หวงจื่อหนิงที่ฟื้นขึ้นมาในโลกใหม่ยามค่ำคืน เมื่อได้รับเมตตาจากท่านเทพมอบมิติอันวิเศษให้กับตน หลังจากนั้นนางก็หายเข้าไปอยู่ด้านในมิติ และเข้าไปยังห้องปรุงอาหารยาเพื่อบำรุงร่างกาย ซึ่งอาหารยานี้นางต้องกินติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อช่วยฟื้นฟูทั้งอวัยวะภายในและกล้ามเนื้อให้กลับมาเป็นปกติ
โดยอาหารยาที่หวงจื่อหนิงทำให้ตนเองกินเป็นมื้อแรกก็คือ ต้มซุปโสมกระเพาะปลาเนื่องจากโสมมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูพลังชีวิต กระตุ้นการหมุนเวียนเลือดในร่างกายให้ดีขึ้น ส่วนกระเพาะปลาช่วยบำรุงปอดและไตเสริมสร้างพลังจากภายใน นอกจากนี้ยังมีขิงที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย
“ซู้ดดด อ่า อร่อยเหมือนเดิมฝีมือดีไม่มีตกจริง ๆ เลยเรา ตอนนี้คงต้องทำอาหารที่มีรสชาติอ่อน ๆ ไปก่อน ถ้าร่างกายแข็งแรงดีค่อยเพิ่มระดับของรสชาติอาหารทีละนิด ลองเดินไปดูแปลงผักกับแปลงสมุนไพรดีกว่า อีกเดี๋ยวค่อยนอนพักให้ร่างกายได้ฟื้นฟูกำลัง”
จื่อหนิงทำอย่างที่พูดนางเดินเล่นในมิติ เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหลังจากกินอาหารยาไปแล้ว จากนั้นจึงกลับไปอาบน้ำใส่เสื้อผ้าลำลองที่มีในห้องพัก และนอนหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนเพลีย จื่อหนิงไม่สนใจว่าเช้าของวันใหม่ น้องชายน้องสาวของบิดาชั่วจะอารมณ์เสียแค่ไหนที่ตามหานางไม่เจอ
ยามเช้าของวันถัดมาในปลายยามเหม่า เจียงหรงผิงภรรยาของหร่วนชางกุ้ยตื่นขึ้นมา เพื่อออกไปเรียกให้หวงจื่อหนิงมาปรนนิบัติสามี แต่เมื่อเจียงหรงผิงไปถึงกระท่อมที่พักของหลานสาวสามี นางต้องพบกับความว่างเปล่าไร้ร่างกายที่ซูบผอม มิหนำซ้ำในครัวยังไม่มีแม้แต่กลิ่นควันไฟของการหุงหาอาหาร
“นังจื่อหนิงลุกออกมาเดี๋ยวนี้นะ! อย่าริอาจขี้เกียจตัวเป็นขนเด็ดขาด สายป่านนี้แล้วเหตุใดยังไม่ลุกมาทำอาหารเช้าอีก หรือต้องให้ข้าลงไม้ลงมือกับเจ้าเสียก่อนถึงจะยอมทำงั้นรึ”
“....”
