ภายหลังที่จื่อหนิงวางแผนกับผู้ช่วยคนใหม่ นางจึงทำน้ำแกงบำรุงร่างกายของตนเสียก่อน จากนั้นจึงไปยังห้องเก็บวัตถุดิบ นางหยิบเอาสมุนไพรหลายตัวที่มีฤทธิ์กดประสาท เพื่อนำไปต้มรวมกันในหม้อปรุงอาหาร ทำเป็นน้ำแกงให้กับคนตระกูลหร่วนได้ดื่ม
“เสี่ยวถังเป่าเจ้านำน้ำแกงสมุนไพรนี้ ไปใส่ถ้วยในห้องครัวให้ข้าที ยังมีผัดผักอีกสองอย่างกับข้าวสวยพวกเขาจะได้ไม่สงสัย”
‘ได้เลย ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอนจื่อหนิง’
“อื้ม ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า”
จื่อหนิงมองเสี่ยวถังเป่าเก็บน้ำแกงสมุนไพร รวมถึงอาหารที่นางทำสองอย่างเข้ามิติส่วนตัว และหายออกไปต่อหน้าต่อหน้า จากนี้แค่รอฟังข่าวว่าคนตระกูลหร่วนดื่มน้ำแกงจนหลับไหล นางถึงจะออกไปเก็บค่าแรงย้อนหลังได้
เสี่ยวถังเป่าออกจากมิติของจื่อหนิง ก็บังเอิญเห็นหร่วนชางลี่เดินตรงไปยังห้องครัว ตนจำต้องรีบวิ่งไปยังห้องครัวให้เร็วที่สุด เพื่อจัดการตามแผนของจื่อหนิงได้อย่างเฉียดฉิว
หร่วนชางลี่ที่ถูกพี่ชายคนรองใช้ให้นางมาทำอาหารเช้าอย่างไม่เต็มใจนัก แต่พอเข้ามาถึงก็มีอาหารวางอยู่แล้ว นางจึงคิดว่าพี่สะใภ้รองทำไว้ก่อนไปตามหาจื่อหนิง “อาหารก็ทำไว้แล้วยังจะใช้ข้าอีก”
เมื่ออาหารถูกยกเข้ามาวางบนโต๊ะ เพราะออกไปเดินตามหาคนจนเหน็ดเหนื่อย ไม่มีใครระแวงสงสัยว่าอาหารคือฝีมือของใคร ต่างคนต่างคิดว่าพี่สะใภ้รองเป็นคนทำ ส่วนคนเป็นพี่ชายคนรองก็คิดว่าน้องสาวเป็นคนทำ ด้วยความหิวจึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องของจื่อหนิง
จนกระทั่งอิ่มหนำสำราญและแยกย้ายกัน เพื่อเตรียมตัวไปทำงานของแต่ละคน จู่ ๆ พวกเขาก็เกิดอาการง่วงงุนจนไม่อาจฝืนมันได้ ทั้งบุรุษและสตรีในบ้านหลังนี้ต่างล้มลงนอนบนพื้น เหมือนคนอดหลับอดนอนมานานทันที
‘สมน้ำหน้าเจ้าพวกสารเลว เงินทองที่เก็บสะสมไว้ทั้งหมด ข้าจะให้จื่อหนิงเก็บเข้ามิติไปให้หมด หลังจากนี้พวกเจ้าก็ทำงานเก็บเงินใหม่เถิด เหอะ’
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน เสี่ยวถังเป่าจึงหายตัวเข้ามิติไปหาจื่อหนิง และบอกเล่าเหตุการณ์ด้านนอกให้ฟัง ‘จื่อหนิง ๆ
เจ้าพร้อมหรือยัง ด้านนอกนอนหลับสนิทกันทั้งบ้านแล้วนะ ถ้าเจ้าพร้อมข้าจะพาไปรับค่าแรงที่เจ้าอยากได้’พรึบ! “เจ้าพูดจริงรึเสี่ยวถังเป่า หึ คราวนี้คนพวกนั้นจะได้ทำงานทั้งหมดเองเสียที จิกหัวใช้เจ้าของร่างมานาน ดูท่าคนที่จะดวงซวยคงไม่พ้นอาหญิงเล็กกับบุตรสาวเป็นแน่” เพราะหร่วนชางลี่เลิกรากับสามีที่เป็นช่างตีเหล็ก และพาบุตรสาวกลับมาอาศัยบ้านเดิมมาหลายปี พวกนางสองแม่ลูกย่อมถูกกดหัวให้ทำงานแทนนางอยู่แล้ว
