษผักและก้อนหิน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวรีบย้ายไปอยู่เมืองที่ห่างไกลทันทีในวันนี้ที่จื่อหนิงเข้ามาที่ร้าน หวงซวีหนานที่รู้ข่าวจากลูกจ้างก็รีบไปพบญาติผู้น้องของตนอย่างรวดเร็ว และครั้งนี้ยังมีหวงหมิงลู่ตามมาด้วยอีก
ภายหลังกลับมาถึงจวนท่านหมอก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน หลี่อ๋องยืนกำชับท่านหมอให้ตรวจจื่อหนิงอย่างละเอียด ว่านาง มิได้บาดเจ็บถึงกระดูกหรือมีส่วนใดแตกหัก แม้ท่านหมอจะตรวจซ้ำถึงสองครั้งแล้ว แต่หลี่อ๋องยังมีท่าทีไม่ยินยอม จื่อหนิงทนดูต่อไปไม่ไหวจึงต้องเอ่ยห้ามเสียเอง“ท่านหมอท่านตรวจให้ละเอียดมากกว่านี้ เปิ่นหวางยังไม่ค่อยวางใจถึงจะเป็นบาดแผลภายนอก แต่มันอาจกระเทือนไปถึงกระ...”“ท่านอ๋องเพคะ”“หนิงเอ๋อร์เรียกเปิ่นหวางทำไม หรือว่าเจ้ารู้สึกเจ็บที่ใดเพิ่มอีกรีบบอกกับท่านหมอระ...”“หยุด! ท่านอ๋องทรงอยู่เงียบ ๆ อย่าได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะไม่พูดกับพระองค์เป็นเวลาเจ็ดวันเพคะ”“ตะ...”“หือออ...”“เอ่อ ไม่พูด ๆ เปิ่นหวางจะนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ นะ เชิญเจ้าพูดกับท่านหมอต่อเถิด”จื่อหนิงถึงกับมองค้อนไปหนึ่งที “ท่านหมอข้ามิได้เป็นอันใดมาก แค่แผลถลอกข้ามียาทาติดตัวอยู่ จะใช้มันรักษาแผลเหล่านี้เองเจ้าค่ะ”ท่านหมอถึงกับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากจื่อหนิงไม่ยอมออกปากหยุดหลี่อ๋องเอาไว้ เขาคงต้องคุกเข่าอ้อนวอนเป็นแน่ “ในเมื่อคุณหนูมียาอยู่แล้วย่อมเป็นเรื่องดี หากต้องการยาเพิ่มท่านไปพบข้าที่
เมื่อลงมายืนด้านล่างได้มั่นคงแล้ว เว่ยซูหรูรีบยกชายกระโปรงและวิ่งตรงไปหาหลี่อ๋อง โดยไม่สนสายตาผู้คนบนท้องถนนว่า จะมองนางเป็นสตรีกร้านโลกวิ่งตามบุรุษหรือไม่แฮ่ก ๆ ๆ “ท่านอ๋องเพคะ ๆ”หลี่อ๋องรีบหยุดเท้าของตนเมื่อมีสตรีเอ่ยเรียก และยังวิ่งมายืนขวางทางอย่างคนไร้มารยาท แต่สตรีนางนี้กลับไม่สนใจเรื่องมารยาท“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันดีใจจริง ๆ ที่ท่านอ๋องแวะพักในเมืองอวิ๋นเซียง นี่ก็ผ่านมาเกือบสองปีที่ท่านอ๋องมิได้แวะที่นี่...”“เจ้าเป็นใคร? ถึงได้บังอาจมาขวางทางเปิ่นหวางเช่นนี้”มิใช่หลี่อ๋องเพียงคนเดียวที่สงสัย แต่ยังมีจื่อหนิงกับซื่อจื่อน้อยที่สงสัยเช่นกันว่า สตรีที่ยืนขวางทางพวกตนอยู่นี้เป็นใคร นางช่างใจกล้าไม่กลัวว่าจะถูกหลี่อ๋องลงโทษแม้แต่น้อย“พวกเราไม่เคยรู้จักเจ้ามาก่อน เหตุใดถึงวิ่งมาขวางทางผู้อื่นเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวจะถูกเสด็จพ่อของข้าลงโทษงั้นหรือ”ชางอวี่จำได้ว่าเว่ยซูหรูคือผู้ใด เพราะสตรีที่ใจกล้าพยายามเข้าหาเจ้านายของตน มีเพียงหยิบมือเขาจะจำไม่ได้เชียวหรือ “ทูลท่านอ๋อง ซื่อจื่อนางเป็นบุตรสาวท่านเจ้าเมืองอวิ๋นเซียง ที่สำคัญนางยังหลงรักพระองค์และอยากเป็นพระชายาด้วยพ่ะย่ะค
หลี่อ๋องกับซื่อจื่อน้อยที่ยืนฟังอยู่นาน ก็เริ่มทำสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนกันอย่างกับแกะเข้าไปทุกที เมื่อฮ่องเต้ไม่ยอมหยุดตรัสเรื่องยากับจื่อหนิง ซื่อจื่อน้อยถึงกับเขย่ามือพระบิดาเป็นการส่งสัญญาณ ไหนจะสายตาที่สื่อความหมายง่าย ๆ ถึงกัน‘เสด็จพ่อรีบพาพี่จื่อหนิงกลับตำหนักได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขืนยังอยู่ที่นี่เกิดเสด็จปู่รั้งตัวพี่จื่อหนิงเอาไว้ พวกเราจะไม่แย่หรือพ่ะย่ะค่ะ’‘จริงของเจ้าเสี่ยวอวี้ ขอบใจมากที่เตือนพ่อเรื่องนี้ พวกเราต้องรีบพาพี่จื่อหนิงของเจ้ากลับไปเก็บสัมภาระ เตรียมตัวกลับเมืองหลงเฉิงในวันพรุ่งนี้ ขืนยังอยู่ในเมืองหลวงอีกหลายวัน พี่จื่อหนิงของเจ้าคงไม่รอดแน่’“อะ ฮึ่ม ฝ่าบาทกระหม่อมต้องขอตัวพาหนิงเอ๋อร์กลับจวนแล้ว ยังมีเรื่องที่ตำหนักซือเจินให้ทำอีกมาก ส่วนเรื่องยาบำรุงก็เป็นไปตามที่หนิงเอ๋อร์ทูลกับพระองค์ เมื่อถึงเวลาคนของกระหม่อมจะนำมาส่ง และจะมิให้ผู้ใดแย่งชิงไปได้แน่พ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมทูลลา”“เอ่อ...”“หม่อมฉันทูลลาเพคะ /หลานทูลลาพ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่”ฮ่องเต้ถึงกับตรัสสิ่งใดไม่ออก เมื่อเห็นอาการหึงหวงของพระนัดดาทั้งสอง “เฮ๊ เจ้าหลานสองคนนี่จะขี้หวงคนกับเจิ้น เกินไปแล้วนะ แค่พู