ไร้เสียงตอบกลับจากด้านในกระท่อมอย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งทำให้เจียงหรงผิงเริ่มอารมณ์เสียมากกว่าเดิม ปัง ๆ “นังจื่อหนิง! ข้าเรียกไม่ได้ยินหรือ โผล่หัวเน่า ๆ ของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้ายังไม่ลุกออกมาอย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ”
การเรียกครั้งที่สองก็ยังไร้ผลเช่นครั้งแรก เจียงหรงผิงจึงผลักประตูกระท่อมอย่างแรง หวังจะเข้าไปทุบตีเพื่อเรียกหวงจื่อหนิงให้ตื่นมาทำงาน แต่ภายในกระท่อมกลับว่างเปล่า
“อะ อะ อันใดกันคนล่ะ เมื่อวานข้ายังเห็นนางเดินกลับมาที่นี่อยู่เลย แล้วประตูบ้านก็ปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา นางไม่มีทางเข้าไปด้านในบ้านได้แน่ ๆ ไม่ได้การแล้วต้องบอกเรื่องนี้กับท่านพี่ หากมีคนช่วยให้นางหนีไปได้ ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่และพี่สามีจะเดือดร้อนไปด้วย”
เจียงหรงผิงคิดได้เช่นนั้นก็หันหลังวิ่งกลับเข้าเรือน ปากก็ส่งเสียงร้องเรียกหาสามีจนดังลั่นไปทั่ว “ท่านพี่แย่แล้ว ๆ เกิดเรื่องใหญ่กับบ้านเราแล้วนะท่านพี่”
หร่วนชางกุ้ยที่ล้างหน้าบ้วนปากเพิ่งเสร็จ ถึงกับถอนหายใจให้ภรรยาของตนที่ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยนี้ได้ ทั้งยังเรียกหาเขาจนบุตรชายที่กำลังพักผ่อน ถึงกับงัวเงียตื่นพร้อมกับน้องสาวที่เป็นม่ายของตน
แฮ่ก ๆ ๆ “ทะ ทะ ท่านพี่แย่แล้วพวกเราต้องแย่แน่ ๆ”
หร่วนชางกุ้ยขมวดคิ้วไม่เข้าใจคำพูดของภรรยาตน “เจ้าพูดเรื่องอันใดกันหรงผิงไอ้ที่ว่าแย่ของเจ้าน่ะ”
“ก็นังจื่อหนิงน่ะสิ มันหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ข้าไปเรียกมันอยู่นาน จนเปิดเข้าไปดูในกระท่อมแต่คนไม่อยู่ข้างใน ที่นี้เข้าใจหรือยังว่าเรื่องแย่ ๆ ที่ข้าพูดถึงคือเรื่องอะไร”
“แย่จริง ๆ ด้วย! หากนังเด็กนั่นหนีไปจากที่นี่ได้ละก็ มันต้องไปตามหาพี่ใหญ่ที่เมืองหลวง ถ้าพี่ใหญ่เกิดปัญหาขึ้นพวกเราคงไม่ได้เงินช่วยเหลืออีกแล้ว” หร่วนชางกุ้ยนึกถึงเงินตำลึงทองจากพี่ชาย ที่จะให้คนมามอบให้ทุก ๆ สามเดือน เพราะเขาไม่ต้องการให้ภรรยากับบุตรสาว ไปตามหาและสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลภรรยาคนใหม่
หร่วนจินหลงที่ทำงานเป็นผู้ช่วยนายอำเภอ ถึงกับตื่นเต็มตาเมื่อได้ยินมารดาพูดถึงหวงจื่อหนิง “นางคงหนีไปได้ไม่ไกลหรอกท่านพ่อเชื่อข้าสิ”
หร่วนชางกุ้ยมองบุตรชายที่พูดเหมือนมั่นใจ ว่าหวงจื่อหนิงยังหนีไปได้ไม่ไกล “ทำไมเจ้าถึงดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกินเล่าหลงเอ๋อร์”
“ท่านพ่อนังจื่อหนิงมันจะเอาเรี่ยวแรงจากไหน เพื่อหลบหนีไปจากหมู่บ้านของเราได้เล่า ข้าว่าพวกเรารีบไปตามหามันให้เจอดีกว่า ก่อนที่จะมีคนบังเอิญมาเจอเข้าและช่วยไปเสียก่อน” หร่วนจินหลงญาติผู้น้องที่มีนิสัยหยาบช้า ทำงานเป็นผู้ช่วยนายอำเภอก็จริงแต่เบื้องหลังกลับมีการรีดไถเก็บเงินจากชาวบ้าน รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าในอำเภอลับหลัง
“อืม ดีเหมือนกันพวกเราแยกย้ายกันไป หากเจอตัวนังจื่อหนิงรีบพากลับบ้านทันที ส่วนเจ้าชางลี่อยู่ที่นี่เผื่อนังหลานตัวดีจะกลับมาก่อน บอกลูกสาวของเจ้าด้วยอยู่บ้านเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ออกไปหาจับบุรุษในตำบล” หร่วนชางกุ้ยเห็นด้วยกับความคิดของบุตรชาย
“ข้ารู้แล้วน่าพวกเจ้าจะไปก็รีบไปเถิด” หร่วนชางลี่ไม่สนใจคำพูดของพี่ชายคนรอง เพราะนางเป็นคนแนะนำให้บุตรสาว
เข้าไปในตำบลเผื่อจะพบเจอบุรุษฐานะร่ำรวยหร่วนชางกุ้ยแยกกับภรรยาและบุตรชาย ออกตามหาหวงจื่อหนิง แม้แต่ชายป่าหลังหมู่บ้านก็ไปดูมาแล้ว แต่ไม่ว่าจะตามหาอย่างไรก็หาไม่เจอ ถึงคนตระกูลหร่วนตามหาให้ตายก็ไม่มีทางเจอ เพราะหวงจื่อหนิงเพิ่งจะตื่นนอนอยู่ในมิติ โดยนางหลงลืมเรื่องภายนอกไปเสียสนิท เนื่องจากจดจ่ออยู่กับการรักษาร่างนี้
ขณะที่จื่อหนิงกำลังเตรียมทำอาหารบำรุงใต้ตนเอง นางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมาสะกิดที่ขาของตน เมื่อก้มลงไปมองนางพบว่าเป็นกระรอกน้อยตัวหนึ่ง แต่ที่ทำให้นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ก็เพราะกระรอกน้อยตัวนี้ดันพูดได้นี่สิ
ชึบ ชึบ “หือ อ้าว เจ้ากระรอกน้อยมาจากไหนกันล่ะเนี่ย”
‘ข้าก็เป็นคนดูแลมิติวิเศษแห่งนี้ให้เจ้าอย่างไรละ...’
จื่อหนิงคิดว่าตนเองหูฝาดที่ได้ยินเสียงคล้าย ๆ เด็กน้อยตอบคำถาม แต่ก็แอบกลัวอยู่บ้างเพราะในที่แห่งนี้มีนางเพียงคนเดียว “นะ นะ นั่นใครพูดน่ะ อย่าคิดจะแกล้งให้ข้ากลัวเชียวนะ มีอะไรก็ออกมาพูดตรงหน้าสิจะได้คุยกันอย่างสบายใจ”
‘เฮ้อ ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าเป็นเสียงใครที่พูดกับเจ้าน่ะ’
เฮือก! “จะ จะ เจ้ากระรอก พะ พะ พูดได้งั้นหรือ งั้นโลกนี้ก็มีเทพเซียนอยู่จริง ๆ น่ะสิ” นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออีกเรื่องที่จื่อหนิงได้พบเจอ
‘ถูกต้องถึงข้าจะบรรลุการฝึกเซียนก็จริง แต่ยังบำเพ็ญตบะได้แค่สามร้อยปียังแปลงร่างไม่ได้ ทำได้เพียงพูดคุยกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น’
“แล้วข้าต้องเรียกเจ้าว่าอย่างไร พวกเราจะได้สนิทกันมากยิ่งขึ้น ส่วนข้าชื่อหวงจื่อหนิงเพิ่งมาเกิดใหม่ในโลกนี้ได้หนึ่งวัน”
‘เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวถังเป่าก็แล้วกัน’
จื่อหนิงคิดว่าชื่อของกระรอกน้อยน่ารักจนอดยิ้มไม่ได้ “ตกลง ‘เสี่ยวถังเป่า’ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ แต่ตอนนี้ข้าต้องทำอาหารให้ตนเองก่อน ค่อยพูดคุยกับเจ้าเรื่องในโลกนี้ที่หละ...”