จื่อหนิงออกจากมิติพร้อมเสี่ยวถังเป่า นางค่อย ๆ เดินเข้าไปชะโงกหน้ามองด้านในผ่านช่องประตู เมื่อเห็นว่าภายในเงียบสนิทไม่มีเสียงความเคลื่อนไหว จึงเปิดประตูเข้าไปใช้มือสะกิดตัวอารอง เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่มีใครตื่นมาระหว่างที่นางเก็บค่าแรง
ปึก! “หึ สมน้ำหน้านอนหลับยาว ๆ ไปเถอะ ส่วนเงินทองของพวกเจ้าข้าจะช่วยใช้ให้เกิดประโยชน์เอง ไปเสี่ยวถังเป่า
พวกเรารีบเก็บค่าแรง และออกไปจากหมู่บ้านไป๋หยุนกันดีกว่า”‘อื้ม เจ้าตามข้ามาก็แล้วกันเก็บให้หมดทุกห้อง สิ่งไหนมีค่าเจ้าก็เก็บไปด้วยเถิดพอไปถึงอำเภออื่น ค่อยเอาออกไปขายทีหลัง’
“แน่นอนสิเสี่ยวถังเป่า พวกเราจะเป็นคู่หูจอมโจรลึกลับ ที่กวาดของมีค่าทุกอย่างให้เกลี้ยง ฮ่า ๆ ๆ” จื่อหนิงนึกถึงสีหน้าของคนในบ้านหลังนี้ หลังตื่นมาพบกับความว่างเปล่าก็หัวเราสะใจ
หนึ่งคนกับกระรอกน้อยหนึ่งตัว กำลังรื้อค้นในห้องนอนของคนในบ้าน ไม่ว่าจะเจอก้อนเงินตำลึงหรือตั๋วเงิน แม้กระทั่งเครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ จื่อหนิงไม่ทิ้งไว้ให้สตรีคนไหนได้ใช้อีก นางจะนำไปขายเปลี่ยนเป็นเงินให้หมด
เมื่อจื่อหนิงเก็บค่าแรงจากการทำงานเสร็จ จึงรีบชักชวนเสี่ยวถังเป่าออกจากหมู่บ้านไป๋หลุน เพราะนางกลัวว่าหากยังอยู่ในบ้าน เกรงว่าจะมีสหายของอารองมาตามไปทำงาน ถ้าคนพวกนี้ตื่นขึ้นมาเสียก่อนนางคงหลบหนีได้ยากแล้ว
“เสี่ยวถังเป่าพวกเรารีบไปกันเถอะ ข้ายังต้องเข้าไปที่ตำบลหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ขืนใส่ชุดเก่า ๆ ปะแล้วปะอีกเดินทาง มีหวังคงถูกพวกค้าทาสจับตัวไปขายแน่”
‘ได้เลย ก่อนอื่นต้องเข้าไปในมิติของเจ้าเสียก่อน จากนั้นค่อยออกคำสั่งว่าจะให้มิติพาเจ้าไปโผล่ที่ใด’
“อืม” วับ! “มิติวิเศษช่วยพาข้าไปยังชายป่านอกเขตตำบลหลานฮวาที อ้อ ขอเป็นบริเวณที่ไม่ไกลทางเข้าตำบล
และไม่มีคนเห็นยามที่ข้าออกจากมิติ”หลังจากจื่อหนิงพูดจบ นางรู้สึกได้ว่าในมิติคล้ายไม่มีการเคลื่อนไหว แต่เป็นเสี่ยวถังเป่าที่สะกิดบอกกับนาง ว่ายามนี้ได้มาถึงนอกเขตตำบลหลานฮวาแล้ว
‘ออกไปดูด้านนอกเถิดจื่อหนิง ว่าใช่สถานที่ที่เจ้าออกคำสั่งไปเมื่อครู่หรือไม่’
“พวกเราออกไปพร้อมกันดีกว่านะเสี่ยวถังเป่า หากเป็นเช่นที่เจ้าพูดข้าจะได้หยิบเครื่องประดับออกไปขาย จะได้ใช้เงินนี้
ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เสียก่อน ขืนเข้าร้านไปและจ่ายเงินในสภาพน่าสังเวช คงถูกทางการจับตัวเพราะคิดว่าข้าเป็นหัวขโมยละนะ”เสี่ยวถังเป่าใช้ดวงตาเล็ก ๆ มองตั้งแต่หัวจรดเท้าของจื่อหนิง ก็เห็นจะจริงอย่างที่นางพูดเพราะชุดบนร่างของนางเก่าคร่ำครึสุด ๆ รอยปะชุนจนทั่วมองอย่างไรก็เป็นผ้าขี้ริ้วดี ๆ นี่เอง
พรึบ! จื่อหนิงหลับตาก่อนจะออกมาด้านนอก นางไม่กล้ามองด้วยกลัวว่าจะยังอยู่ที่เดิม เมื่อสัมผัสถึงสายลมที่พัดผ่านร่างกาย จึงค่อย ๆ ลืมตาอย่างช้า ๆ ซึ่งภาพตรงหน้าทำเอานางถึงกับกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ
“โฮะ! เสี่ยวถังเป่าข้าหลบหนีจากตระกูลเฮงซวยนั่นได้แล้ว จากนี้ข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และตามหาขาทองคำในการพึ่งพาอำนาจ พอข้าได้รับความไว้วางใจค่อยจัดการบิดาชั่วนั่น ฮ่า ๆ ๆ”
‘ข้าเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถมากพอ ที่จะมีขาทองคำมาให้เกาะจนไม่อยากปล่อยมือเชียวล่ะ ส่วนบิดาชั่ว ๆ ของเจ้าไว้จัดการทีหลังก็ยังทันถมเถ’
“ใช่ดั่งคำที่ว่าแก้แค้นสิบปียังไม่สาย หร่วนฉินหงเจ้ารอข้าก่อนเถิด วันหน้าบุตรสาวคนใหม่ผู้นี้จะไปแสดงความกตัญญูต่อเจ้าเอง แต่ตอนนี้รีบไปจัดการธุระส่วนตัวของข้าให้เสร็จก่อนก็แล้วกัน ค่อยออกเดินทางต่อให้ไกลจากตำบลหลานฮวา”
จื่อหนิงเดินลัดเลาะออกจากชายป่า โดยมีเสี่ยวถังเป่าเกาะอยู่บนไหล่ของนาง เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่งก็เริ่มพบผู้คนสัญจรไปมา แต่สายตาของคนเหล่านั้นที่เห็นนางเดินเพียงลำพัง เต็มไปด้วยความรู้สึกนึกคิดที่หลากหลาย คนที่พอมีจิตใจเมตตาก็รู้สึกสงสาร คนที่ดูถูกชาวบ้านที่มีฐานะยากจนย่อมมองอย่างเหยียดหยาม หรือบางคนมองด้วยความเฉยชาก็มีเช่นกัน
จื่อหนิงทำอย่างที่พูดด้วยการขายเครื่องประดับ ซึ่งเป็นของอาสะใภ้รองที่เก็บเอาไว้อย่างดี นางขายไปหลายชิ้นได้เงินมา
เกือบสิบตำลึงเงิน จึงพาตัวเองไปยังร้านผ้าซื้อชุดที่ตัดสำเร็จสามสี่ชุด และขอใช้ห้องที่ร้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทันทีด้วยเค้าโครงใบหน้าที่งดงามเหมือนมารดา ผู้ซึ่งมาจากตระกูลเศรษฐีกินดีอยู่ดี พี่น้องของมารดาในตระกูลหวงล้วนงดงามหล่อเหลาทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อจื่อหนิงได้เปลี่ยนชุดใหม่ แม้รูปร่างจะยังดูซูบผอมอยู่บ้าง แต่ยังคงความโดดเด่นของดวงตากลมโต ที่แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาดและซุกซน ตามประสาของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะด้านโภชนาการจากโลกคู่ขนาน