‘แต่คนด้านนอกกำลังตามหาตัวเจ้าให้วุ่น เพราะเจ้าหายเข้ามาอยู่ในมิติตั้งแต่เมื่อคืน ข้าได้ยินอารองของเจ้าพูดว่า หากเจ้าหลบหนีไปจากหมู่บ้านไป๋หยุนได้ จะทำให้บิดาของเจ้าเดือดร้อน’
“หา! ข้าเนี่ยนะจะทำให้บิดาชั่วนั่นเดือดร้อน เหอะ คนพวกนี้ใช้หัวแม่เท้าคิดกันหรือไง ขืนข้าโผล่หัวไปทั้งแบบนี้ก็ตายกันพอดีน่ะสิ”
‘แล้วเจ้าไม่อยากไปจากครอบครัวนี้หรือ หากเจ้ายังอยู่แล้วพวกนั้นเจอตัวเจ้าคงถูกทุบตีอีกแน่ ๆ’
“หึ แน่นอนว่าข้าต้องหนีไปจากที่นี่ แต่จะไปทั้งทีก็ต้องมีเงินติดตัว เอาไว้ใช้จ่ายระหว่างเดินทางมิใช่หรือ นี่เสี่ยวถังเป่าอารองของข้าเป็นผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนญาติผู้น้องก็เป็นผู้ช่วยนายอำเภอ ทำงานสกปรกได้เงินมาครั้งละไม่น้อย
ในเมื่อพวกเขาทรมานร่างนี้มานานหลายปีจนตาย ถึงเวลาที่พวกเขาต้องจ่ายค่าแรงคืนกลับมาเสียที” จื่อหนิงไม่มีทางหนีไปตัวเปล่าอย่างแน่นอน ยุคโบราณเช่นนี้ไม่มีเงินก็ถูกมองว่าเป็นขอทานแล้ว
‘เจ้าอยากให้ข้าช่วยทำอะไรบ้างหรือไม่ เพราะมิติวิเศษสามารถพาเจ้าไปโผล่นอกหมู่บ้านได้ในระยะหนึ่งร้อยลี้ ถ้าไกลกว่านั้นคงทำไม่ได้’
“เจ้าช่วยข้าได้แน่นอนเสี่ยวถังเป่า อย่างไรเสียคนพวกนั้นก็ต้องกินข้าวใช่หรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยานอนหลับ รบกวนเจ้าเอาไปใส่ในน้ำชาหรืออาหารของพวกเขาที หลังจากคนพวกนั้นหมดสติข้าจะกวาดทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด แล้วเราก็ไปจากหมู่บ้านไป๋หยุนได้” เพราะจื่อหนิงไม่อาจพาร่างอันผอมโซเช่นนี้ ไปเดินหางานทำเลี้ยงดูตนเองได้ ใครเห็นเข้ามีแต่จะรีบไล่ออกจากร้านเสียมากกว่า
‘ได้ เจ้าไปจัดการมาเถิด เรื่องง่าย ๆ เพียงเท่านี้แค่ข้าดีดนิ้วก็สำเร็จทันที’
“ฮ่า ๆ ๆ ขอบใจนะเสี่ยวถังเป่า ไว้ข้าจะทำขนมอร่อย ๆ ให้เจ้ากินเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”
ยามนี้จื่อหนิงรู้สึกว่านางมิได้ตัวคนเดียวอีกต่อไป เมื่อมีมิติวิเศษและผู้ช่วยเป็นผู้บำเพ็ญเซียน นางย่อมหนีไปจากตระกูลเฮงซวยนี้ได้เหมือนพลิกฝ่ามือ แต่จะให้นางไปตัวเปล่าได้อย่างไร ร่างนี้ทำงานแทบไม่ได้พักผ่อนจนล้มตายในที่สุด มันต้องมีค่าแรงย้อนหลังเสียหน่อย
เมื่อจื่อหนิงรับปากหลี่อ๋องไว้แล้ว ว่าจะดูแลเรื่องอาหารบำรุงให้ ไม่ว่าจะเป็นยามอยู่ที่จวนหรือยามไปทำงานที่ค่ายทหาร ดังนั้นในวันที่สองกับการได้อยู่จวนอ๋องแห่งนี้ จื่อหนิงจึงตื่นตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อเตรียมอาหาร และสิ่งที่นางทำในเช้าวันนี้ก็คือโจ๊กข้าวกล้องใส่พุทราแดง ที่ช่วยลดอาการจุกแน่นรวมถึงเสริมพลังให้ร่างกายแต่สิ่งที่ทำให้บ่าวไพร่ตกใจจนทำตัวไม่ถูก แม้แต่ชางอวี่ก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาของตน คือการที่หลี่อ๋องมานั่งรับสำรับเช้ากับซื่อจื่อน้อยที่เรือนหยางชู ซึ่งยามนี้ชางเซิ่งกำลังคุกเข่าขออภัยซื่อจื่อ และร้องไห้เพราะดีใจและเสียใจไปพร้อมกัน“ฮึก ซื่อจื่อเป็นบ่าวที่ไม่ดีปล่อยให้ท่านตกอยู่ในอันตราย โปรดอภัยให้บ่าวผู้นี้ด้วยขอรับ ต่อไปบ่าวจะไม่ยอมอยู่ห่างกายท่านอีกแล้ว ฮึก คนพวกนั้นทำร้ายซื่อจื่อหรือไม่ขอรับ”ซื่อจื่อน้อยมององครักษ์ของตนและกลั้นยิ้ม เพราะท่าทางของชางเซิ่งที่ร้องไห้เป็นเด็ก มันช่างขัดกับรูปร่างหน้าตาของเขายิ่งนักแต่จะหัวเราะออกมาซึ่งหน้าก็ไม่ได้“ชางเซิ่งเจ้าหยุดร้องไห้เถิด ข้าไม่โทษเจ้าหรอกที่ช่วยข้าไว้ไม่ทัน เป็นคนพวกนั้นที่วางแผนได้ดีเกินคาด จึงพาตัวข้าไปจากเจ้าได้แต่ตอนนี
หลังจากยืนรอให้หลี่อ๋องเสวยอาหารเสร็จ จื่อหนิงที่เอาแต่ยืนยิ้มด้วยความดีใจ ที่ขาทองคำยอมทานอาหารของนาง ซึ่งหลี่อ๋องยอมรับว่าอาหารที่จื่อหนิงทำนั้น ช่างเป็นรสชาติที่ถูกใจตนเองมาก ทำให้หลี่อ๋องจับตามองจื่อหนิงมากกว่าเดิม“อะ ฮึ่ม แม่นางจื่อหนิง”“หือ อ๊ะ ท่านอ๋องทรงเรียกหม่อมฉันหรือเพคะ”“ใช่ เปิ่นหวางแค่จะบอกเจ้าว่าฝีมือการทำอาหารของเจ้าใช้ได้ และสิ่งที่เจ้าพูดมานั้นก็ถูกต้องไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นต่อไปอาหารทุกมื้อของเปิ่นหวาง รบกวนแม่นางจื่อหนิงช่วยดูแลด้วยก็แล้วกัน ยกเว้นวันที่ต้องไปค่ายทหารนอกเมืองเจ้าไม่ต้องทะ...”“ได้อย่างไรเพคะ! ถึงท่านอ๋องต้องออกไปที่ค่ายทหาร แต่ยังต้องมีอาหารติดไปเสวยระหว่างทางด้วยสิ จะขาดมื้อใดมื้อหนึ่งไม่ได้เด็ดขาดจนกว่าอาการปวดท้องจะหายดีเพคะ”หลี่อ๋องกำลังคิดว่าท่าทางที่จื่อหนิงกำลังทำอยู่ ช่างเหมือนกับมารดาบ่นด้วยความเป็นห่วงบุตร ซึ่งหลี่อ๋องก็เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงทำให้หลี่อ๋องเผลอยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว“ในเมื่อแม่นางจื่อหนิงเป็นกังวลเรื่องสุขภาพของเปิ่นหวาง หากไม่ลำบากจนเกินไปนักเจ้าก็ทำตามความต้องการของเจ้าเถิด”“ท่านอ๋องพูดจริงหรือเพคะ! อย่าหลอกให
ทางด้านเรือนหยางชูของซื่อจื่อน้อยหลี่จื่อคัง ยามนี้จื่อหนิงที่ได้ชำระล้างร่างกายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กำลังนำวัตถุดิบที่ได้เอ่ยขอกับพ่อบ้าน นำมาปรุงเป็นอาหารมื้อกลางวัน สำหรับเจ้านายตัวน้อยที่ตนได้ช่วยชีวิตเอาไว้ โดยมีเจตนาแอบแฝงเพื่อเกาะขาทองคำอย่างหลี่อ๋องจื่อหนิงไม่รู้ว่าหลี่อ๋องจะกลับจวนมาเมื่อใด แต่นางมีใจทำอาหารมื้อกลางวันไว้เผื่อด้วยเช่นกัน ซึ่งอาหารที่นางทำย่อมเป็นอาหารบำรุงร่างกาย และถูกต้องตามหลักโภชนการที่นางทำอยู่เสมอ เนื่องจากจื่อหนิงสังเกตเห็นท่าทางยามที่หลี่อ๋องมีโทสะ เขาแอบใช้มือข้างหนึ่งกุมที่ท้องไว้แน่น‘เสี่ยวถังเป่าเจ้าว่าหลี่อ๋องจะมีอาการป่วยหรือไม่’‘เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าหลี่อ๋องมีอาการป่วย หรือเจ้าสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติ’‘อืม ใช่แล้วล่ะข้าแอบเห็นหลี่อ๋องกุมท้อง ยิ่งตอนที่มีโทสะการหายใจก็ผิดปกติเช่นกัน’‘หากเป็นเช่นที่เจ้าว่ามา นี่เป็นโอกาสดีที่เจ้าจะช่วยรักษา เมื่อหลี่อ๋องเห็นถึงความสามารถของเจ้าย่อมรั้งเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป เช่นนี้ยามหลี่อ๋องเสด็จไปเมืองหลวง เจ้าคงได้ติดตามไปพร้อมกับเสี่ยวอวี้ อย่าปล่อยให้โอกาสดี ๆ ให้หลุดมือไปเด็ดขาดนะจื่อหนิง’‘แน่นอนเสี่ยว