เมื่อจื่อหนิงรับปากหลี่อ๋องไว้แล้ว ว่าจะดูแลเรื่องอาหารบำรุงให้ ไม่ว่าจะเป็นยามอยู่ที่จวนหรือยามไปทำงานที่ค่ายทหาร ดังนั้นในวันที่สองกับการได้อยู่จวนอ๋องแห่งนี้ จื่อหนิงจึงตื่นตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อเตรียมอาหาร และสิ่งที่นางทำในเช้าวันนี้ก็คือโจ๊กข้าวกล้องใส่พุทราแดง ที่ช่วยลดอาการจุกแน่นรวมถึงเสริมพลังให้ร่างกายแต่สิ่งที่ทำให้บ่าวไพร่ตกใจจนทำตัวไม่ถูก แม้แต่ชางอวี่ก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาของตน คือการที่หลี่อ๋องมานั่งรับสำรับเช้ากับซื่อจื่อน้อยที่เรือนหยางชู ซึ่งยามนี้ชางเซิ่งกำลังคุกเข่าขออภัยซื่อจื่อ และร้องไห้เพราะดีใจและเสียใจไปพร้อมกัน“ฮึก ซื่อจื่อเป็นบ่าวที่ไม่ดีปล่อยให้ท่านตกอยู่ในอันตราย โปรดอภัยให้บ่าวผู้นี้ด้วยขอรับ ต่อไปบ่าวจะไม่ยอมอยู่ห่างกายท่านอีกแล้ว ฮึก คนพวกนั้นทำร้ายซื่อจื่อหรือไม่ขอรับ”ซื่อจื่อน้อยมององครักษ์ของตนและกลั้นยิ้ม เพราะท่าทางของชางเซิ่งที่ร้องไห้เป็นเด็ก มันช่างขัดกับรูปร่างหน้าตาของเขายิ่งนักแต่จะหัวเราะออกมาซึ่งหน้าก็ไม่ได้“ชางเซิ่งเจ้าหยุดร้องไห้เถิด ข้าไม่โทษเจ้าหรอกที่ช่วยข้าไว้ไม่ทัน เป็นคนพวกนั้นที่วางแผนได้ดีเกินคาด จึงพาตัวข้าไปจากเจ้าได้แต่ตอนนี
หลังจากยืนรอให้หลี่อ๋องเสวยอาหารเสร็จ จื่อหนิงที่เอาแต่ยืนยิ้มด้วยความดีใจ ที่ขาทองคำยอมทานอาหารของนาง ซึ่งหลี่อ๋องยอมรับว่าอาหารที่จื่อหนิงทำนั้น ช่างเป็นรสชาติที่ถูกใจตนเองมาก ทำให้หลี่อ๋องจับตามองจื่อหนิงมากกว่าเดิม“อะ ฮึ่ม แม่นางจื่อหนิง”“หือ อ๊ะ ท่านอ๋องทรงเรียกหม่อมฉันหรือเพคะ”“ใช่ เปิ่นหวางแค่จะบอกเจ้าว่าฝีมือการทำอาหารของเจ้าใช้ได้ และสิ่งที่เจ้าพูดมานั้นก็ถูกต้องไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นต่อไปอาหารทุกมื้อของเปิ่นหวาง รบกวนแม่นางจื่อหนิงช่วยดูแลด้วยก็แล้วกัน ยกเว้นวันที่ต้องไปค่ายทหารนอกเมืองเจ้าไม่ต้องทะ...”“ได้อย่างไรเพคะ! ถึงท่านอ๋องต้องออกไปที่ค่ายทหาร แต่ยังต้องมีอาหารติดไปเสวยระหว่างทางด้วยสิ จะขาดมื้อใดมื้อหนึ่งไม่ได้เด็ดขาดจนกว่าอาการปวดท้องจะหายดีเพคะ”หลี่อ๋องกำลังคิดว่าท่าทางที่จื่อหนิงกำลังทำอยู่ ช่างเหมือนกับมารดาบ่นด้วยความเป็นห่วงบุตร ซึ่งหลี่อ๋องก็เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงทำให้หลี่อ๋องเผลอยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว“ในเมื่อแม่นางจื่อหนิงเป็นกังวลเรื่องสุขภาพของเปิ่นหวาง หากไม่ลำบากจนเกินไปนักเจ้าก็ทำตามความต้องการของเจ้าเถิด”“ท่านอ๋องพูดจริงหรือเพคะ! อย่าหลอกให
ทางด้านเรือนหยางชูของซื่อจื่อน้อยหลี่จื่อคัง ยามนี้จื่อหนิงที่ได้ชำระล้างร่างกายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กำลังนำวัตถุดิบที่ได้เอ่ยขอกับพ่อบ้าน นำมาปรุงเป็นอาหารมื้อกลางวัน สำหรับเจ้านายตัวน้อยที่ตนได้ช่วยชีวิตเอาไว้ โดยมีเจตนาแอบแฝงเพื่อเกาะขาทองคำอย่างหลี่อ๋องจื่อหนิงไม่รู้ว่าหลี่อ๋องจะกลับจวนมาเมื่อใด แต่นางมีใจทำอาหารมื้อกลางวันไว้เผื่อด้วยเช่นกัน ซึ่งอาหารที่นางทำย่อมเป็นอาหารบำรุงร่างกาย และถูกต้องตามหลักโภชนการที่นางทำอยู่เสมอ เนื่องจากจื่อหนิงสังเกตเห็นท่าทางยามที่หลี่อ๋องมีโทสะ เขาแอบใช้มือข้างหนึ่งกุมที่ท้องไว้แน่น‘เสี่ยวถังเป่าเจ้าว่าหลี่อ๋องจะมีอาการป่วยหรือไม่’‘เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าหลี่อ๋องมีอาการป่วย หรือเจ้าสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติ’‘อืม ใช่แล้วล่ะข้าแอบเห็นหลี่อ๋องกุมท้อง ยิ่งตอนที่มีโทสะการหายใจก็ผิดปกติเช่นกัน’‘หากเป็นเช่นที่เจ้าว่ามา นี่เป็นโอกาสดีที่เจ้าจะช่วยรักษา เมื่อหลี่อ๋องเห็นถึงความสามารถของเจ้าย่อมรั้งเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป เช่นนี้ยามหลี่อ๋องเสด็จไปเมืองหลวง เจ้าคงได้ติดตามไปพร้อมกับเสี่ยวอวี้ อย่าปล่อยให้โอกาสดี ๆ ให้หลุดมือไปเด็ดขาดนะจื่อหนิง’‘แน่นอนเสี่ยว
สิ่งที่หลี่อ๋องพูดกับหวงฉุนฟางนั้น สร้างความตกตะลึงให้กับคนในครอบครัวอย่างมาก พวกเขาแค่คิดว่านางมีนิสัยเอาแต่ใจ มิใช่คนใจร้ายถึงขั้นคิดฆ่าคนได้มาก่อนนายท่านหวงคิดว่าตนเองหูฝาด จึงได้เอ่ยถามกับหลี่อ๋องอีกครั้งให้แน่ใจ “ทะ ทะ ท่านอ๋องท่านบอกว่าผู้ใดคือคนร้ายนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้หูฝาดเพราะอายุมากใช่หรือไม่ท่านอ๋อง”“นะ นะ นี่นางใจกล้าคิดสังหารลูกของเจี๋ยเอ๋อร์งั้นหรือ แต่นั่นเป็นหลานชายของนางนะ ต่างก็มีสายเลือดเดียวกันเหตุใดถึงทำได้ลงคอ ฮึก” เฉินฮูหยินร้องไห้ด้วยนึกสงสารบุตรสาวและหลานชายของตนยิ่งนักหวงฉุนฟางละล่ำละลักแก้ตัวเป็นพัลวัน “มะ มะ ไม่จริงนะเพคะท่านอ๋อง ต้องมีคนอิจฉาที่หม่อมฉันเข้าออกจวนอ๋องบ่อย ๆ ถึงได้จ้างคนให้ทำการลักพาตัวซื่อจื่อและโยนความผิดมาให้หม่อมฉัน ท่านอ๋องเชื่อหม่อมฉันเถิดหม่อมฉันไม่ได้ทำจริง ๆ เพคะ”“หึ เจ้าไม่ยอมรับว่าเป็นคนสั่งการสินะ ได้ เปิ่นหวางจะทำให้เจ้ายอมรับแต่โดยดี ชางอวี่นำคนเข้ามา” ในเมื่อคนร้ายไม่ยอมรับสารภาพ การเบิกตัวพยานย่อมไม่ต้องรั้งรอกันอีก“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”ชางอวี่ออกไปเพียงชั่วอึดใจก็กลับเข้ามาพร้อมพยาน ซึ่งพยานคนนี้ยิ่งทำให้หวงฉุนฟางถึง
รถม้าคันใหญ่ที่หลี่อ๋องเคยใช้แทบนับครั้งได้ วันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่หลี่อ๋องจะนั่งรถม้า เพื่อไปสะสางปัญหาความวุ่นวายที่หวงฉุนฟางได้ทำกับจวนอ๋องเอาไว้ชาวบ้านในเมืองหลงเฉิงเกิดความสงสัย เมื่อจวนอ๋องมีความเคลื่อนไหวโดยมีกำลังทหาร คอยเดินตามรถม้าจำนวนหลายสิบนาย มีหลายคนนึกถึงเรื่องที่ซื่อจื่อถูกลักพาตัว จึงชักชวนกันเดินตามรถม้าอยู่ห่าง ๆจนกระทั่งรถม้ามาหยุดอยู่หน้าจวนตระกูลหวง บ่าวไพร่ที่เห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร ถึงกับวิ่งเข้าไปรายงานเจ้าของจวน เพื่อออกมาต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ด้วยตนเอง นายท่านหวงเมื่อได้ยินบ่าวเข้ามารายงานว่าหลี่อ๋องเสด็จมาเยือนที่จวน จึงได้เร่งฝีเท้าของตนออกมาต้อนรับแฮ่ก ๆ ๆ “ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาขออภัยที่ออกมาต้อนรับล่าช้า”หลี่อ๋องปรายตามองมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ “นายท่านหวงอย่าได้กล่าวเช่นนั้น อย่างไรเสียพวกเราก็เกี่ยวดองเป็นญาติกัน เป็นฝ่ายเปิ่นหวางเสียมากกว่าที่มาโดยไม่บอกกล่าว”“หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะ เชิญท่านอ๋องเข้าไปด้านใน ดื่มน้ำชาก่อนแล้วค่อยพูดคุยกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หวงซวนถานนายท่านของจวน รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตั
ชางอวี่ติดตามเหมยลี่ไปจนถึงจวนตระกูลหวง จึงต้องใช้วิธีอื่นในการลอบเข้าจวนแห่งนี้ เพื่อต้องการสืบให้รู้ว่าผู้ที่เหมยลี่มาพบเป็นผู้ใด เมื่อมาถึงเรือนเล็กหลังหนึ่งก็พบว่า เหมยลี่หันมองซ้ายขวาก่อนจะหายเข้าไปด้านใน ตัวของชางอวี่จึงยืนแอบอยู่ด้านหลังหน้าต่างเงียบ ๆหวงฉุนฟางที่กำลังนั่งพักผ่อนกลับต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่าเหมยลี่มีท่าทางลุกลี้ลุกลนคล้ายกับพบเจอเรื่องตกใจ จนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ “เหมยลี่เจ้ามาทำอันใดที่เรือนของข้า”“คุณหนูสามแย่แล้วเจ้าค่ะ แย่แล้ว!”