สิ่งที่หลี่อ๋องพูดกับหวงฉุนฟางนั้น สร้างความตกตะลึงให้กับคนในครอบครัวอย่างมาก พวกเขาแค่คิดว่านางมีนิสัยเอาแต่ใจ มิใช่คนใจร้ายถึงขั้นคิดฆ่าคนได้มาก่อนนายท่านหวงคิดว่าตนเองหูฝาด จึงได้เอ่ยถามกับหลี่อ๋องอีกครั้งให้แน่ใจ “ทะ ทะ ท่านอ๋องท่านบอกว่าผู้ใดคือคนร้ายนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้หูฝาดเพราะอายุมากใช่หรือไม่ท่านอ๋อง”“นะ นะ นี่นางใจกล้าคิดสังหารลูกของเจี๋ยเอ๋อร์งั้นหรือ แต่นั่นเป็นหลานชายของนางนะ ต่างก็มีสายเลือดเดียวกันเหตุใดถึงทำได้ลงคอ ฮึก” เฉินฮูหยินร้องไห้ด้วยนึกสงสารบุตรสาวและหลานชายของตนยิ่งนักหวงฉุนฟางละล่ำละลักแก้ตัวเป็นพัลวัน “มะ มะ ไม่จริงนะเพคะท่านอ๋อง ต้องมีคนอิจฉาที่หม่อมฉันเข้าออกจวนอ๋องบ่อย ๆ ถึงได้จ้างคนให้ทำการลักพาตัวซื่อจื่อและโยนความผิดมาให้หม่อมฉัน ท่านอ๋องเชื่อหม่อมฉันเถิดหม่อมฉันไม่ได้ทำจริง ๆ เพคะ”“หึ เจ้าไม่ยอมรับว่าเป็นคนสั่งการสินะ ได้ เปิ่นหวางจะทำให้เจ้ายอมรับแต่โดยดี ชางอวี่นำคนเข้ามา” ในเมื่อคนร้ายไม่ยอมรับสารภาพ การเบิกตัวพยานย่อมไม่ต้องรั้งรอกันอีก“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”ชางอวี่ออกไปเพียงชั่วอึดใจก็กลับเข้ามาพร้อมพยาน ซึ่งพยานคนนี้ยิ่งทำให้หวงฉุนฟางถึง
รถม้าคันใหญ่ที่หลี่อ๋องเคยใช้แทบนับครั้งได้ วันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่หลี่อ๋องจะนั่งรถม้า เพื่อไปสะสางปัญหาความวุ่นวายที่หวงฉุนฟางได้ทำกับจวนอ๋องเอาไว้ชาวบ้านในเมืองหลงเฉิงเกิดความสงสัย เมื่อจวนอ๋องมีความเคลื่อนไหวโดยมีกำลังทหาร คอยเดินตามรถม้าจำนวนหลายสิบนาย มีหลายคนนึกถึงเรื่องที่ซื่อจื่อถูกลักพาตัว จึงชักชวนกันเดินตามรถม้าอยู่ห่าง ๆจนกระทั่งรถม้ามาหยุดอยู่หน้าจวนตระกูลหวง บ่าวไพร่ที่เห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร ถึงกับวิ่งเข้าไปรายงานเจ้าของจวน เพื่อออกมาต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ด้วยตนเอง นายท่านหวงเมื่อได้ยินบ่าวเข้ามารายงานว่าหลี่อ๋องเสด็จมาเยือนที่จวน จึงได้เร่งฝีเท้าของตนออกมาต้อนรับแฮ่ก ๆ ๆ “ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาขออภัยที่ออกมาต้อนรับล่าช้า”หลี่อ๋องปรายตามองมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ “นายท่านหวงอย่าได้กล่าวเช่นนั้น อย่างไรเสียพวกเราก็เกี่ยวดองเป็นญาติกัน เป็นฝ่ายเปิ่นหวางเสียมากกว่าที่มาโดยไม่บอกกล่าว”“หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะ เชิญท่านอ๋องเข้าไปด้านใน ดื่มน้ำชาก่อนแล้วค่อยพูดคุยกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หวงซวนถานนายท่านของจวน รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตั
ชางอวี่ติดตามเหมยลี่ไปจนถึงจวนตระกูลหวง จึงต้องใช้วิธีอื่นในการลอบเข้าจวนแห่งนี้ เพื่อต้องการสืบให้รู้ว่าผู้ที่เหมยลี่มาพบเป็นผู้ใด เมื่อมาถึงเรือนเล็กหลังหนึ่งก็พบว่า เหมยลี่หันมองซ้ายขวาก่อนจะหายเข้าไปด้านใน ตัวของชางอวี่จึงยืนแอบอยู่ด้านหลังหน้าต่างเงียบ ๆหวงฉุนฟางที่กำลังนั่งพักผ่อนกลับต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่าเหมยลี่มีท่าทางลุกลี้ลุกลนคล้ายกับพบเจอเรื่องตกใจ จนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ “เหมยลี่เจ้ามาทำอันใดที่เรือนของข้า”“คุณหนูสามแย่แล้วเจ้าค่ะ แย่แล้ว!”“แย่อะไรของเจ้าพูดมาให้ชัดกว่านี้มิได้รึ เจ้าเอาแต่พูดว่าแย่ ๆ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันคือเรื่องอะไร” หวงฉุนฟางเริ่มไม่สบอารมณ์ เมื่อเหมยลี่เอาแต่พูดคำว่าแย่กับนาง“ที่บ่าวบอกว่าแย่แล้วเป็นเพราะวันนี้ซื่อจื่อถูกคนช่วยไว้ได้ และกลับมาที่จวนบ่าวถึงได้รีบหาวิธีออกมารายงานคุณหนูเจ้าค่ะ” เหมยลี่รีบพูดเพราะนางเกรงว่าโจรพวกนั้นจะถูกจับตัวได้แล้วพรึบ! “เจ้าว่าอะไรนะ! เด็กนั่นมีคนช่วยเอาไว้และกลับมาที่จวนแล้วเช่นนั้นรึ ไหนเจ้าบอกว่าไอ้พวกชั้นต่ำทำงานได้ดีมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หา! เหมยลี่” หวงฉุนฟางลุกขึ้นตะคอกเหมย
เรื่องราวที่ออกจากปากของซื่อจื่อน้อย ทำเอาเจ้าของจวนรวมถึงพ่อบ้านห้าวและชางอวี่ เกิดอาการตกใจจนแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน คาดไม่ถึงว่าสาวใช้ของฮูหยินรองจะมีนิสัยร้ายกาจ ถึงกับกลั่นแกลังบุตรของเจ้านายเช่นนี้ได้แต่คนที่มีโทสะมากกว่าผู้ใดคงหนีไม่พ้นหลี่อ๋อง เขากำหมัดแน่นพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตน เพราะไม่อยากทำให้บุตรชายต้องตกใจ “ชางอวี่! ไปลากตัวสาวใช้ของน้องสะใภ้มาที่นี่ เดี๋ยวนี้! เปิ่นหวางจะไต่สวนนางด้วยตนเอง”ชางอวี่ที่รู้สึกโกรธเช่นกันรับคำสั่งไม่มีรีรอ “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”จื่อหนิงยังไม่อยากให้เรื่องมันจบเร็วเกินไป นางจึงรีบเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “ประเดี๋ยวก่อนเพคะท่านอ๋อง”“แม่นางจื่อหนิงห้ามเปิ่นหวางด้วยเหตุใดรึ?”“หม่อมฉันมิได้คิดจะห้ามไม่ให้ท่านอ๋องไต่สวนเพคะ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นฝีมือของสาวใช้ผู้นั้นคนเดียว มิสู้ท่านอ๋องลองสังเกตท่าทีของนาง เมื่อได้เห็นว่าซื่อจื่อกลับมาอย่างปลอดภัย เผื่อว่าสาวใช้ผู้นั้นจะนำความไปบอกกล่าวใครบางคน คราวนี้จะได้รู้เสียทีว่าใครที่คิดทำร้ายซื่อจื่อเพคะ” จื่อหนิงย่อมอยากมีผลงานเพื่อแสดงความสามารถให้ขาทองคำได้เห็น ว่านางมิได้เก่งเพียงแค่เรื่อง