“แย่อะไรของเจ้าพูดมาให้ชัดกว่านี้มิได้รึ เจ้าเอาแต่พูดว่าแย่ ๆ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันคือเรื่องอะไร” หวงฉุนฟางเริ่มไม่สบอารมณ์ เมื่อเหมยลี่เอาแต่พูดคำว่าแย่กับนาง“ที่บ่าวบอกว่าแย่แล้วเป็นเพราะวันนี้ซื่อจื่อถูกคนช่วยไว้ได้ และกลับมาที่จวนบ่าวถึงได้รีบหาวิธีออกมารายงานคุณหนูเจ้าค่ะ” เหมยลี่รีบพูดเพราะนางเกรงว่าโจรพวกนั้นจะถูกจับตัวได้แล้วพรึบ! “เจ้าว่าอะไรนะ! เด็กนั่นมีคนช่วยเอาไว้และกลับมาที่จวนแล้วเช่นนั้นรึ ไหนเจ้าบอกว่าไอ้พวกชั้นต่ำทำงานได้ดีมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หา! เหมยลี่” หวงฉุนฟางลุกขึ้นตะคอกเหมย
เรื่องราวที่ออกจากปากของซื่อจื่อน้อย ทำเอาเจ้าของจวนรวมถึงพ่อบ้านห้าวและชางอวี่ เกิดอาการตกใจจนแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน คาดไม่ถึงว่าสาวใช้ของฮูหยินรองจะมีนิสัยร้ายกาจ ถึงกับกลั่นแกลังบุตรของเจ้านายเช่นนี้ได้แต่คนที่มีโทสะมากกว่าผู้ใดคงหนีไม่พ้นหลี่อ๋อง เขากำหมัดแน่นพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตน เพราะไม่อยากทำให้บุตรชายต้องตกใจ “ชางอวี่! ไปลากตัวสาวใช้ของน้องสะใภ้มาที่นี่ เดี๋ยวนี้! เปิ่นหวางจะไต่สวนนางด้วยตนเอง”ชางอวี่ที่รู้สึกโกรธเช่นกันรับคำสั่งไม่มีรีรอ “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”จื่อหนิงยังไม่อยากให้เรื่องมันจบเร็วเกินไป นางจึงรีบเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “ประเดี๋ยวก่อนเพคะท่านอ๋อง”“แม่นางจื่อหนิงห้ามเปิ่นหวางด้วยเหตุใดรึ?”“หม่อมฉันมิได้คิดจะห้ามไม่ให้ท่านอ๋องไต่สวนเพคะ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นฝีมือของสาวใช้ผู้นั้นคนเดียว มิสู้ท่านอ๋องลองสังเกตท่าทีของนาง เมื่อได้เห็นว่าซื่อจื่อกลับมาอย่างปลอดภัย เผื่อว่าสาวใช้ผู้นั้นจะนำความไปบอกกล่าวใครบางคน คราวนี้จะได้รู้เสียทีว่าใครที่คิดทำร้ายซื่อจื่อเพคะ” จื่อหนิงย่อมอยากมีผลงานเพื่อแสดงความสามารถให้ขาทองคำได้เห็น ว่านางมิได้เก่งเพียงแค่เรื่อง
ภายในเรือนหย่งเจิงที่หลี่อ๋องใช้ทำงานเกี่ยวกับกองทัพ เจ้าของเรือนยังคงมีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไม่จางหาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะยังไม่ได้รับข่าวจากคนของตน เกี่ยวกับหลานชายเพียงคนเดียวที่หายไป แต่ความกังวลใจของหลี่อ๋องกำลังจะถูกคลี่คลาย เมื่อเสียงเล็ก ๆ ที่คุ้นเคยเรียกตนเองอยู่ด้านหน้าประตู“เสด็จพ่อ ๆ เสี่ยวอวี้กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลี่อ๋องเริ่มขมวดคิ้วคมดุจกระบี่เข้าหากัน และเอ่ยถามชางอวี่ถึงที่มาของเสียงเล็ก ๆ นั่น “หือ ชางอวี่เจ้าได้ยินเสียงเด็กเหมือนข้าหรือไม่ เสียงนั่นคล้ายเสียงของเสี่ยวอวี้มาก หรือเพราะเปิ่นหวางเป็นห่วงเสี่ยวอวี้มากเกินไปจนหูฝาดงั้นหรือ”ซื่อจื่อน้อยยังคงส่งเสียงเรียกหลี่อ๋องอีกครั้ง “เสด็จพ่อออ! ท่านอยู่ด้านในหรือไม่เสี่ยวอวี้กลับมาหาท่านแล้ว”ชางอวี่ที่ตั้งใจฟังเสียงเล็ก ๆ เพื่อความแน่ใจ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ด้านนอกจริง จึงรีบตอบคำถามของหลี่อ๋องทันที “ท่านอ๋องพระองค์มิได้หูฝาดพ่ะย่ะค่ะ มีคนอยู่ด้านหน้าประตูเรือนหย่งเจิงจริง ๆ หรือว่าเสียงที่พระองค์ได้ยินจะเป็นเสียงของซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”จื่อหนิงเห็นซื่อจื่อน้อยเริ่มมีสีหน้าไม่ดี นางจึงอาสาเคาะประตูให้แต่ช่างบัง
ส่วนจื่อหนิงนั้นเดินทางจากเมืองหลันเถียน โดยการจ้างรถม้าคันขนาดกลางที่ใช้นอนพักได้ยามกลางคืน นางพาซื่อจื่อน้อยนั่งรถม้าผ่านมาสามสี่วันแล้ว ในที่สุดก็มองเห็นกำแพงเมืองหลงเฉิงเสียทีเมื่อผ่านการตรวจป้ายประจำตัวจากทหาร จื่อหนิงก็ให้รถม้าไปส่งนางที่จวนของหลี่อ๋อง คราแรกคนบังคับรถม้าจะไม่ยอมไป นางจำเป็นต้องเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย เพื่อให้คนงานคนนี้มีกำลังใจในการทำงาน ซึ่งมีซื่อจื่อน้อยคอยบอกทางเสร็จสรรพจนกระทั่งรถม้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าจวนขนาดใหญ่ ซึ่งมีบ่าวไพร่มายืนเฝ้าระวังเวรยามที่มองมายังรถม้าอย่างสนใจ ว่าด้านในจะใช่สตรีหน้าด้านคนใดอีกหรือไม่ พอเห็นว่าเป็นสตรีรูปร่างซูบผอมเล็กน้อย กลับกลายเป็นความแปลกใจว่านางมาทำอันใดที่นี่“แม่นางเจ้ามาทำอันใดที่จวนแห่งนี้หรือ”หลังจากจื่อหนิงลงมายืนด้านล่างได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงเงยหน้าตอบคำถามของบ่าวที่ยืนรอคำตอบอยู่ “อ้อ พี่ชายท่านนี้ข้ามีเรื่องสำคัญมากและมันเกี่ยวกับซื่อจื่อของจวนอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านอ๋องอยู่ด้านในจวนหรือไม่ รบกวนพี่ชายไปรายงานให้ข้าทีเถิด”“เจ้าว่าอะไรนะ! ที่เจ้านั่งรถม้ามาจวนของท่านอ๋อง เพราะเรื่องของซื่อจื่องั้นหรือ นี่แม่นางเจ้าอย่า