ภายในเรือนหย่งเจิงที่หลี่อ๋องใช้ทำงานเกี่ยวกับกองทัพ เจ้าของเรือนยังคงมีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไม่จางหาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะยังไม่ได้รับข่าวจากคนของตน เกี่ยวกับหลานชายเพียงคนเดียวที่หายไป แต่ความกังวลใจของหลี่อ๋องกำลังจะถูกคลี่คลาย เมื่อเสียงเล็ก ๆ ที่คุ้นเคยเรียกตนเองอยู่ด้านหน้าประตู“เสด็จพ่อ ๆ เสี่ยวอวี้กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลี่อ๋องเริ่มขมวดคิ้วคมดุจกระบี่เข้าหากัน และเอ่ยถามชางอวี่ถึงที่มาของเสียงเล็ก ๆ นั่น “หือ ชางอวี่เจ้าได้ยินเสียงเด็กเหมือนข้าหรือไม่ เสียงนั่นคล้ายเสียงของเสี่ยวอวี้มาก หรือเพราะเปิ่นหวางเป็นห่วงเสี่ยวอวี้มากเกินไปจนหูฝาดงั้นหรือ”ซื่อจื่อน้อยยังคงส่งเสียงเรียกหลี่อ๋องอีกครั้ง “เสด็จพ่อออ! ท่านอยู่ด้านในหรือไม่เสี่ยวอวี้กลับมาหาท่านแล้ว”ชางอวี่ที่ตั้งใจฟังเสียงเล็ก ๆ เพื่อความแน่ใจ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ด้านนอกจริง จึงรีบตอบคำถามของหลี่อ๋องทันที “ท่านอ๋องพระองค์มิได้หูฝาดพ่ะย่ะค่ะ มีคนอยู่ด้านหน้าประตูเรือนหย่งเจิงจริง ๆ หรือว่าเสียงที่พระองค์ได้ยินจะเป็นเสียงของซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”จื่อหนิงเห็นซื่อจื่อน้อยเริ่มมีสีหน้าไม่ดี นางจึงอาสาเคาะประตูให้แต่ช่างบัง
ส่วนจื่อหนิงนั้นเดินทางจากเมืองหลันเถียน โดยการจ้างรถม้าคันขนาดกลางที่ใช้นอนพักได้ยามกลางคืน นางพาซื่อจื่อน้อยนั่งรถม้าผ่านมาสามสี่วันแล้ว ในที่สุดก็มองเห็นกำแพงเมืองหลงเฉิงเสียทีเมื่อผ่านการตรวจป้ายประจำตัวจากทหาร จื่อหนิงก็ให้รถม้าไปส่งนางที่จวนของหลี่อ๋อง คราแรกคนบังคับรถม้าจะไม่ยอมไป นางจำเป็นต้องเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย เพื่อให้คนงานคนนี้มีกำลังใจในการทำงาน ซึ่งมีซื่อจื่อน้อยคอยบอกทางเสร็จสรรพจนกระทั่งรถม้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าจวนขนาดใหญ่ ซึ่งมีบ่าวไพร่มายืนเฝ้าระวังเวรยามที่มองมายังรถม้าอย่างสนใจ ว่าด้านในจะใช่สตรีหน้าด้านคนใดอีกหรือไม่ พอเห็นว่าเป็นสตรีรูปร่างซูบผอมเล็กน้อย กลับกลายเป็นความแปลกใจว่านางมาทำอันใดที่นี่“แม่นางเจ้ามาทำอันใดที่จวนแห่งนี้หรือ”หลังจากจื่อหนิงลงมายืนด้านล่างได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงเงยหน้าตอบคำถามของบ่าวที่ยืนรอคำตอบอยู่ “อ้อ พี่ชายท่านนี้ข้ามีเรื่องสำคัญมากและมันเกี่ยวกับซื่อจื่อของจวนอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านอ๋องอยู่ด้านในจวนหรือไม่ รบกวนพี่ชายไปรายงานให้ข้าทีเถิด”“เจ้าว่าอะไรนะ! ที่เจ้านั่งรถม้ามาจวนของท่านอ๋อง เพราะเรื่องของซื่อจื่องั้นหรือ นี่แม่นางเจ้าอย่า